ทะเลาะกันเรื่องฝุ่น PM 2.5 บ้าจี้ เพ้อเจ้อ หรือว่าไม่รับผิดชอบ
เรียนอาจารย์หมอสันต์คะ
ทุกวันนี้เพื่อนๆทุกวงคุยกันเรื่อง PM2.5 โดยแตกกันเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งว่าอีกฝ่ายหนึ่งบ้าจี้ เพ้อเจ้อ มันจริงที่ไหนที่ว่าฝุ่น PM2.5 เข้าไปได้ถึงในกระแสเลือดไปทำให้เกิดโรคสาระพัด อีกฝ่ายก็ว่าอีกฝ่ายหนึ่งตามไม่ทันข้อมูล ซี้ซั้ว ประมาท ไม่รับผิดชอบ จนบางรายเถียงกันจนเสียเพื่อนไปเลย
ดิฉันจึงอยากถามคุณหมอสันต์ว่า 1. มันจริงหรือเปล่าที่ว่าฝุ่นละเอียดมันเข้าไปในกระแสเลือดได้ ซึ่งมันไม่น่าจะเข้าไปได้ และ 2. จริงหรือเปล่าที่ว่าฝุ่น PM2.5 สัมพันธ์กับการเป็นโรคความดัน หัวใจ มะเร็งปอด เป็นต้น 3. เราควรจะกลัว PM2.5 ไหม คำตอบของคุณหมอน่าจะยุติการทะเลาะเบาะแว้งในหมู่เพื่อนๆได้
ด้วยความเคารพนับถือค่ะ
...............................................
ตอบครับ
1. ถามว่าฝุ่นละเอียด (PM2.5) เมื่อเข้าไปในปอดแล้วจะเข้าไปในกระแสเลือดได้ไหม ตอบว่าได้แน่นอนครับ มีหลักฐานจากการวิจัยซึ่งทำที่เบลเยี่ยม [1] ตีพิมพ์ไว้ในวารสาร circulation โดยการทดลองเอาฝุ่น PM2.5 มาแปะอะตอมกัมมันตรังสี (99mTc) เพื่อให้ติดตามส่องดูได้จากภายนอกร่างกาย แล้วให้อาสาสมัครสูดดมฝุ่นละเอียดนี้เข้าไป แล้วตามไปส่องดูกัมมันตรังสีในร่างกาย ผลวิจัยพบว่ามันเข้าไปในกระแสเลือดได้ภายในเวลาเพียง 1 นาที แล้วระดับในเลือดขึ้นสูงถึงระดับสูงสุดใน 10-20 นาที แล้วค้างคาอยู่ในกระแสเลือดนานประมาณหนึ่งชั่วโมง โดยอวัยวะที่มันชอบไปส้องสุมกันอยู่มากที่สุดคือที่ตับ
2. ถามว่าฝุ่น PM2.5 สัมพันธ์กับการเป็นโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น โรคความดัน โรคหัวใจ โรคมะเร็งปอดเพิ่มขึ้นจริงไหม ตอบตามผลวิจัยเชิงระบาดวิทยาคลินิกว่า..จริงครับ ข้อมูลวิจัยเชิงระบาดวิทยาคลินิก (ผมเอางานวิจัยวิเคราะห์รวมแบบเมตาอานาไลซีสมาแปะให้ดูท้ายนี้) สรุปภาพรวมได้ว่าฝุ่น PM2.5 มีความสัมพันธ์กับการเป็นโรคความดันเลือดสูง[2] โรคหัวใจ[3] โรคมะเร็งปอด[4] งานวิจัยทางคลินิกเหล่านี้เป็นงานวิจัยระดับทำได้ดี คือมีการขจัดปัจจัยกวนที่เป็นสาเหตุอื่นๆของโรคออกไปแล้ว จึงมีความเชื่อถือได้เต็มที่ตามระดับชั้นของมัน หมายความว่าเนื่องจากระดับชั้นของงานวิจัยเชิงระบาดวิทยา (epidemiologic data) มีระดับชั้นต่ำกว่างานวิจัยสุ่มตัวอย่างแบ่งกลุ่มเปรียบเทียบ (RCT) มันจึงบอกได้เพียงแต่ว่าฝุ่น PM2.5 สัมพันธ์กับการเป็นโรคเรื้อรังมากขึ้น แต่ไม่สามารถบอกได้ว่าฝุ่น PM2.5 เป็นสาเหตุเพียวๆสาเหตุเหน่งๆหนึ่งเดียวที่ทำให้เกิดโรคเรื้อรังเหล่านี้หรือไม่ การจะบอกอย่างนั้นได้ต้องทำวิจัยอีกแบบ คือวิจัยแบบสุ่มตัวอย่างแบ่งกลุ่มเปรียบเทียบ (RCT) หมายความว่าเอาคนดีๆมาจับฉลากแบ่งเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งให้ดมขี้ฝุ่นทุกวันไปสักยี่สิบปี อีกกลุ่มหนึ่งให้หายใจอากาศบริสุทธิ์ แล้วตามดูว่ากลุ่มไหนจะตายด้วยโรคเรื้อรังมากกว่ากัน ซึ่งการวิจัยแบบนั้นในชีวิตจริงมันทำไม่ได้ดอก ดังนั้นเราจึงต้องอาศัยข้อมูลเชิงระบาดวิทยาเท่าที่มีอยู่มาใช้โดยคิดคาดเดาต่อยอดส่วนที่เรายังไม่รู้ความจริงเอาเอง
3. ถามว่าเราควรจะกลัว PM2.5 ไหม ตอบว่าในชีวิตนี้คนเราไม่ควรจะกลัวอะไรทั้งสิ้น ไม่งั้นชีวิตนี้ก็จะหาความสงบสุขไม่ได้ แต่เราควรมองสิ่งต่างๆที่เข้ามาในชีวิตว่าเป็นความท้าทายให้เราหาทางรับมือหรือแก้ไขปัญหา
เรื่องขี้ฝุ่นนี้ก็เหมือนกัน เราไม่ควรกลัวขี้ฝุ่นแบบขี้ขึ้นสมอง แต่เมื่อมีขี้ฝุ่นเราควรถือเป็นโอกาสหรือเป็นความท้าทายให้เราหาทางรับมือและลงมือแก้ไข อย่าไปมัวโทษว่าขี้ฝุ่นเกิดจากอะไรเลย ถ้าจะพูดแบบง่ายๆมันก็เกิดจากกรรมเก่าที่เราในฐานะมนุษย์ทั้งหลายช่วยกันทำไว้นั่นแหละ ถ้าจะพูดแบบวิเคราะห์ปัจจัยเชิงวิทยาศาสตร์ มันเกิดเพราะโลกมันร้อนขึ้นและแห้งขึ้นทำให้อะไรอะไรก็จุดติดไฟง่ายไปหมด ในส่วนที่ว่าโลกมันแห้งขึ้นนั้น เป็นเพราะเมื่อมนุษย์มีมากขึ้นก็ถางป่าเผาป่ามากขึ้นและสูบน้ำใต้ดินขึ้นมาใช้มากขึ้น ระดับน้ำใต้ดินก็ลดระดับลงไปๆ ข้อมูลของอินเดียบอกว่าระดับน้ำใต้ดินของเขาลดลงปีละประมาณ 1 เมตร ของไทยก็คงไม่แพ้กัน เมื่อระดับน้ำใต้ดินลดลงไปมากจนรากต้นไม้หยั่งลงไปไม่ถึงน้ำ ก็ทำให้ต้นไม้แห้งกรอบพร้อมจุดไฟติดได้ทุกเมื่อ
การแก้ไขเราก็แค่ช่วยกันคนละมือไม่ให้โลกร้อน ยกตัวอย่างที่ผมเองทำ เช่น
(1) แยกขยะ เอาขยะย่อยสลายได้มาทำเป็นปุ๋ยใช้เองในที่ดินของตัวเอง ก็ลดขยะที่จะส่งให้อบต.เอาไปเผาลงไปได้ประมาณ 80% ซึ่งก็เป็นเปอร์เซ็นต์ที่เยอะอยู่นะ ไม่เชื่อลองทำเองดู
(2) ประหยัดน้ำ เนื่องจากผมชอบทำเกษตรเป็นงานอดิเรกอยู่แล้ว แต่ก่อนที่ผมเคยใช้น้ำแยะๆก็เปลี่ยนเป็นเกษตรประหยัดน้ำหมด เรียกว่าคำนวณกันเป็นหยดเลยทีเดียว ที่เคยพ่นสปริงเกิ้ลจนหญ้าเขียวเดี๋ยวนี้เลิกหมดแล้ว นอกจากนั้นผมก็วางแผนเก็บน้ำฝนไว้ใช้ทุกเม็ดทุกดอก เพื่อลดการดูดน้ำใต้ดินขึ้นมาใช้ อย่างไรก็ตาม ปีนี้แผนของผมไม่ช่วยประหยัดน้ำใต้ดินได้เท่าไหร่ เพราะมันไม่มีน้ำใต้ดินจะให้ดูด หิ..หิ
(3) ปลูกป่า พื้นดินที่เรามีอยู่ ถ้าขยันไถแล้วทิ้งโล่งไว้ก็จะแห้งเป็นขุยขี้ฝุ่นเมื่อลมพัดก็ฟุ้งกระจาย ถ้าไม่ไถแต่ทิ้งให้รกร้างก็จะกลายเป็นเชื้อให้ไฟติดแล้วส่งลูกไฟปลิวไปเผาที่รกร้างของคนอื่นที่อยู่ห่างออกไป ที่ดินของผมทุกแปลงผมจึงปลูกป่าหมด การปลูกป่านี้มันง่ายอยู่ แต่การบำรุงรักษาป่าเนี่ยสิมันยากหนักหนา ถ้าไม่มีความอึดจริงต้องมีอันเลิกราไปกลางคันแทบทุกราย แต่ก่อนผมชอบพูดค่อนแคะกรมป่าไม้ว่าปลูกป่าไปเท่าไหร่ก็ไม่เห็นปลูกขึ้นสักที แต่เดี๋ยวนี้พอมาลงมือบำรุงรักษาป่าที่ตัวเองปลูกเองแล้วผมหุบปากเงียบเลยไม่พูดค่อนแคะอะไรใครอีกแล้ว เพราะว่าการบำรังรักษาป่าที่ปลูกแล้วมันยากถึงยากที่ซู้ด..ด ยังไม่นับว่าจากนี้ไปมันจะดับเบิ้ลยากเพราะดูดน้ำใต้ดินขึ้นมารดต้นกล้าไม่ขึ้นอีกต่างหาก ดังนั้นการที่ท่านคิดจะปลูกป่านั้นเป็นความคิดที่ดีจงรีบทำเถิด แต่ท่านต้องมีความอึดและต้องไม่โลภมาก ทำทีละน้อย เน้นเตรียมทรัพยากร (แปลว่าเงิน) ไว้ใช้ในการบำรงรักษาให้มากกว่าทรัพย์ที่เตรียมไว้ใช้ในการปลูก ตัวผมเองตอนนี้ยังพอแข็งแรงเดินเหินได้ก็ยังอึดอยู่ไม่ยอมเลิก แก่ปูนนี้แล้วมันไม่มีอะไรดีกว่านี้จะทำแล้วด้วย จึงต้องเดินหน้ากับการปลูกป่าของผมต่อไป หิ หิ
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
บรรณานุกรม
1. Nemmar A, Hoet PH, Vanquickenborne B, Dinsdale D, Thomeer M, Hoylaerts MF, Vanbilloen H, Mortelmans L, Nemery B. Passage of inhaled particles into the blood circulation in humans. Circulation. 2002 Jan 29;105(4):411-4. doi: 10.1161/hc0402.104118. PMID: 11815420.
2. Cai Y, Zhang B, Ke W, Feng B, Lin H, Xiao J, Zeng W, Li X, Tao J, Yang Z, Ma W, Liu T. Associations of Short-Term and Long-Term Exposure to Ambient Air Pollutants With Hypertension: A Systematic Review and Meta-Analysis. Hypertension. 2016 Jul;68(1):62-70. doi: 10.1161/HYPERTENSIONAHA.116.07218. Epub 2016 May 31. PMID: 27245182.
3. Farhadi Z, Abulghasem Gorgi H, Shabaninejad H, Aghajani Delavar M, Torani S. Association between PM2.5 and risk of hospitalization for myocardial infarction: a systematic review and a meta-analysis. BMC Public Health. 2020 Mar 12;20(1):314. doi: 10.1186/s12889-020-8262-3. PMID: 32164596; PMCID: PMC7068986.
4. Hughes BD, Maharsi S, Obiarinze RN, Mehta HB, Nishi S, Okereke IC. Correlation between air quality and lung cancer incidence: A county by county analysis. Surgery. 2019 Dec;166(6):1099-1104. doi: 10.1016/j.surg.2019.05.036. Epub 2019 Jul 8. PMID: 31296429; PMCID: PMC7063959.