เกษียณแล้ว มีพร้อมหมดแล้ว แต่ไม่แน่ใจว่าชีวิตยังจะต้องทำอะไรอีกหรือไม่
คุณหมอขอคำชี้แนะหน่อยครับ
คือว่าชีวิตมีพร้อมทั้ง3สิ่ง (พอประมาณ) เงิน เวลา สุขภาพ ตอนนี้อยู่เฉยๆ เกษียณแล้วครับ ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรทั้งหมด ไม่เดือดร้อนเงินทองใดๆ ปล่อยวางความคิดได้เกือบหมด แต่มีความคิดในหัวนิดๆว่ายังลืมอะไรไปในชีวิต หรือยังจะต้องทำคิดอะไรอีก จึงขอคำแนะนำคุณหมอมาครับ
ติดตามฟังคุณหมอพูดตลอดที่ว่าง ศรัทธาคุณหมอครับ
.........................................................
ตอบครับ
หาเงินก็ได้มากพอแล้ว บ้านก็มีแล้ว รถก็มีแล้ว ภาระหน้าที่การงานและการดูแลคนอื่นก็จบหมดแล้ว สุขภาพก็ดูแลตัวเองจนโอเคแล้ว แล้วไงต่อ
ประเด็นสำคัญของคำถามคือ
"แล้วไงต่อ"
โปรดสังเกตนะครับท่านผู้อ่าน แม้ชีวิตจะมีความปลอดโรค ปลอดภัย แต่ก็ยังมีบางอย่างที่ทำให้มนุษย์ไม่มีความสุข สิ่งนี้ฝรั่งเรียกว่า existential suffering คือความโหยหาความหมายของชีวิต เอ๊ะ ข้าเกิดมาทำไมวะเนี่ย ฮี่ ฮี่ เห็นแมะ เห็นแมะ แก่จนเกษียณแล้วก็ยังไม่วายสงสัยว่าเกิดมาทำไม มีชีวิตอยู่เพื่ออะไร ผมไม่รู้ว่าหมาแมวมันมีปัญหานี้หรือเปล่า แต่คนมีแน่ ทุกชาติทุกภาษามีเหมือนกันหมด
ยังไม่นับว่าใจคนที่ยังท่องไปในโลกของความคิดซึ่งทุกสิ่งทุกอย่างถูกรับรู้ในรูปของสิ่งสมมุติที่เรียกชื่อหรือบอกรูปร่างได้ด้วยภาษานี้ มันมีแนวโน้มที่จะ "เผลอ" ยึดมั่นหรือเกี่ยวพันกับสิ่งสมมุติเหล่านั้นโดยสำคัญมั่นหมายว่ามันเป็นของจริงไม่ใช่ของสมมุติ เช่น ความกลัวป่วย กลัวปวด กลัวตาย เป็นต้น นี่ก็เป็นอีกเหตุหนึ่งของความทุกข์ซึ่งมีอยู่ในใจของแทบทุกผู้ทุกคนที่ถึงแม้จะหล่อสวยรวยทรัพย์ปลอดโรคปลอดภัยดีแล้วก็ตาม
คำตอบของผมสำหรับคำถามของคุณก็คือชีวิตไม่มีคำว่าแล้วไงต่อ
แล้วไงต่อ คือความคิดที่พาคุณหนีจากเดี๋ยวนี้ไปอยู่ในอนาคต จะเป็นอนาคตช่วงที่เหลืออยู่ก่อนตาย หรืออนาคตหลังตายเมื่อคุณเด๊ดสะมอเร่ไปแล้วก็ล้วนเป็นอนาคตทั้งสิ้น ซึ่งทั้งหมดนั้นไม่ได้มีอยู่จริง มันเป็นเพียงแค่ความคิด เวลาหรืออนาคตในใจคุณนั้นมันเป็นแค่เวลาในเชิงจิตวิทยา (psychological time) ที่หลอกให้คุณหนีจากการใช้ชีวิตในปัจจุบันไปอยู่ในความคิด คุณอย่าหลวมตัวถูกหลอกให้ไปอยู่ในความคิด แต่ให้คุณใช้ชีวิตในปัจจุบันขณะ เดี๋ยวนี้
"อ้าว ก็ผมประสบความสำเร็จหมดแล้วทั้งเงิน บ้าน ที่ดิน ทองคำสำรอง สุขภาพ และประกันชีวิตประกันภัย ท่องเที่ยวก็ไปมาหมดแล้ว ประเทศไหนที่ไหนเขาว่าสวยๆงามๆก็ไปดูมาหมดแล้ว แล้วจะให้ผมทำอะไรดีละ ที่ว่าอยู่กับปัจจุบันเนี่ย จะให้ผมทำอะไร"
ใจเย็นๆครับคุณพี่ ใจเย็นๆ อย่าเพิ่งขึ้นเสียง ที่ผมพูดว่าการใช้ชีวิต ผมหมายถึงการสำรวจเรียนรู้เพื่อค้นหาศักยภาพสูงสุดที่ตัวเองมีในฐานะที่เกิดมาเป็นคน แต่ว่าอย่าหวังสูงเกินไปนะ เพราะการเป็นคนนี้ความจริงก็คือเป็นแค่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมตัวเล็กๆตัวหนึ่ง บนดาวเคราะห์ดวงเล็กๆดวงหนึ่ง ในระบบสุริยะระบบเล็กระบบหนึ่ง ซึ่งอยู่ที่ชายขอบของทางช้างเผือก อันเป็นดาราจักรขนาดเล็กอันหนึ่ง ในบรรดาดาราจักรจำนวนไม่รู้กี่แสนกี่ล้านดาราจักรที่ประกอบกันขึ้นเป็นเอกภพนี้
สิ่งที่คุณประสบความสำเร็จเจนจบมาทั้งหมดแล้วนั้นมันเป็นเรื่องนอกตัวนะ มันไม่เกี่ยวอะไรเลยกับการเรียนรู้ถึงศักยภาพที่แท้จริงของตัวเองในการเกิดมาเป็นคน ที่คุยว่าทำได้มาแล้วทั้งหมดนั้น สาระหลักก็คือการกิน ขับถ่าย นอน สืบพันธ์ การเสาะหาที่หลบภัยให้ตัวเองอยู่รอด ทั้งหมดนั้นอย่าว่าแต่สัตว์ชั้นสูงอย่างคนเลย หมาแมวมันก็ทำได้ แต่ศักยภาพที่แท้จริงของคนนั้นมันอยู่ที่ข้างใน ไม่ใช่อยู่ที่ข้างนอก ข้างในผมหมายถึงว่าคนเรานี้เมื่อวางความคิดของตัวเองแล้วถอยความสนใจกลับเข้าไปข้างใน มันจะมีศักยภาพที่ผมเองก็เรียกไม่ถูก ขออนุญาตใช้ภาษาอังกฤษนะเพราะภาษาไทยไม่มีคำนี้ คือ ณ ข้างในตรงที่หมดความคิดแล้ว คนเรามันมี insight คือมีความสามารถที่จะรู้จะเข้าใจความเป็นไปของสรรพสิ่งได้อย่างลึกซึ้งถึงกึ๋นได้เอง แล้วความทุกข์จากสิ่งที่เรียกว่า existential suffering นี้ก็จะหมดไป
เริ่มต้นคุณพี่ก็ต้องฝึกนั่งสมาธิ (meditation) ก่อน นั่งมันทุกวันแหละ วันหนึ่งชั่วโมงสองชั่วโมง ทู่ซี้นั่งมันไปจนได้เรื่อง คือจนมันนิ่ง ในความนิ่งของสมาธิ ให้คุณพี่หัดสังเกตรับรู้ (aware) ความคิดและอารมณ์ของตัวเอง สังเกตความคิดโดยมองเข้าไปจากข้างนอก มองจนความคิดฝ่อหายไปเองหมดเกลี้ยง สังเกตรับรู้ร่างกาย สังเกตรับรู้ความเชื่อมโยงของสรรพสิ่งผ่านกลไกที่อยู่นอกเหนือการนิยามหรือบรรยายของภาษา สังเกตรับรู้ความว่างเปล่าที่ความรู้ตัวหรือความสามารถรับรู้นี้แทรกซึมอยู่ เพื่อทำความรู้จักกับความรู้ตัว ผมบอกใบ้ให้ล่วงหน้าว่าอะไรที่ถูกความรู้ตัวสังเกตรับรู้ได้ล้วนไม่ใช่ความรู้ตัว ให้ทิ้งมันไปเสีย นั่นหมายความรวมถึงความคิดด้วย ท้ายที่สุดคุณพี่ก็จะเหลือแต่ความรู้ตัวโด่เด่อยู่อย่างโดดเดียวในความว่าง นิ่ง และเงียบ ตรงนี้แหละที่เป็นปลายทาง เป็นที่ที่จะเกิด insight ให้เข้าใจอะไรต่างๆอย่างถึงกึ๋นได้เอง
เมื่อมาถึงจุดนี้แล้วตัวเราก็เหมือนจะกลายเป็นอีกคนหนึ่ง ทั้งที่คนตัวเดิมก็ยังอยู่ แต่มีคนตัวใหม่ที่ข้างในอีกตัวหนึ่งซึ่งไม่ได้มีผลประโยชน์เกี่ยวของอะไรกับคนตัวเดิมเกิดขึ้นมาซ้อน เรียกว่าตัวนอกกับตัวในก็แล้วกัน ตัวในมันสงบเย็นและไม่อินังขังขอบอะไรเหมือนกับว่ามันรู้อะไรหมดแล้วมันจึงเย็นได้ พลอยทำให้ตัวนอกเย็นลงไปด้วย แต่ตัวนอกก็ยังจะทำงานทำการสร้างสรรค์อะไรในทางโลกได้อยู่อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ชีวิตที่เหลือก็จะดำเนินไปอย่างนี้ ทีละขณะ ทีละขณะ สงบเย็นด้วย ทำงานในโลกได้ด้วย นี่คือการย้ายตัวตนหรือ shift of identity ซึ่งจำเป็นต้องเกิดขึ้นก่อน พันธกิจของชีวิตที่เกิดมาจึงจะถือว่าสำเร็จ
ถ้าจะถามผมว่าเวลาที่เหลืออยู่ในชีวิตก่อนตายควรทำสิ่งใดอีก ผมแนะนำว่าให้คุณทำสิ่งนี้แหละ คือกลับเข้าไปข้างใน สำรวจค้นหาโลกภายในโดยอาศัย insight พาไป จนพบกับความรู้ตัวซึ่งเป็นเราคนใหม่ แล้วย้ายวิกจากคนเก่าไปเป็นคนใหม่เสียอย่างน้อยก็สักเก้าส่วนในสิบส่วน ก็จะมีชีวิตที่เดี๋ยวนี้อย่างสงบเย็นทนทานต่อการเปลี่ยนแปลงใดๆที่จะเข้ามาหา แถมปลดความสงสัยตะหงิดๆในใจทิ้งได้อย่างเบ็ดเสร็จ ชีวิตที่เหลือจะเป็นชีวิตที่มีคุณค่าต่อโลกและต่อชีวิตอื่น โดยที่ตัวเองก็ไม่ทุกข์ และเมื่อถึงเวลาตาย ก็จะพร้อม
ปล. ถ้ามีเวลาให้คุณหาเวลามาเข้า Spiritual Retreat ก็น่าจะดีกว่าอยู่เปล่าๆนะครับ
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์