หมอสันต์ไม่เล่าอัตชีวประวัติ เพราะเขินหมา แมว นก กระต่าย
กราบเรียนคุณหมอสันต์
อยากขอให้คุณหมอเล่าประวัติชีวิตของคุณหมอเองตั้งแต่เด็กจนถึงวันนี้ ดิฉันเห็นว่ามันจะเป็นประโยชน์แก่ลูกหลานของดิฉันเอง
เคารพคุณหมอ
...........................................
ตอบครับ
คุณไม่ใช่คนแรกที่ขอผมในเรื่องนี้ ผมเข้าใจมุมมองของคุณที่ให้คุณค่าต่อประสบการณ์ชีวิตของคนรุ่นก่อน แต่ผมกลับมีความเห็นอีกอย่างหนึ่ง
ผมเคยพูดบ่อยๆว่าชีวิตคือประสบการณ์ที่เกิดขึ้นในใจ ซึ่งประสบการณ์เกิดขึ้นที่เดียว คือที่นี่ เดี๋ยวนี้ ทีละครั้ง ประสบการณ์ที่เกิดขึ้นในใจคนเรานี้ มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วก็..ผลุ้บหายไป เกิดขึ้้นแล้วผลุ้บหายไป อันแล้วอันเล่า แต่ละอันเกิดขึ้นแบบของใครของมัน แบบคนละเรื่องเดียวกัน เพราะแต่ละประสบการณ์มันเกิดจากการประชุมแห่งเหตุ หนึ่งประสบการณ์เกิดจากหลายสาเหตุไม่ใช่เกิดจากสาเหตุเดียว จึงไม่มีทางที่จะเอามันมาปะติดปะต่อให้เป็นเรื่องเดียวกันอย่างแท้จริงได้เลย
ความพยายามที่จะเอาประสบการณ์ที่ใจจดจำไว้ได้มาผูกต่อๆกันเป็นเรื่องเป็นราวจนได้นิยายที่น่าเบื่อเรื่องหนึ่งที่เรียกว่า "อัตชีวประวัติ" นั้น เป็นวิธีบ้านๆอีกวิธีหนึ่งของการสร้างสิ่งที่เรียกว่า identity หรือ "ตัวตน" ขึ้นมา ซึ่งเป็นปฐมเหตุที่ทำให้คนเราต้องมีชีวิตหมักเม่าไม่แจ่มใส เมื่อเทียบกับชีวิตของสิ่งมีชีวิตอื่นๆเช่น หมา แมว นก กระต่าย ที่มันไม่รู้วิธีเรียบเรียงอัตชีวประวัติของตัวเอง
เรื่องราว นิทาน นิยาย ที่ได้จากการปะติดปะต่อประสบการณ์ของใครคนใดคนหนึ่งขึ้นมานั้น ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระในแง่ของการเรียนรู้และพัฒนาตัวเองของคนรุ่นหลัง หากประสบการณ์ของคนรุ่นบรรพชนเป็นเรื่องมีสาระที่พิศดารแตกต่างอย่างคิดไม่ถึงจนคนรุ่นหลังเอามาใช้ประโยชน์ได้อย่างที่คุณว่าจริงแล้ว ป่านฉะนี้มนุษยชาติก็คงไม่ต้องจมปลักอยู่กับสาระพัดปัญหาอย่างทุกวันนี้ ผมจึงกลับมีความเห็นคล้อยตามคำพูดของวินสตัน เชอร์ชิลล์ ที่พูดถึงประวัติศาสตร์ของมนุษย์ว่ามันเป็นเพียง "เรื่องระยำเรื่องแล้วเรื่องเล่า (one damn thing after another)"
จริงอยู่การแชร์บางประสบการณ์สู่กันก็ย่อมมีบ้างบางครั้งที่มันอาจก่อประโยชน์เชิงสร้างสรรค์ นั่นเป็นเหตุผลที่ผมนั่งเขียนบล็อกนี้อย่างต่อเนื่องมาตั้งสิบกว่าปี แต่ว่ามันต้องเป็นการแชร์ประสบการณ์ที่เลือกสรรค์แล้วเป็นรายชิ้น ไม่ใช่การเล่า "อัตชีวประวัติ" แบบเรียงลำดับ พ.ศ. รูดมหาราช ซึ่งมีแนวโน้มจะกลายเป็นนิทานน้ำท่วมทุ่งที่น่าเบื่อหน่าย พูดถึงตรงนี้แล้วในการตอบคำถามของคุณวันนี้ผมจะถือโอกาสขอแชร์ประสบการณ์อย่างที่ว่านี้สักหนึ่งชิ้น คือผมได้เรียนรู้ว่าในการเกิดมามีชีวิตครั้งหนึ่งนี้ ความสงบเย็นและเบิกบาน หรือ peace & joy ซึ่งเป็นยอดปรารถนาของมนุษย์ทุกคนนั้นมันก็อยู่ของมันที่นั่นอยู่แล้ว ผมเกิดมาผมก็ได้เคยพบกับมันแล้ว แต่กลไกการเกิดความคิดได้ผลักดันให้ผมไปสืบเสาะค้นหาความสงบเย็นนั้นผ่านการพยายามมีประสบการณ์แบบต่างๆที่ผมไม่เคยมีให้มากขึ้นๆ ทำให้ความสงบเย็นซึ่งอยู่ที่นั่นของมันดีๆอยู่แล้วเกิดกระเพื่อมกลายเป็นความไม่สงบขึ้นมา ต่อมาเมื่อผมจับไต๋ได้ว่ามันไม่มีประสบการณ์ภายนอกอันใดที่ไหนดอกที่จะนำพาผมไปสู่ความสงบเย็นอย่างแท้จริงได้ ผมจึงเลิกดั้นด้นค้นหาอะไรเสียทั้งหมด มันก็กลับไปสงบของมันได้เองโดยอัตโนมัติ
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์