นั่งสมาธิแบบคนเดินเที่ยวป่าอย่างสนุก

     ชั่วโมงนี้เราจะทดลองนั่งสมาธิแบบหนึ่ง เป็นแค่การทดลองมีประสบการณ์นะ 

     ลองมองการนั่งสมาธิหรือ meditation เหมือนการไปเดินเที่ยวป่าปีนเขาหรือ trekking การเที่ยวก็ต้องสนุกเพลิดเพลินถูกไหม ไม่ใช่น่าเบื่อหน่าย การไม่ได้ไปเที่ยวสิน่าเบื่อหน่าย การนั่งสมาธิก็เป็นการเที่ยวไปในใจของเรา ซึ่งเป็นป่าหรือเขาที่เราไม่เคยไปเที่ยวกันมาก่อน หรือเคยตั้งใจจะไปเที่ยวแล้วก็ไปพลาดท่าเสียทีตั้งแต่สองสามก้าวแรก เช่นคนไปหัดเดินป่าเห็นธารน้ำไหลเชี่ยวแล้วไปเดินข้ามลำธารที่เชี่ยวแล้วก็พลัดลงไปในธารน้ำ ถูกน้ำพัดพาไปไหนต่อไหนไกลเป็นกิโลกว่าจะคว้าหญ้าแขมริมธารกลับขึ้นฝั่งได้ กล้องถ่ายรูปหลุดหาย แขนถลอกปอกเปิก แล้วจะให้บอกว่าการไปเที่ยวเดินป่าสนุกได้อย่างไร ฉันใดก็ฉันนั้น คนหัดนั่งสมาธิใหม่ๆเห็นความคิดเกิดขึ้นแล้วก็เข้าไปตอแยกับความคิดแล้วก็ถูกดูดเข้าไปอยู่ในวังวนของความคิด คิดถึงปัญหาที่ยังแก้ไม่ตก คิดถึงโรคที่ตัวเองเป็น คิดถึงอนาคตของลูกๆว่าถ้าตัวเองเป็นอะไรไปเขาจะอยู่กันรอดได้อย่างไร คิดถึงงานที่ไม่มั่นคงและบริษัทฐานะง่อนแง่นกังวลว่าเขาจะจ้างตัวเองไปได้อีกกี่เดือน แล้วถ้าเขาเลิกจ้าง ในภาวะที่มีแต่คนตกงานอย่างนี้ตัวเองจะไปทำอะไรให้มีเงินพอเลี้ยงลูกเมีย กว่าจะออกจากความคิดมาได้ก็ปวดหัวและหมดเวลานั่งเสียแล้ว แล้วจะให้เห็นการนั่งสมาธิเป็นของดีของสนุกได้อย่างไร

     คนเดินป่าที่ช่ำชอง หากมีแผนจะมุ่งหน้าไปทางโน้นแล้วมีลำธารมีหินลื่นและลำน้ำเชี่ยวกรากขวางอยู่เขาไม่รีบข้ามตรงนั้นดอก เขาจะเดินเลียบฝั่งลำธารขึ้นไปแบบใจเย็นๆ เพราะรู้ว่าธรรมชาติของธารน้ำบนเขาพอสูงขึ้นไป ลำธารก็จะค่อยๆเล็กลงๆแคบลงๆจนเหลือแค่น้ำไสไหลรินตื้นๆให้เดินข้ามได้โดยสะดวก การเดินสำรวจใจของเราด้วยการนั่งสมาธิก็เช่นกัน ความคิดเป็นลำธารที่เราเดินเลียบขึ้นไปหาต้นตอของมันได้โดยไม่ต้องไปพยายามข้ามหรือเอาชนะมันตั้งแต่แรกเห็น 

     คุณสังเกตไหมว่าความคิดของเรามันเป็นภาษาพูด เป็นประโยค มีประธาน กริยา กรรมนะ อย่างเช่นเราคิดถึงลูกแมวมีอย่างน้อยสองคำโผล่ขึ้นมาคือ "ลูกแมว" และ "น่ารัก" ถ้าคิดถึงเจ้านายก็มีอีกสองคำ ฮี่..ฮี่ อย่าให้บอกเลยว่าเป็นคำไหนบ้างนะ ถ้าคิดถึงการวางแผนงานก็เป็นภาษาเขียนมีบุลเล็ตเป็นหัวข้อแบบพาวเวอร์พ้อยนท์ จริงอยู่บางคนไม่ได้คิดออกมาเป็นภาษา แต่คิดเป็นอย่างอื่น เพื่อนของผมคนหนึ่งเป็นนักแต่งเพลง เขาบอกผมว่าในหัวของเขามีเมโลดี้หรือเสียงเพลงดังขึ้นมา แสดงว่าเขาคิดออกมาเป็นเสียง หมอสมวงศ์ซึ่งกำลังหัดเขียนภาพสีน้ำเธอบอกผมว่ามีบางครั้งเธอเห็นภาพสีน้ำที่จะวาดว่ามันจะมีหน้าตาอย่างไรขึ้นมาก่อนแล้วทำให้เธอเกิดความรู้สึกอยากวาดภาพนั้น แสดงว่าเธอคิดออกมาเป็นภาพ แต่วันนี้เราจะพูดถึงความคิดที่คนส่วนใหญ่เขาคิดกันก่อนนะ คือการคิดออกมาเป็นภาษา มีประธาน กริยา กรรม ผูกประโยคเป็นเรื่องเป็นราว เพราะว่ามนุษย์เราเป็นสัตว์ที่จุ่มแช่อยู่ในภาษาตลอดเวลา ทุกวันเราพูด ฟัง เขียน อ่าน อีเมล ไลน์ เฟซ และคิด ด้วยภาษาทั้งนั้น

     สมัยหนุ่มๆผมไปเดินป่ากับครูซึ่งเป็นนายพราน ครั้งแรกเมื่อผมเริ่มต้นไปเดินป่า วันแรก ผมเดินไป แต่ในหัวของผมมีแต่ความคิด ผมสังเกตเห็นอะไรตามทางที่เราเดินผ่านไปน้อยมาก เพราะผมเดินไปคิดไป เพราะภาษามันครอบใจของคนเราแทบจะสิ้นเชิง เหมือนถ้ามีฝนสาดลงมารอบตัว แล้วผมจะไปเห็นอะไรได้นอกจากเม็ดฝน แต่พอผ่านไปวันที่สอง ขณะเดินป่ากันตอนสาย มีบ่างตัวหนึ่งร่อนจากต้นไม้สูงต้นหนึ่งไปยังอีกต้นหนึ่งตัดหน้าผมไป แถมหันหน้ามามองผมตาแป๋ว ผมไม่เคยเห็นบ่างมาก่อนในชีวิต จึงตื่นเต้น ร้องว่า

     "เฮ้ย..แมวบิน" 

     ครูบอกผมด้วยเสียงต่ำๆเบาๆว่า

     "บ่าง ไม่ใช่แมว"

     ตั้งแต่นาทีนั้นผมจึงเกิดความตื่นตัวที่จะสังเกตรับรู้สิ่งรอบตัวว่าจะมีอะไรที่ผมไม่เคยรู้จักผ่านมาอีก ผมจึงเริ่มเห็นสิ่งต่างๆในป่ามากขึ้น โดยที่ความคิดมันน้อยลงจนหายไปไหนไม่รู้เกือบหมด ทุกอย่างเริ่มคมชัดมากขึ้นเมื่อความคิดลดลง ทุกอย่างเป็นความตื่นตาตื่นใจแปลกใหม่ ผมเริ่มจำแนกเสียงนกร้องว่ามันมีระดับเสียงและท่วงทำนองแตกต่างกัน ผมเริ่มคลำได้ความหยาบของร่องลึกของเปลือกไม้เวลาที่เอามือเท้าต้นไม้ ผมเริ่มมองเห็นบางอย่างที่ไม่เคยมองเห็น เช่นแมงมุมตัวเท่าหัวแม่เท้าที่กำลังกินแมลงอยู่บนใยของมันในพงข้างทางเดิน เนื่องจากป่าที่เราเดินคือดอยผ้าห่มปกซึ่งเป็นป่าสูงดงดิบแทบไม่มีแสงตะวันเล็ดรอดลงมาถึงดิน เวลาที่เราเดินพ้นพงไม้ออกมาแต่ละครั้ง ผมรู้สึกได้แม้กระทั่งว่าแดดที่ส่องมาโดนผิวที่แขนนั้นมันมีความอุ่น ทั้งหมดนี้เป็นการรับรู้ผ่านภาพ เสียง สัมผัส มาเป็นความรู้สึกตรงๆโดยไม่ผ่านการตีความเป็นภาษา มาคิดย้อนดูแล้ว ภาษาที่อยู่ในหัวในรูปของความคิดนี้เป็นเหมือนขี้โคลนที่พอกกันไว้ไม่ให้ผมรับรู้ธรรมชาติรอบตัวของผมในวันแรกๆของการเดินป่า พอขี้โคลนคือความคิดนี้ละลายไป ผมจึงเริ่มสัมผัสกับธรรมชาติได้อย่างตรงๆไม่ต้องรอเอาภาษามาอธิบายตีความเลย มันเป็นการเปลี่ยนการรับรู้ผ่านภาษาอันสลับซับซ้อนมารับรู้ผ่านความตื่นตัวหรือความรู้ตัวแบบง่ายๆตรงๆดื้อๆ คือการปรากฎตัวของบ่างกระตุ้นให้ผมเปลี่ยนจากการเป็น "ผู้คิด" มาเป็น "ผู้สังเกต" ผู้คิดจะจมอยู่ในความคิด (thought) จนไม่เห็นไม่ได้ยินอะไร แต่ผู้สังเกตจะเปิดหูตาและสัมผัสรับรู้ความรู้สึก (feeling) อ้าซ่าโล่งโจ้งโดยไม่มีความคิด ถ้าจะมีความคิดโผลขึ้นมา ความคิดนั้นก็จะมีสถานะเป็นเพียงสิ่งที่ถูกสังเกตอย่างหนึ่ง เหมือนสิ่งที่ถูกสังเกตอื่นๆเช่นภาพ เสียง สัมผัส

     ประสบการณ์เดินป่าในวัยหนุ่มครั้งกระโน้น ได้กลายมาเป็นเทคนิคที่ผมเอามาใช้ในการนั่งสมาธิทุกวันนี้ คือการหันเหความสนใจจากความคิดมาสนใจภาพเสียงสัมผัสหรือแม้กระทั่งลมหายใจที่เกิดขึ้นที่เดี๋ยวนี้แบบตรงๆโดยไม่ต้องผ่านภาษาเลย  ภาพเสียงสัมผัสเหล่านี้มันก่อให้เกิดความรู้สึก (sensation) แล้วผมก็เรียนรู้ที่จะสังเกต หรือรับรู้ (perception) ภาพเสียงสัมผัสเหล่านี้แบบตรงๆโดยไม่ใช้ภาษามาเกี่ยวข้อง ไม่มีการพากย์ ไม่มีการตีความ การจะเปลี่ยนภาษามาเป็นความรู้สึกก็แค่เปลี่ยนจาก "การคิด" มาเป็นการ "สังเกต" คือแค่ทำตัวเป็นผู้สังเกต แค่นั้นเอง สังเกตมันทุกอย่างเหมือนเวลาที่ผมสังเกตธรรมชาติขณะเดินป่า ไม่ว่าจะเป็นนก ภูเขา ต้นไม้ ฉันใดก็ฉันนั้น ในการนั่งสมาธิ เมื่อเจ็บก้น ผมสังเกตน้ำหนักของก้นที่กดลงบนพื้นอาสนะ เจ็บหัวเข่าผมสังเกตอาการที่เอ็นหัวเข่ามันตึงและมันเจ็บ ยุงมากัด ผมสังเกตตั้งแต่เมื่อยุงมันเริ่มเกาะ มันเริ่มแทง และสังเกตความคิดของผมที่พากย์ว่า

     "ตบยุงสิ ตบเลย" 

     ผมสังเกตหมด แค่สังเกตแต่ไม่ลงมือทำอะไร ทิ้งคำพูดไปหมด ไม่ให้มีคำพูดแม้แต่คำเดียวขึ้นมาเม้นท์หรือชี้นำ ถ้ามีขึ้นมาก็ทิ้งไปทันที แม้แต่คำว่าพุทโธก็ทิ้งไปก่อน อะไรเป็นภาษาหรือคำพูดทิ้งหมด เอาจนเหลือแต่ความรู้สึกสดๆ ไม่เอาคำพูด ไม่ตัดสินด้วยว่านี่น่ารื่นรมย์ นี่ไม่น่ารื่นรมย์ แค่สังเกตรับรู้ มาถึงตอนนี้เท่ากับว่าผมกำลังเดิน trekking ในป่าคือใจของผมนี่เองโดยเปิดการรับรู้อ้าซ่าอะไรจะผ่านเข้ามารับรู้หมด มันเป็นการเดินทางสำรวจที่ตื่นเต้นตื่นตาตื่นใจกว่าการเดินป่าเดินเขาตอนไปเที่ยวเสียอีกนะ ไม่มีความน่าเบื่อเลย เพราะเมื่อเราไปตั้งหลักที่ความรู้ตัว คอยสังเกตว่าอะไรจะโผล่เข้ามาในใจของเรา เราไม่รู้หรอกว่าวินาทีข้างหน้าอะไรจะผ่านเข้ามา มันเป็นความน่าตื่นเต้นมหัศจรรย์ทีเดียว

    ความคิดนี้มันดูเหมือนมีอำนาจมีพลังทำให้เราทุกข์ร้อนได้มากมายก็จริง แต่แท้จริงแล้วมันต้องอาศัยการส่องสว่างให้เรารับรู้ได้ด้วยความรู้ต้วของเราเองในรูปของความสนใจที่ให้กับมัน อำนาจที่จะส่องดูสาระเรื่องราวของความคิดเป็นอำนาจของความรู้ตัวของเราเองไม่ใช่อำนาจของความคิด แม้สาระของความคิดจะมีเรื่องราวมีพลังดึงดูดอย่างไรก็ตาม แต่หากความรู้ตัวหยุดส่องสว่างให้มัน ความคิดนั้นก็จะดับทันที ทำไมเวลาคุณดูหนังที่โศกแบบถึงรากถึงโคนจนคุณน้ำตาเล็ดน้ำตาร่วง พอหนังจบคุณเอ่ยปากชมว่านั้นเป็นหนังที่ดีที่สุดที่เคยดูมา ตอนดูหนังคุณมีความเศร้า ความเศร้านั้นก็คือความคิด มันเป็นของจริง ตอนจบการดูหนังน้ำตาคุณยังไม่แห้งเลย แต่ทำไมคุณไม่เดือดเนื้อร้อนใจอะไรกับความเศร้านั้น เพราะคุณรู้ว่าหนังจบกลับบ้านแล้วคุณถอยความสนใจออกจากเรื่องในหนังแล้วความเศร้านั้นจะดับสนิทไม่ตามไปในชีวิตจริงของคุณ คุณรู้ว่าคุณในชีวิตจริงเป็นอิสระจากความเศร้านั้น ฉันใดก็ฉันเพล เมื่อคุณรู้ว่าความรู้ตัวซึ่งเป็นคุณที่แท้จริงเป็นผู้สังเกตนี้เป็นอิสระจากความคิดที่ก่อทุกข์ใดๆขึ้นในใจของคุณทั้งสิ้น ทุกความทุกข์ในใจก็จะเหมือนความเศร้าในหนังที่คุณดูมาแล้ว มันเป็นอดีตที่ไม่อาจกระทบกระเทือนคุณในโมเมนต์เดี๋ยวนี้ได้เลย

     เอาละ เวลาที่เหลือยี่สิบนาทีนี้เรามาฝึกนั่งสมาธิด้วยเทคนิคเลียนแบบการเดินป่า หมายความว่าเปลี่ยนจากการเป็น "ผู้คิด" มาเป็น "ผู้สังเกต" กัน ย้ำอีกทีนะ ทิ้งภาษาไปให้หมดไม่ให้เหลือแม้แต่คำพูดคำเดียว คำพูดของนักพากย์หรือผู้กำกับเช่น "กำลังหายใจเข้านะ" หรือ "กำลังหายใจออกนะ" ก็ไม่เอา ให้สัมผัสรับรู้แต่ภาพเสียงสัมผัส ดิบๆ ล้วนๆ ที่เข้ามาหา ณ เดี๋ยวนี้ ทำเทคนิคนี้เทคนิคเดียวก่อน ส่วนเทคนิคอื่นเอาไว้ฝึกกันในวันหลัง อย่าเพิ่งเอามาปะปนกัน เอ้า มาเริ่มกันเลย นั่งในท่าที่ตัวเองสบาย แต่ว่าตั้งกายให้ตรง ดำรงสติมั่น..

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เจ็ดใครหนอ

สอนวิธีแปลผลเคมีของเลือด

กินคีโตไข่ต้มไก่ต้มทุกวันแล้วหลอดเลือดหัวใจตีบ

ความแก่..เหมือนหมาถูกต้อนเข้ามุมให้จนตรอก

ชีวิตเมื่อตายไปแล้ว

เปลี่ยนอาหาร ปั่นจักรยาน น้ำตาลลด ความดันลด แต่ไขมันทำไมไม่ลด

ท่านอายุเก้าสิบแล้วยังไม่รู้ แล้วท่านจะรู้มันไปทำพรื้อละครับ

สิ่งที่ขาดหายไปจากชีวิตคนเราคือความเบิกบาน (Joy)

อายุ 70 ปีถูกคนในบ้านไล่ให้ไปฉีดวัคซีนไข้เลือดออก

มะเร็งต่อมลูกหมากแพร่กระจายไปกระดูกขาแล้ว จะไปต่อไงดี