หมอสันต์สวัสดีปีใหม่ 2568 / 2025
ถือโอกาสอ้างเทศกาลปีใหม่หยุดทำงานไปนานหลายวัน ตลอดหลายวันนี้ผมปิดโทรศัพท์มือถือ (ซึ่งธรรมดาถึงเปิดไว้ก็ไม่กล้ารับสายอยู่แล้วเพราะกลัวโจร!) ปิดหน้าจอคอม หมกตัวอยู่ที่บ้านมวกเหล็ก ใช้ชีวิตอย่างเชื่องช้า หมดเวลาไปกับธรรมชาติ อากาศเย็น และลมหนาวแบบเงียบๆ การกลับมาวันนี้ขอเริ่มต้นด้วยการขอโทษหลายๆท่านที่รอการสนองตอบจากผมในเรื่องต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเซ็นเอกสารให้ การส่งบทความที่เลยกำหนด การตอบรับไปบรรยายต่างๆเพื่อเจ้าภาพจะได้จัดตารางได้เสียที เป็นต้น ส่วนคำถามมายังบล็อกที่ค้างคาอยู่ยังไม่ได้ตอบนั้น ในโอกาสขึ้นปีใหม่นี้ผมขออนุญาตทุบดินพอกหางหมู คือโละของเก่ามาเริ่มต้นกันใหม่เสียเลย ก็ถือโอกาสขออภัยท่านที่เขียนมาแล้วผมยังไม่ได้ตอบด้วย
ในโอกาสที่กลับมาสวัสดีปีใหม่กันนี้ ผมอยากจะแชร์ความคิดในเรื่องหนึ่ง
คือเรื่อง ชีวิตคนเราวันนี้เกิดคู่แข่งรายสำคัญขึ้นมาแล้ว
สมัยก่อน การใช้ชีวิตแม้จะซื่อบื้ออย่างไรก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรน่ากังวลมาก เพราะชีวิตดำเนินไปตามรอบที่เรามองเห็นความซ้ำซากได้ล่วงหน้า แม้จะขี้เกียจ โอกาสที่เสียไปก็ไม่มีอะไรมาก ขยันขึ้นมาเมื่อไหร่ค่อยตามเอาคืนได้ ยกตัวอย่างเช่นหากเป็นชาวพุทธที่อยากหมดทุกข์แต่ขี้เกียจปฏิบัติภาวนา โอกาสที่เสียไปอย่างมากก็ไปถึงความหลุดพ้นหรือ enlightenment ได้ช้าลง..แค่นั้น เพราะว่ากลไกการสนองตอบอัตโนมัติแบบหุ่นยนต์ของใจเรานั้น เมื่อเรารู้เช่นเห็นชาติเข้าใจตรรกะการทำงานของมันดีแล้ว มันก็จะออกฤทธิ์อยู่แค่ประมาณนั้น เอาไว้เรา "ฮึด" ขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ค่อยมาจัดการกับมันเมื่อนั้นก็ได้
แต่มาถึงสมัยนี้ หรืออย่างน้อยก็ พ.ศ. นี้ มันมีคู่แข่งรายสำคัญเกิดขึ้นจนเราเฉยไม่ได้เสียแล้ว คู่แข่งนั้นก็คือสมองกล (AI) ที่พยายามแฮ้ก (hack) สมองของเราตลอดเวลาด้วยวิธีจดจำว่ากลไกความเป็นหุ่นยนต์ของตัวเรานี้มันชอบอะไรมันทำงานอย่างไร แล้วเรียนรู้ที่จะป้อนสิ่งที่ยั่วความสนใจของเราจนลากให้การตัดสินใจของเราไปสู่แนวทางที่มันต้องการของมันได้สำเร็จครั้งแล้วครั้งเล่า มันประสบความสำเร็จมากเสียจนหากมีคนที่ยังลำพองตัวเองอยู่ว่าเป็นเสรีชน ที่มีจิตอิสระ (free will) ที่คิดอยากทำอะไรของตัวเองก็ได้ทำและทำได้นั้น เขาหารู้ไม่ว่าเขาได้ตกเป็นทาสของสมองกลไปอย่างสมบูรณ์เรียบร้อยไปนานแล้ว เพราะที่เราคิดขึ้นมาว่าจะทำโน่นทำนี่ ณ วันนี้ด้วยคิดว่ามันเป็น free will ของเรานั้น แท้จริงแล้วเป็น fake news ที่ถูกโปรแกรมข้อมูลใส่เข้ามาในหัวของเราด้วยสมองกลทั้งสิ้น
ผมมาถึงข้อสรุปนี้ได้จากการสังเกตตัวเองและสังเกตคนรอบตัว ว่าความคิด พฤติกรรม การพูด การกระทำในแต่ละวันของแต่ละคนนั้น ล้วนแล้วแต่ถูกกำหนดโดยสิ่งที่ผมหรือคนรอบตัว "เสพย์" มาจากหน้าจอมือถือไอแพ็ดไอโฟนหรือจอคอมเกือบจะล้วนๆ คืออย่างน้อยก็ 99% ที่จะเรียกได้ว่าเป็น free will นั้น มีน้อยมาก คือตัวผมให้ 0% ไปเลยรู้แล้วรู้รอด
พูดถึงการเสพย์ กลไกการเป็นหุ่นยนต์ของมนุษย์เรานี้ธรรมชาติผูกมันเป็นกลไกการ "เสพย์ติด" (addiction) ไว้กับสิ่งที่สัญชาติญาณหรือความคิดดั้งเดิมเสี้ยมเราไว้ว่านี่คือสิ่งที่เราชอบ หนึ่งใน "สิ่ง" เหล่านั้นที่สมองกลใฃ้แฮ้กสมองเราก็คือการเสพย์ติดความตื่นเต้นเล็กๆน้อยๆในระดับที่ไม่กระทบกระเทือนการอยู่รอด (survival) ของเราเอง วิธีแฮ้กของสมองกลก็คือขยันป้อนความตื่นเต้นเล็กๆน้อยๆนี้เข้ามาทางหน้าจอจนคนเสพย์ติดกันงอมตั้งแต่ตื่นเช้าก็ผวาหาหน้าจอ ตกดึกก็หลับไปพร้อมกับหน้าจอยังวางอยู่บนหน้าอก
ที่ผมจะพูดถึงในคำสวัสดีปีใหม่นี้ ผมขอพูดกันท่านเป็นประเด็นย่อยๆเพื่อไม่ให้ท่านงง
ประเด็นที่ 1. ก็คือ แม้ "เวลา" จะเป็นเพียงคอนเซ็พท์ที่มนุษย์คิดขึ้นโดยไม่มีสารัตถะจริงแท้อะไรอยู่เบื้องหลังเลยก็ตาม แต่มันก็มีประโยชน์ที่ช่วยเตือนเราว่าเราก็เหมือนหนอนเหมือนดักแด้ที่วงจรชีวิตของเราปรากฎอยู่ในโลกนี้เพียงช่วงสั้นๆแล้วก็ตายไป
ประเด็นที่ 2. เวลาที่เหลืออยู่ไม่มากนี้ เราจำเป็นต้องใช้มันให้คุ้มค่ามากที่สุด อุปมาเหมือนคนไปเทียวเมืองนอกก็ต้องใช้ทุกเวลานาทีให้คุ้มที่เสียเงินค่าเครื่องบินไป แล้วสำหรับคนที่ผ่านโลกมามาก เจนจบทุกแง่ทุกมุมของชีวิตแบบที่เรียกว่า been there, done that มาหมดแล้ว สิ่งที่เหลือให้สำรวจค้นหาก็ดูจะเหลืออยู่อย่างเดียว คือความรู้เรื่องข้างในของตัวเองที่พ้นไปจากสิ่งที่เราเคยเรียนรู้มา หรือที่ภาษาจะพรรณาไปถึงได้
ประเด็นที่ 3. ในการจะเรียนรู้ข้างในตัวเองให้ถึงระดับ "เห็นตามที่มันเป็น" โดยไม่ถูกครอบ หรือถูกบิดเบือนด้วยกรอบการมองของเรานั้น จำเป็นที่จะต้องทิ้งความจำและความคิดในหัวเราที่กำหนดความเป็นตัวเรา (identity) ไปเสียให้หมดก่อน เราจึงจะเห็นได้
ประเด็นที่ 4. ในการจะทิ้งความจำ ความคิด ความยึดติดในความเป็นเราไปนี้มันดูจะเป็นไปได้ไม่ยากนักหากสิ่งที่เราเรียนรู้และจดจำไว้แต่เดิมมันล้วนเดิมๆ และไม่ "เยอะ" จนเกินความเข้าใจของเรา อุปมาผู้ใช้ชีวิตแบบบ้านๆย่อมไม่ยากเลยที่จะมองเห็นว่าความคิดใหม่ที่โผล่ขึ้นมาในหัวรอบนี้มันมาจากไหนมันมาเพื่ออะไร
แต่มาบัดนี้กลไกการป้อนความคิดใส่หัวเรามันทำโดยสมองกลซึ่งป้อนข้อมูลเข้ามาแบบเยอะ แบบถี่ แบบซับซ้อน แบบสอดรับกันเป็นลูกระนาดอย่างแยบยล เพราะสมองกลสมัยนี้สามารถเรียนรู้วิธีแฮ้กสมองเราให้ได้ผลด้วยตัวสมองกลเองได้ด้วย จึงเป็นการยาก หรือดับเบิ้ลยาก หรือยากส์..ส์ (มีตัวเอสด้วยนะ คือยากมาก) ที่เราจะมีสติรู้ทันความคิดที่โผล่ขึ้นมาในหัวของเราในแต่ละช็อตเพราะ 99% มันไม่ใช่ความคิดของเราเองที่เราคุ้นเคยและรู้จักกำพืดมันดีแล้ว แต่มันเป็นความคิดที่ป้อนใส่หัวเราโดยสมองกลในวาระและโอกาสที่เราไม่รู้ตัว ยิ่งนานไปเราก็ยิ่งถลำลึกในการเป็นหุ่นกระบอกให้สมองกลชักใย โอกาสที่จะ "หลุดพ้น" จากกรงความคิดของสมองกลที่จำแลงมาในรูปของความคิดของตัวเราเองนั้น..แทบไม่มีเลย
ประเด็นที่ 5. ในอาการที่พะงาบ แผ่ว ใกล้จะสิ้นลมนี้ มันยังพอมีพลังชีวิตเหลืออยู่นะ ถ้าเราจะ "ฮึด" ปลดแอกตัวเองออกจากการเป็นทาสของสมองกล วิธีปลดแอกที่ผมจะเสนอนี้ก็ไม่ยาก คือขอแค่วันละ 1 ชั่วโมง ที่เราสามารถปิดหน้าจอ ปิดโทรศัพท์มือถือ อยู่นิ่งๆเงียบๆกับธรรมชาติหรือกับการงานที่อยู่ตรงหน้า ให้กลไกการสังเกตการโผล่ขึ้นมาของความคิดในแต่ละช็อตได้ฝึกทำงานบ้าง ที่ละนิด ทีละนิด แล้วมันก็จะแข็งแรงขึ้น แข็งแรงขึ้น จนเราขึ้นมาอยู่เหนือความคิดที่ยัดเยียดเข้ามาโดยสมองกลได้ และสามารถใช้สมองกลเป็น "คนรับใช้" ของเราได้อย่างที่เราเคยตั้งใจจะให้มันเป็น
ห้าประเด็นสู่การปลดแอกจากสมองกล สำหรับท่านที่ชีวิตนี้ไม่มีอะไรดีกว่านี้จะให้ทำแล้ว ลองทำดูนะครับ
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์