ตอบว่า..ท่าทางคุณกำลังจะเป็นบ้า

(ภาพวันนี้: อีกหนึ่งโปรเจ็คใหม่ของหมอสันต์ ปลูกกล่ำปลีเขียวในนาข้าว อัดน้ำท่วมหญ้าให้รู้แล้วรู้รอด)

สวัสดีค่ะอ.สันต์

ขอถามในแนวไสยศาสตร์ที่คิดว่านักวิทยาศาสตร์อย่างอาจารย์ตอบได้นะคะ คือหนูเริ่มฝึกสมาธิโดยอาศัยเสียงนำตามยูทูปอย่างจริงจังมา5เดือน ก็มีความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยด้านจิตใจ คือสงบลง ปล่อยวางได้มากขึ้น และบางครั้งคิดอยากได้อะไรก็ได้มาง่ายๆ ตัวอย่างเช่น อยากได้ตังค์เพื่อจุดประสงค์บางอย่าง อยู่ดีๆก็มีเงินเข้าในบัญชี คือสามีโอนให้ผิดตั้งใจจะโอนให้ลูกสาวแต่ดันเข้าในบช.เราถึง2 ครั้ง แต่ไม่มาก

พอที่เราคิดจะทำโครงการของเรา และมีถูกหวยนิดๆหน่อย อาจารย์อาจคิดว่ามาอีกละ กฎแรงดึงดูดไร้สาระ แต่คิดว่าคนที่นั่งสมาธิหลายๆคนก็ทำได้ มีอีกคือคิดอยากซื้ออะไรในราคาไม่แพง พอไปsupermarket

ก็มีวางไว้รอเลยค่ะ แต่ยังไม่ถึงกับส่งพลังจิตให้คนทำในสิ่งที่ต้องการได้ อิอิ

อีกเรื่องหนึ่งคือความคิดลบ อันนี้ตั้งแต่ยังไม่นั่งสมาธิแล้ว คือเคยไม่ชอบคนข้างบ้านที่ขี้เมาหยำเป เพราะกลัวอันตรายจะเกิดกับลูกสาว จู่ๆวันนึงเขาก็นอนตายอยู่ในบ้านแล้วมีคนที่ทำงานมาพบศพ(เขาอยู่คนเดียว) มีอีกคนอยู่แฟลตข้างๆห้อง จริงๆเขาก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร เพียงแต่สูบบุหรี่จัด และชอบทำงานที่เกี่ยวกับเครื่องจักรเช่นซ่อมเครื่องตัดหญ้า และเปิดเสียงดังมากเกือบทุกเช้า ราวๆ9โมง ซึ่งเป็นเวลานอนช่วงเช้าของลูกสาวตอนเขายังเล็กมาก ก็คิดในใจว่าเมื่อไรเขาจะย้ายไปอยู่ที่อื่นซะทีนะ และแล้วก็ได้รับข่าวเขาเกิดอุบัติเหตุและเสียในที่ทำงาน ซึ่งไม่น่าเป็นไปได้ เพราะเขาเพิ่งจะ40กว่า และเก่งในเครื่องจักรกลมาก ทำให้หนูคิดเอาเองว่า พลังในการคิดลบของเรามีส่วนหรือเปล่านะ หรือเป็นเรื่องบังเอิญถึงคราวของเขามากกว่า

อีกเรื่องที่ฟังจากประสบการณ์จากครูด้านจิดวิญญาณท่านหนึ่ง เล่าว่า มีเพื่อนบ้านสาววัยกลางคนท่านหนึ่ง พ่อเป็นหมอรักษามะเร็ง แม่เป็นหมอรักษาโรคปอด ลูกสาวก็จะได้ยินได้ฟังเรื่องมะเร็ง กับเรื่องปอดทุกวัน สุดท้ายลูกก็บังเอิญเป็นมะเร็งปอด ทั้งๆที่บุหรี่ เหล้าไม่แตะเลย ทำให้หนูจับแพะมาชนแกะ เหมาเอาว่าพลังอานุภาพทางจิตมีอิทธิพลต่อร่างกายและจิตใจใช่หรือไม่ ดร.โจ ดิสเพนซาเคยพูดว่า สิ่งที่เรามองไม่เห็นไม่ใช่ว่าจะไม่มีจริง อาจารย์เองก็คงอยู่ในระดับเซียนกับเขาเหมือนกันคงมีประสบการณ์มาเยอะใช่ไหมคะ เพียงแต่ไม่สามารถอธิบายเป็นวิทยาศาสตร์ได้

เรื่องสุดท้ายคือสามีตัวเอง เป็นภูมิแพ้ แต่ไม่รู้แพ้อะไร ก็เหมาเอาว่า แพ้ฝุ่น บ้างละ บ้านมีเชื้อราตามฝาผนังบ้างละ เวลาเกิดอาการจะมีอาการhyperventilation เพื่อเรียกร้องความสนใจ ก็ไล่ไปหาหมอแต่ก็ตรวจไม่พบอะไร ได้ยาพ่นจมูก ยากินให้ผ่อนคลาย แต่เธอก็ไม่ทาน และก็หายไปเอง แต่เขาก็จะตั้งธงไว้ว่าทุกช่วงเดือนหนึ่งของปีที่เกิดอาการก็จะเกิดอีก และอธิบายว่าเป็นช่วงที่เชืือราปล่อยสปอร์ และเขาก็จะเกิดอาการจริงๆ ทำท่าหายใจไม่ออก เสมหะมาเยอะมาก  แต่ก็ไม่ไปหาหมอแค่เปลื่ยนสถานที่ก็ดีขึ้น หนูแปลกใจว่า ถ้ามีเชื้อราตามบ้าน ทำไม่หนูกับลูกๆไม่มีอาการอะไรเลย หรือเป็นplacebo effectของเขาเอง แต่ก็ยอมรับว่าเขาเป็นคนsensitive มากๆ และนั่งสมาธิมานาน แต่ก็ดูแล้วไม่สม่ำเสมอและท่าจะไปผิดทาง ของตัวเองก็ไม่ได้บอกว่าถูกทาง แต่ก็ทำไปเรื่อยๆก่อนลองผิดลองถูกไป หาจนกว่าจะเจอ

อาจารย์จะมีcommentอะไรบ้างคะ

ขอบคุณค่ะ

………………………………………………………………..

ตอบครับ

1.. ถามว่าคิดอยากได้อะไรก็ได้ คิดจะให้ใครมีอันเป็นไปก็เป็น หมอสันต์มีคอมเมนต์ว่าอย่างไร ตอบว่าท่าทางคุณกำลังจะเป็นบ้าครับ

เพราะคุณไปให้น้ำหนักกับความคิด ใครก็ตามที่ว่ายวนอยู่ในความคิดแบบไม่ลืมหูลืมตาไม่รู้จักถอยออกมาสังเกตดูความคิดของตัวเองว่าความคิดนี้ใครชงขึ้นมา มีวัตถุประสงค์อะไร เชื่อได้หรือไม่ได้ จุดจบของเขาคือถ้าไม่เป็นบ้าก็เป็นทุกข์ เพราะชื่อว่าความคิดย่อมจะเปลี่ยนไปตลอดเวลาและเอานิยายอะไรไม่ได้ หากไปยึดถือว่าความคิดเป็นสิ่งจีรังยึดถือได้เป็นตุเป็นตะชีวิตก็จะถูกความคิดพาเข้ารกเข้าพงไปตลอดชาติ

2.. ถามว่าที่ลูกสาวของหมอรักษามะเร็งและรักษาโรคปอดเป็นมะเร็งปอดเป็นเพราะได้ยินได้ฟังเรื่องมะเร็งปอดมากใช่ไหม ตอบว่าสาเหตุที่แท้จริงของการเป็นมะเร็งวงการแพทย์ยังไม่ทราบเลย ทราบแค่เลาๆว่ามันเป็นการประชุมแห่งเหตุ ดังนั้นข้อนี้คำตอบก็คือ เออ..แล้วผมจะรู้ไหมเนี่ย?

3.. ถามว่าสามีปักใจเชื่อว่าปีหนึ่งจะหอบหืดฟืดฟาดเสียเดือนหนึ่งเพราะแพ้เชื้อรา แล้วถึงเวลาเขาก็หอบหืดฟืดฟาดจริงๆ เป็นเพราะเขาสะกดจิตตัวเองแบบเป็น placebo effect หรือว่าเขาแพ้เชื้อราจริงๆ ตอบว่าเป็นไปได้ทั้งสองอย่างครับ คือเป็นเพราะแพ้เชื้อราจริงๆก็เป็นได้ หรือเป็นเพราะเขาอยากหอบหืดเพื่ออะไรสักอย่างก็เป็นได้ วิธีพิสูจน์ง่ายๆก็คือคุณลองบอกเขาว่าจะขอไปบวชชีสักหนึ่งปีสิครับ ปีนั้นอาการหอบหืดเขาอาจหายเป็นปลิดทิ้งก็ได้นะ (หิ หิ พูดเล่น)

4.. ข้อนี้คุณไม่ได้ถามแต่ผม ส. ใส่เกือก ตอบให้ ว่าการหลุดพ้นจากกรงของความคิดเราเองมันเป็นเส้นทางที่หากเปรียบเหมือนการเล่นฟุตบอลก็มีการเตะกันสองระดับ คือระดับบอลนักเรียน กับระดับบอลอาชีพ ทุกคนก็ต้องเริ่มที่การเตะบอลนักเรียนทั้งนั้นแหละ เมื่อเป็นดาราตรงนั้นแล้วจึงจะได้ขึ้นมาเตะบอลอาชีพ อุปมาเตะฟุตบอลฉันใด อุปไมการหลุดพ้นจากกรงของความคิดของเราก็ฉันนั้น เราต้องเริ่มในสนามความคิด จะคิดบวกไล่คิดลบหรือจะกฎของแรงดึงดูดหรือแรงผลักก็แล้วแต่ นี่คือสนามความคิด แต่นักบอลฝีเท้าดีจะไม่เตะในสนามนี้ไปตลอดชาติ เราควรจะต้องอัพเกรดตัวเองขึ้นไปหาสนามอาชีพ ซึ่งก็คือการสังเกตให้เห็นความคิดของตัวเอง การวางความคิดยึดมั่นในอัตตาเพื่อให้เข้าถึง “เมตตาธรรม” อันเป็นจุดหลอมรวมทุกชีวิตให้เป็นหนึ่งเดียวกันและความทุกข์จากการเป็นเราเป็นเขาจะไม่มี ตอนนี้คุณได้เป็นดาราในสนามนักเรียนแล้ว ไม่คิดจะอัพเกรดไปเตะในสนามอาชีพบ้างหรือครับ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เจ็ดใครหนอ

สอนวิธีแปลผลเคมีของเลือด

กินคีโตไข่ต้มไก่ต้มทุกวันแล้วหลอดเลือดหัวใจตีบ

ความแก่..เหมือนหมาถูกต้อนเข้ามุมให้จนตรอก

ชีวิตเมื่อตายไปแล้ว

เปลี่ยนอาหาร ปั่นจักรยาน น้ำตาลลด ความดันลด แต่ไขมันทำไมไม่ลด

ท่านอายุเก้าสิบแล้วยังไม่รู้ แล้วท่านจะรู้มันไปทำพรื้อละครับ

สิ่งที่ขาดหายไปจากชีวิตคนเราคือความเบิกบาน (Joy)

อายุ 70 ปีถูกคนในบ้านไล่ให้ไปฉีดวัคซีนไข้เลือดออก

มะเร็งต่อมลูกหมากแพร่กระจายไปกระดูกขาแล้ว จะไปต่อไงดี