กลไกการเกิดปัญญาญาณ เป็นอย่างไร

ภาพวันนี้: กล่ำปลีแดง ฝีมือปลูกหมอสันต์ (ที่แมงกินไปเท่าไหร่ไม่นับ)

จารย์คะ

หนูขออนุญาตถามความเห็นนอกเรื่องสักหน่อย เผอิญเมื่อวานหนูนั่งดูดิโอต่างๆ เริ่มจาก talk เรื่อง health town ของอาจารย์ ไปเรื่อยๆ แล้วไม่รู้ยังไง ไปจบที่เรื่องของประวัติ ดร. … และประโยชน์การทำสมาธิ

อาจารย์คะ อาจารย์ว่าสิ่งต่างๆที่ดร. … พูดมีมูลความจริงไหมคะ ขอโทษนะคะที่ถามนอกเรื่อง (หนูอยากเข้าใจว่าเมื่อจิตสงบแล้ว wisdom/insight บังเกิด มันเป็นยังไง)

………………………………………………………………

ตอบครับ

ผมจะไปรู้เรอะว่า ดร. … พูดอะไรในวิดิโอของเขาบ้าง แต่ผมพอรู้ว่าปัญญาญาณ (intuition/wisdom/insight) มีกลไกการเกิดอย่างไร ผมจะอธิบายให้คุณฟังนะ ถ้าเก็ทก็เก็ท ถ้าไม่เก็ทก็ไม่เป็นไร เพราะชีวิตเรานี้มันมีสิ่งรอบตัวเราอยู่สองวง วงใน คือสิ่งที่อายตนะของเรารับรู้และตีความได้ บอกกันด้วยภาษาได้ (known) กับ วงนอก ซึ่งเป็นส่วนของชีวิตที่พ้นไปจากร่างกายและความคิด (unknown) ซึ่งวงนอกนี้ภาษาไปไม่ถึง การจะอธิบายเรื่องที่ภาษาไปไม่ถึงด้วยภาษามันเก็ทยาก ถ้าคุณไม่เก็ทก็รอให้คุณมีประสบการณ์กับตัวเองก่อนแล้วคุณก็จะเก็ท โอเค.นะ โปรดสดับ

ประเด็นที่ 1. ลักษณะของปัญญาญาณ

เปรียบเทียบแล้ว ปกติถ้าเป็นเชาวน์ปัญญา (intellect) หรือความคิดอ่านเชิงตรรกะของเรามีวิธีการทำงานว่าเมื่อได้รับสิ่งเร้าชนิดใดชนิดหนึ่งเข้ามา ทางตาหูจมูกลิ้นสัมผัสหรือใจ ณ เวลาเดี๋ยวนี้ โดยอัตโนมัติมันจะเชื่อมโยงกับความจำในอดีตที่เหมือนกัน หรือที่เกี่ยวข้องกัน ทีละชิ้นๆ ค้นได้อันหนึ่งก็เอามาเปรียบเทียบเชิงวิเคราะห์ด้วยตรรกะหรือคณิตศาสตร์กับสิ่งที่เพิ่งรับเข้ามาทีหนึ่ง เปรียบเทียบวิเคราะห์ไปทีละชิ้นๆๆ แล้วเอามาต่อๆกันเป็นเรื่องราว แบบมองครั้งแรกให้เห็นเป็นจุดเล็กๆก่อน แล้วค่อยๆขยายจนเห็นความสัมพันธ์กันไปมาเป็นโครงข่ายขนาดใหญ่ มีการใช้ขั้นตอน (algorithm) แล้วก็รายงานเรื่องทั้งหมดออกมาเป็นตุเป็นตะ ย้อนแสดงความสัมพันธ์กับเรื่องในอดีตได้ และคาดการณ์ไปในอนาคตได้ เปรียบกับคอมพิวเตอร์ก็เป็นการประมวลผลแบบ serial processing คือรับข้อมูลเข้ามาทีละอันต่อๆกันขณะเดียวกันก็ปะติดปะต่อกันไปด้วย ซึ่งต้องรายงานผลเป็นภาษานะ มีนิรุกติศาสตร์ มีตรรกะ

ส่วนปัญญาญาณ (intuition) นั้นเหมือนคุณมีเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ และพอร์ตรับข้อมูลของคุณใหญ่มาก จนคุณสามารถประมวลข้อมูลแบบ parallel processing ได้เลย คือรับเอาข้อมูลทั้งหมดเข้ามาตูมเดียวในรูปแบบที่ดั้งเดิมเหมือนข้อมูล RAW ของกล้องถ่ายรูปโดยไม่ผ่านอยาตนะทั้งหก แบบว่าซึมหรือแผ่ขึ้นมาตรงกลางความตื่นหรือความสามารถรับรู้ดื้อๆ ข้อมูลมาเป็นภาพใหญ่ตูมเดียวจบเลยไม่ต้องมีขั้นตอนหรือ algorithm ไม่ต้องเช็คกับอะไรอีกทั้งสิ้นเพราะในภาพใหญ่นั้นมีรายละเอียดซับซ้อนพิศดารเชื่อมโยงกันไว้หมดแล้ว การรายงานก็ต้องเป็นในลักษณะของรูปภาพหรือ impression นะ ไม่ใช่รายงานเป็นภาษา ไม่ใช่รายงานเป็นตัวเลข การทำความเข้าใจก็คือเมื่อเห็นภาพใหญ่แล้วจึงค่อยไล่ไปหารายละเอียดซึ่งประกอบขึ้นจากจุดเล็กๆแบบ pixel ของภาพจากกล้องดิจิตอล ไม่มีการใช้ข้อมูลจากอดีตมาช่วยแจงรายละเอียด ไม่มีการคาดการณ์อะไรไปในอนาคต แค่บอกว่าเดี๋ยวนี้เป็นอย่างนี้

ประเด็นที่ 2. กรอบของการมอง

เชาว์ปัญญาและตรรกะเป็นการมองออกไปโดยมีตัวกรองสองชั้น ชั้นที่หนึ่ง คือขีดความสามารถของอายตนะเอง และ ชั้นที่สอง คือกรอบของการมอง (paradigm) ที่เซ็ทไว้โดยความคิดหรืออัตตาของเราเอง กรอบนี้มันจะบังของจริงให้เหลือนิดเดียว โดยที่มันบังของจริงส่วนใหญ่ไว้หมดไม่ให้เราเห็นเพราะมันไม่อยากให้เราเห็น

ขณะที่ปัญญาญาณเป็นการมองออกไปโดยไม่มีตัวกรอง คือไม่ผ่านอายตนะซึ่งสะเป๊คมักจะต่ำ และไม่มีกรอบความคิดเป็นขอบบัง กรอบบังคือความคิด ดังนั้นปัญญาญาณจะไม่เกิดในที่ที่มีความคิด ต้องสงัดจากความคิด 100% ปลอดจากอัตตา 100% ปัญญาญาณจึงจะเกิดได้ มันเหมือนกับการรับฟังวิทยุกระจายเสียง มีเป็นร้อยสถานีที่กำลังออกอากาศพร้อมกัน แต่เชาวน์ปัญญาจูนคลื่นไปรับฟังได้ทีละสถานี แต่ปัญญาญาณไม่มีกรอบจึงรับฟังได้หมดทุกสถานีพร้อมกัน แถมฟังแบบรู้เรื่องด้วย หิ หิ

ประเด็นที่ 3. กลไกการเกิดปัญญาญาณ

ตรงนี้มันเป็นเรื่องเข้าใจยากนิดหน่อย คือเมื่อพ้นไปจากร่างกายและความคิด ชีวิตในส่วนที่เหลือนี้ก็คือ spirituality ปกติความคิดหรืออัตตาจะปิดกั้นไม่ให้เราเข้าถึงส่วนนี้ได้ แต่เมื่อประสบความสำเร็จในการวางความคิด ซึ่งก็คือประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนอัตตา จากการเป็นบุคคลคนหนึ่งมีผลประโยชน์ที่ต้องปกป้องเชิดชู ไปสู่การไม่เป็นอะไรเลย ชื่อก็ไม่มี ตัวก็ไม่มี มีแต่ความตื่นและความรู้ตัว ซึ่งมีธรรมชาติเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกับทุกชีวิตทุกสรรพสิ่งนอกตัวเรา ถ้าผมจะใช้คำเรียกตรงนี้ว่า “เมตตาธรรม” คุณอาจเข้าใจมันง่ายขึ้นกระมัง ที่ตรงการเป็นเมตตาธรรมนี้แหละที่กรอบในการรับรู้สิ่งต่างๆจะไม่มี การเห็นอย่างกว้างไกลจะเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งของมัน

ผมอาจอธิบายได้อีกอย่างว่า เมื่อสงัดจากความคิด ปลอดอัตตา มีแต่ความตื่นและความรู้ตัวอยู่โดยไม่เหลืออะไรอย่างอื่นแล้ว ณ จุดนั้นจะมีพลังงานไหลเข้ามา พลังงานนั้นมีธรรมชาติสงบเย็นและสร้างสรรค์ หมายความว่าพลังงานนั้นเป็นปัญญาชี้ให้รู้เห็นตามที่เป็น ไม่ใช่รู้เห็นไปในทางเพื่อเอื้อประโยชน์ต่ออัตตา

ผมอธิบายได้แค่นี้แหละ ถ้าไม่เก็ทก็ให้ทดลองด้วยตัวเอง ไปนั่งสมาธิจนสงัดจากความคิด แล้วก็จะพบเห็นด้วยประสบการณ์ของตัวเอง

อีกอย่างหนึ่งที่สำคัญ ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ความหลุดพ้นนะ ปัญญาญาณเป็นเพียงกะพี้ ไม่ใช่แก่น แก่นคือการวางความยึดมั่นถือมั่นในอัตตาได้สำเร็จ ดังนั้นอย่าหลงไปจับเอากะพี้ว่าเป็นแก่น

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เจ็ดใครหนอ

สอนวิธีแปลผลเคมีของเลือด

กินคีโตไข่ต้มไก่ต้มทุกวันแล้วหลอดเลือดหัวใจตีบ

ความแก่..เหมือนหมาถูกต้อนเข้ามุมให้จนตรอก

ชีวิตเมื่อตายไปแล้ว

เปลี่ยนอาหาร ปั่นจักรยาน น้ำตาลลด ความดันลด แต่ไขมันทำไมไม่ลด

ท่านอายุเก้าสิบแล้วยังไม่รู้ แล้วท่านจะรู้มันไปทำพรื้อละครับ

สิ่งที่ขาดหายไปจากชีวิตคนเราคือความเบิกบาน (Joy)

อายุ 70 ปีถูกคนในบ้านไล่ให้ไปฉีดวัคซีนไข้เลือดออก

มะเร็งต่อมลูกหมากแพร่กระจายไปกระดูกขาแล้ว จะไปต่อไงดี