อจ.คะ
ช่วงนี้กลับมามีความคิดแบบวกวน เครียดไม่รู้สาเหตุ กลัวตัวเองจะเป็นโรคนู่นนี่ (สงสัยรู้เยอะไปหน่อย) พยายามกลับมาดูความคิดตัวเอง แต่พอดูทีไร โดนลากไปกับมันทุกที เหม่อ ทำงานไม่effectiveเลยค่ะ พอมีความรู้สึกว่าไม่อยากคิดวกวน ไม่อยากเครียด มันก็อยากจะร้องไห้ เหมือนหนีไม่พ้น555 อ่านของ อจ มาตลอด และกำลังพยายามทำ อยากทราบว่าเวลารู้ว่าคิดหรือเครียด เราก็แค่รู้ว่ามันมานะ และกลับมาที่ฉันรู้ตัวอยู่หรือเปล่าใช่มั้ยคะ คือรำคาญมาก พอซักพักก็กลับไปคิดหรือรู้สึกไม่ดีอีก ไม่รู้เมื่อไหร่จะปล่อยวางได้สักที
อจ หนูรบกวนขอถามเพิ่มอีก 1 คำถามค่ะ วันนี้ตอนอยู่เวร ช่วงว่างๆ หนูลองนั่งสมาธิดูในห้องพัก จับที่ลมหายใจ ความคิดมันวอกแวกเร็วกว่าเสียงซะอีก จับไปจับมา เหมือนลมหายใจหายไป หนูตกใจมากเลยค่ะ เลยรีบออกจากสมาธิ กลัว ไม่รู้ว่าถ้าจับลมหายใจไม่ได้ต้องทำยังไงต่อดีคะ ตกใจมาก
ด้วยความเคารพ หนูอยากไป SR มากเลยค่ะ
แต่ปีนี้เค้าบอกว่าเต็มแล้ว
ขอบพระคุณ อจมากนะคะ
Intern2 จากภาคเหนือค่ะ
..............................................................
ตอบครับ
คุณหมอมีอะไรในใจเขียนมาหานั้นดีแล้ว ผมจะตอบให้ทีละประเด็นเท่าที่นึกได้นะ
ประเด็นที่ 1. พลังอำนาจของความคิดได้ไปจากความสนใจ
อย่างน้อยก็ดีแล้วที่คุณหมอรู้จักความคิด รู้ว่าความกลัวตัวเองจะเป็นโรคนู่นนี่เป็นความคิด รู้ว่าความคิดไม่ใช่เป็นตัวคุณเอง เพียงแต่ว่าคุณยังไม่เจนจัดในการสังเกตหรือการดูความคิด ดูทีไรก็โดนดูดเข้าไปอยู่ในความคิดทุกที คุณใช้คำว่าดูความคิดตัวเองทีไรก็โดนลากไปกับมันตลอด ฟังดูคุณสรุปได้เบ็ดเสร็จแล้วว่าความคิดมันมีพลังอำนาจ และคุณสยบอยู่ภายใต้อำนาจของมัน
แท้จริงแล้วความคิดได้อำนาจจากความสนใจ (attention) ของคุณ ความสนใจนี้มันเป็นเสมือนแขนของความรู้ตัว ความรู้ตัวก็คือการที่เราตื่นอยู่สามารถรับรู้อะไรได้นี้มันมีพลังอำนาจมหาศาล พลอยทำให้ความสนใจซึ่งเป็นแขนของมันมีพลังอำนาจไปด้วย แต่ความสนใจของคุณไปจมหรือไปขลุกอยู่กับความคิด ทำให้คุณรู้สึกว่าความคิดช่างมีอำนาจมหาศาลจนคุณทำอะไรมันไม่ได้ ผมจะบอกว่าคุณให้อำนาจนั้นแก่ความคิดไปเอง โดยปล่อยให้ความสนใจไปขลุกอยู่ในความคิด เพียงแค่คุณถอยความสนใจออกมาเสียจากความคิด ความคิดก็หมดอำนาจอย่างสิ้นเชิงแล้ว
ประเด็นที่ 2. การจะถอยความสนใจออกจากความคิด ต้องหาที่จอดให้มัน
คุณพยายามดูความคิดแล้วถูกมันดูดไปกับมันทุกที คุณพูดถูกแล้ว ความจริงมันเป็นแรงดูดของความสนใจที่ไปดูดความคิดต่างหาก เพราะความสนใจมีธรรมชาติว่าหากคุณไม่มีพลังมากพอแล้วคุณจะจับมันให้อยู่ว่างๆนิ่งๆไม่ได้หรอก มันจะต้องดูดอะไรสักอย่างที่ใกล้มัน ดังนั้นคุณอย่าเพิ่งไปดูความคิด อย่าเพิ่งพาความสนใจเข้าใกล้ความคิด เหมือนคนอดเหล้าอดบุหรี่ใหม่ๆอย่าเพิ่งเข้าใกล้เหล้าเข้าใกล้บุหรี่ ให้คุณหาอะไรให้มันดูดแทนความคิด อะไรที่ง่ายที่สุดก็คือลมหายใจของคุณนี่แหละ คุณถอยความสนใจออกมาจากความคิดมาจดจ่ออยู่กับลมหายใจ หายใจเข้ารู้ตัวว่าหายใจเข้า หายใจออกรู้ตัวว่าหายใจออก ใหม่ๆความสนใจมันไม่ยอมอยู่กับลมหายใจ มันคอยจะหนีกลับไปกอดความคิดซึ่งเป็นคู่ขาเก่าของมัน
ถ้าการจดจ่ออยู่กับลมหายใจมันดึงความสนใจออกมาจากความคิดไม่ได้ ให้คุณใช้เสียงช่วย พวกโยคีเรียกว่ามันตรา จะเป็นเสียงพูดในใจ หรือเสียงพูดออกมาดังๆก็ได้ ถ้าคุณเป็นชาวพุทธทำแบบที่พระตามวัดเขาสอนให้บริกรรมพุทโธก็ได้ หายใจเข้าพูดว่าพุทธ หายใจออกพูดว่าโธ ถ้าความคิดมันยังเจาะยางเข้ามาได้ ให้คุณออกเสียงดังๆ หายใจเข้าพุทธดังๆ หายใจออกโธดังๆ ถ้าความคิดยังเจาะยางเข้ามาได้อีก คราวนี้คุณออกเสียงดังๆด้วย เบิ้ลถี่ๆรัวๆเร็วๆจนความคิดไม่มีช่องเสียบเข้ามาเลยด้วย แบบว่า
หายใจเข้า พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ
หายใจออก พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ พุทโธ
หรือถ้าไม่ชอบศาสนาอะไรเลย ก็ท่องสูตรคูณเอาก็แล้วกัน
สองหนี่งสอง สองสองสี่ สองสามหก..
ยิ่งความคิดมาถี่ก็ยิ่งท่องดังและเร็ว เอาจนความคิดเจาะเข้ามาไม่ได้
พอความคิดมันห่างไป คุณก็พูดคำพูดให้ห่างไป ห่างไป จนไม่ต้องพูด ตามดูลมหายใจอย่างเดียว
ประเด็นที่ 3. การส้งเกตความคิด จะทำได้ก็ต่อเมื่อความคิดเกิดขึ้นแล้ว
ถ้าความสนใจของคุณอยู่กับลมหายใจได้อยู่ คุณไม่ต้องไปสังเกตความคิด เหมือนคนอดเหล้า ไม่ต้องเดินผ่านหน้าร้านเหล้า แต่มันจะมีหลายโมเมนต์มากที่คุณคิดว่าความสนใจของคุณอยู่กับลมหายใจอยู่ดีๆแท้ๆ แต่มันหนีไปอยู่กับความคิดเสียตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ บางทีคุณนั่งจนเจ็บก้นโดยที่ความสนใจไปอยู่กับความคิดตลอดโดยคุณไม่รู้ตัว ตรงนี้คุณต้องทำเป็นขั้นตอน
ขั้นที่ 1. คุณอาศัยตัวช่วย เช่นตั้งแอ็พมือถือเช่น mindfulness bell ให้ตีกระดิ่งหรือตีระฆังเป็นช่วงๆ ทุกหนึ่งนาทีบ้าง ทุกสองนาทีบาง พอระฆังตีทีหนึ่ง ก็ถือว่ามันเตือนคุณให้ถามตัวเองทีหนึ่งว่า
"ฉันรู้ตัวอยู่หรือเปล่า"
การจะตอบคำถามนี้ได้คุณก็ต้องไปตามหาว่าความสนใจมันไปขลุกอยู่ที่ไหน ซึ่งแน่นอนคุณจะพบแว้บแรกว่ามันไปขลุกอยู่ในความคิด ถ้าแรงดึงดูดให้ความสนใจของคุณออกมายังไม่แข็งแรง คุณไม่ต้องไปดูว่ามันกำลังคิดเรื่องอะไร ให้คุณหลับหูหลับตาลากเอาความสนใจกลับมาอยู่กับลมหายใจทันที เพื่อจะให้ตอบตัวเองได้ว่าคุณรู้ตัวอยู่ ระฆังตีทีหนึ่ง ก็ทำอย่างนี้ทีหนึ่ง
ขั้นที่ 2. พอคุณชักมีพลังสมาธิมากเข้า หมายความว่ามีพลังจะดึงดูดความสนใจเอาไว้กับลมหายใจมากเข้า คราวนี้คุณไม่ต้องรอให้ระฆังตี ให้คุณถามตัวเองเป็นช่วงๆเองเลยว่าฉันรู้ตัวอยู่หรือเปล่า แล้วพยายามตอบคำถามนั้นโดยการไปตามหาความรู้ตัวกลับบ้านอีก
ขั้นที่ 3. พอมีพลังมากขึ้นไปอีก เมื่อถามตัวเองว่าฉันรู้ตัวอยู่หรือเปล่าแล้ว ขณะที่คุณไปตามลากเอาความรู้ตัวออกมาจากความคิด คราวนี้อนุญาตคุณอ้อยอิ่งอยู่หน้าบ้านความคิดได้สองแว้บ แว้บแรกรู้ว่ามัน (ความสนใจ) ไปขลุกอยู่กับความคิด แว้บที่สองอนุญาตให้ดูว่ามันคิดเรื่องอะไร ถ้ามันคิดฟุ้งสร้านขอกแขกขอกแขกไม่รู้เรื่องอะไร ให้รีบลากความสนใจกลับมาอยู่กับลมหายใจเลย ไม่ต้องพยายามเข้าไปสอบสวนประเด็นหรือตั้งชื่อเรื่องให้ความคิดขอกแขกขอกแขกนั้น แต่ถ้ามันกำลังคิดเรื่องที่เป็นเรื่องเป็นราวชัดเจนอยู่ แล้วให้ดูว่ามันคิดเรื่องอะไร เอาแต่หัวเรื่องนะ อย่าเอาเนื้อเรื่อง พอรู้หัวเรื่องแล้วก็รีบลากมันกลับมาอยู่กับลมหายใจ พูดง่ายๆว่าเป็นการแอบดูแบบลวกๆอย่าให้เจ้าของบ้านเขาทันเห็น
ขั้นที่ 4. เมื่อมีพลังสมาธิมากขึ้นไปอีก คราวนี้อนุญาตให้คุณอยู่หน้าบ้านความคิดได้สามแว้บ แว้บแรกดูว่ามันไปขลุกอยู่กับความคิด แว้บที่สองดูว่ามันคิดเรื่องอะไร แว้บที่สามดูให้เห็นคาตาว่าความคิดนั้นมันสลายตัวไปต่อหน้าคุณ เพราะมันเป็นธรรมชาติของความคิด ว่าถ้าคุณเฝ้าดูม้นอยู่ข้างนอก ไม่เข้าไปขลุกข้างใน ความคิดนั้นม้นจะสลายไปต่อหน้าคุณ พอมันสลายไปแล้วคุณก็กลับมาอยู่กับลมหายใจ อย่าอ้อยอิ่งอยู่ตรงนั้นเพื่อรอว่าจะมีความคิดใหม่อะไรมานะ เพราะนั้นเป็นการตั้งต้นคิดอีกแล้ว ไม่ใช่การสังเกตความคิดเสียแล้ว
ทั้งสี่ขั้นตอนนี้คือชั้นเชิงการสังเกตหรือการดูความคิด
ประเด็นที่ 4. การฝึกวางความคิดควรเริ่มด้วย meditation ก่อน
จริงอยู่ การตามดูลมหายใจคุณทำได้ทุกเวลานาทีที่ตื่นอยู่ คนอื่นเขาจะว่าการนั่งหลับตาไม่จำเป็นคร่ำครึโบราณและเสียเวลาเปล่าเพราะไม่มีความท้าทายในชีวิตจริงจะเอาไปใช้ประโยชน์อะไรได้ ใครจะว่ายังไงก็ช่างเขาเถอะ ผมไม่รู้เรื่องกับเขาด้วยเพราะผมไม่เคยมีประสบการณ์อย่างเขา ผมจึงแชร์กับคุณได้แต่ประสบการณ์ที่ผมเคยมี คือสำหรับมือใหม่หัดขับอย่างคุณผมแนะนำว่าให้คุณขยันนั่งสมาธิ (meditation) ทุกวัน เพราะการนั่งสมาธิเป็นการฝึกเตะบอลในสนามที่ไม่มีนักเตะคนอื่นหรือทีมคู่แข่งมารบกวน ทำให้ฝึกซ้ำๆซากๆได้ง่ายไม่ต้องกลัวคนอื่นเขารำคาญหรือค่อนแคะเอา เมื่อคุณเตะคนเดียวจนเก่งคุณค่อยไปเข้าสนามที่มีนักเตะร่วมทีมและนักเตะคู่แข่งก็ได้ ซึ่งนั่นก็คือชีวิตประจำวัน ดังนั้นให้คุณฝึกนั่งสมาธิทุกวันๆก่อน วันละเป็นชั่วโมงได้ยิ่งดี ไม่ได้ชั่วโมงก็เอาครึ่งชั่วโมงก่อนนอน ถ้าง่วงหลับไปเสียก่อนก็แล้วไป แต่ขอให้ตั้งใจตั้งเวลาฝึกก่อนนอนอย่างน้อยครึ่งชั่วโมงไว้ก่อน
ประเด็นที่ 5 . เมื่อความคิดหมด ลมหายใจจะหายไป
เป็นธรรมชาติว่าในการตามดูลมหายใจนี้ จะมีความรู้ตัวคือตัวเราเป็นผู้สังเกต มีลมหายใจเป็นสิ่งที่ถูกสังเกต โดยมีความคิดคอยแยงเข้ามาก่อกวนเป็นระยะๆ แต่มันจะหมดแรงแยงและค่อยๆถูกกันห่างออกไปๆ จนในที่สุดความคิดจะหมดลง เหลือแต่ความรู้ตัวในฐานะผู้สังเกตและลมหายใจในฐานะสิ่งที่ถูกสังเกต ตอนนี้มีเหลืออยู่แค่สองนะ (duality) คือผู้สังเกต กับสิ่งที่ถูกสังเกต
เอ้า คราวนี้ตั้งใจฟังให้ดีนะ เป็นธรรมชาติอีกเหมือนกัน ว่าความรู้ตัวนี้แท้จริงแล้วมันมีธรรมชาติเป็นความสามารถรับรู้อันกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต ซึ่งทุกสรรพสิ่งที่มันสังเกตรับรู้ได้จะเกิดขึ้นในความรู้ตัวนี้แหละ และดับไปในความรู้ตัวนี้แหละ เพราะว่าแท้จริงแล้วสิ่งที่ถูกสังเกตทั้งหลายนั้นก็คือความรู้ตัวนี้นั่นเอง อย่าเพิ่งงงนะ ผมอธิบายเพิ่มให้หน่อยก็ได้ว่าเพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่เราสังเกตรับรู้ได้ ไม่ว่าจะเป็นลมหายใจก็ดี ร่างกายก็ดี หรือแม้กระทั่งโลกทั้งใบนี้ก็ดี แท้จริงแล้วล้วนเป็นแค่ "ประสบการณ์" ที่เกิดขึ้นในความรู้ตัว และดับหายไปในความรู้ตัว งงไหมเนี่ย เหมือนคุณมองเห็นแฟนคุณเงี้ยะ คุณไม่ได้เห็นเขาที่บนม้านั่งตรงโน้นนะ แต่คุณเห็นเขาจากเม็ดโฟตอนของแสงสะท้อนที่ตกกระทบตัวเขาแล้วสะท้อนมาตกที่จอประสาทตาของคุณ แล้วเซลโฟโตรีเซพเตอร์ที่เรตินาเปลี่ยนโฟตอนเป็นสัญญาณไฟฟ้า วิ่งไปตามเส้นประสาทเส้นที่สามไปยังสมอง ไปสร้างเป็นภาพขึ้นในความรู้ตัวของคุณ ดังนั้นการที่คุณเห็นแฟนของคุณ เป็นเพียงประสบการณ์ที่เกิดขึ้นที่ข้างในความรู้ตัวของคุณ ไม่เกี่ยวอะไรกับแฟนคุณตัวเป็นๆที่นั่งโด่ๆอยู่โน่นเลยนะ งงแมะ ถ้างงก็ไม่เป็นไร เพื่อให้การประชุมนี้จบได้ก่อนเวลานอนของผม ขอให้คุณยอมงงต่อไปก่อน
ที่ผมพูดกำกวมน่างุนงงนี้ความจริงผมตั้งใจจะพาคุณมาสู่ธรรมชาติภายในอีกอันหนึ่งของมนุษย์เรา ก็คือเมื่อสังเกตอะไรไปอย่างจดจ่อต่อเนื่องลึกลงไป ลึกลงไป ลึกลงไป ท้ายที่สุดทั้งสิ่งที่ถูกสังเกต และผู้สังเกต จะกลายเป็นสิ่งเดียวกัน คราวนี้เหลือหนึ่งแล้วนะ (non-duality) ไม่ได้หมายความว่ามันมาหลอมรวมกันนะ แต่เพราะจริงๆแล้วมันก็เป็นสิ่งเดียวกันมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เพียงแต่มีความคิดมาทำให้มันดูเหมือนเป็นคนละสิ่งเท่านั้น วุ้ย..ย ตรงนี้เข้าใจยาก (ซ่อยสันแน ซ่อยสันแน่ สันพืดบ่อถืก หิ หิ) เอาเป็นว่ามันเป็นธรรมชาติที่เมื่อสังเกตลมหายใจไปในขณะที่ไม่มีความคิด ท้ายที่สุดลมหายใจจะหายไป เหลือแต่ความรู้ตัวโด่เด่เดียวดายอยู่ในความว่าง เงียบ นิ่ง อันกว้างใหญ่ไร้ขอบเขต อ้า..า นี่คุณใกล้จะบรรลุธรรมซะแล้วสิ ฮิ..ฺฮิ อย่าเพิ่งหนีไปไหน ให้จุ่ม หรือแช่ หรืออาบอยู่ในความรู้ตัวที่ว่าง เงียบ นิ่ง แต่ตื่นอยู่นี้ให้ได้นานที่สุด อย่าไปสนใจอะไรอย่างอื่น แม้ความคิดจะบอกคุณว่าเฮ้ย เฮ้ย ไม่มีลมหายใจ จะตายแล้วนะ ก็อย่าไปหลงกลมัน แม้คนไข้จะเอะอะกันที่ข้างนอกว่าหมอเวรหายไปไหนว่ะก็ช่างพวกเขาก่อน เพราะตอนนี้กำลังเข้าไคล อย่าเพิ่งถอยไปไหน
เมื่อจุ่ม หรือแช่ อยู่ในความรู้ตัวที่ตื่น ว่าง นิ่ง เงียบ นี้ได้นานพอ มันจะมีพลังงานไหลเข้ามา พลังงานนี้มันมีสองด้านหรือสองหน้านะ ด้านหนึ่งเป็นพลังงานแบบทำให้เรารู้สึกซู่ซ่า รู้สึกดี แต่อีกด้านหนึ่งมันเป็นพลังปัญญา เขาเรียกว่า intuition หรือ wisdom หรือปัญญาญาณ นี่แหละที่เขาเรียกว่าสมาธิทำให้เกิดปัญญา คือพลังงานนี้มันจะค่อยๆบอก "ใบ้" หรือชี้นำคุณให้เห็นความจริงในชีวิตที่คุณติดขัดอยู่ไปทีละประเด็น ทีละประเด็น เหมือนคุณนั่งดูหนังซีรีส์โดยคุณไม่ต้องคิดอะไร ดังนั้นอย่าไปพยายามคิดหรือไตร่ตรองพิจารณาอะไรทั้งสิ้น ปัญญาญาณจะชี้ให้คุณเห็นเอง คุณได้แต่ผงกหัวเออ..จริงแฮะ เออ..จริงแฮะ อย่างเดียว แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าคุณบรรลุธรรมหรือหลุดพ้นจากความคิดงี่เง่าของคุณได้เบ็ดเสร็จแล้วนะ ยัง..ยังอีกไกล ปัญญาญาณเป็นเพียงกระพี้ของเรื่อง ไม่ใช่แก่นของเรื่อง แต่มันก็เป็นอะไรที่มีประโยชน์มากเพราะมันชี้ให้คุณเห็นสิ่งต่างๆตามที่มันเป็น ไม่ใช่เห็นตามที่คุณคิด อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณไม่เจนจัด ปัญญาญาณก็ปัญญาญาณเถอะ มันก็พาคุณเข้าป่าได้เหมือนกัน
หากมาถึงตรงนี้ได้ก็ถือว่ามาได้ไกลมากแล้ว เอาแค่นี้ก่อน อย่าเพิ่งไปสนใจอะไรที่อยู่ไกลกว่านี้ ที่เหลือคุณหมอจะรู้ทางไปต่อเอง
ผมชักจะง่วงแล้ว พรุ่งนี้ต้องไปสอนผู้ป่วยในแค้มป์ RDBY ต้องจบละ ให้คุณหมอตั้งใจฝึกไปนะ ชีวิตทางโลกก็ดำเนินไป การฝึกสมาธิก็ฝึกไป แล้วถ้าติดขัดอะไรให้เขียนมาอีก เรื่องมาเข้า SR ถ้าปีนี้เต็มก็จองล่วงหน้าไว้กับน้องเขาได้ มาต้นปีหน้าก็ไม่ช้าอะไรนี่ ในระหว่างนี้ให้ฝึกเอาประสบการณ์เยอะไว้ก่อน พอมาเข้า SR แล้วจะได้ประโยชน์มากขึ้น แต่ถึงมีเหตุให้มาไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ก็ไม่ต้องมาก็ได้ เพราะการจะหลุดพ้นจากกรงจองจำที่ทำด้วยความคิดที่คุณกอดไว้เอง มันสำคัญที่ตัวคุณ คุณต้องคลายอ้อมแขนปล่อยความคิดนั้นลงเอง ไม่ใช่ว่าผมจะวางสิ่งที่คุณกอดไว้ลงแทนคุณได้เสียเมื่อไหร่
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์