29 กรกฎาคม 2567

กินโกโก้แล้วทำให้กระดูกบางจริงหรือคะ



(ภาพวันนี้ / แวะเยี่ยมหลุมศพของราเบคที่ข้างสถานีรถไฟมวกเหล็ก เขาเป็นช่างสำรวจชาวเดนมาร์คที่มาตายในงานก่อสร้างทางรถไฟผ่านดงพญาเย็นสมัย ร. 5)

คุณหมอคะ
ไม่ได้รบกวนคุณหมอนานแล้ว ขอถามว่าคนเป็นโรคกระดูกพรุนไม่ควรกินโกโก้เหรอคะ พี่อายุ 75 ปี สูง 155 ซม. น้ำหนัก 40 กก. เป็นกระดูกบาง กินโกโก้ทุกเช้า วันละ 1 ช้อนชา ชงดื่มกับensure 2 ช้อน ทำอย่างนี้มาหลายปีแล้วค่ะ ควรเลิกไหมคะ ดูจากคลิปหมอ … แล้วโกโก้มีประโยชน์มากค่ะ
ขอบคุณมากค่ะ
……………………………………………

ตอบครับ
1.. โกโก้เป็นสาเหตุทำให้กระดูกบางหรือกระดูกพรุนหรือไม่ ตอบว่ายังไม่มีใครตอบได้ดอกครับ เท่าที่ผ่านมามันมีแต่หลักฐานระดับต่ำซึ่งเป็นงานวิจัยแบบตัดขวางในคนจำนวน 1001 คนโดยวัดมวลกระดูกแล้วใช้แบบสอบถามดูความถี่ของการกินช็อกโกแลตแล้วสรุปว่าผู้ที่กินช็อกโกแลตมากกว่าวันละ 1 ครั้ง (มากกว่าสัปดาห์ละ 7 ครั้ง) มีกระดูกบางมากกว่าเมื่อเทียบกับผู้กินชอกโกแลตน้อยกว่าสัปดาห์ละ 1 ครั้ง จึงสรุปว่าการกินชอกโกแลตมากกว่าวันละ 1 ครั้งอาจสัมพันธ์กับการเป็นกระดูกบาง
งานวิจัยนี้ผมนับเป็นหลักฐานระดับต่ำ เพราะเป็นงานวิจัยตัดขวาง (cross section study) ไม่ใช่การสุ่มตัวอย่างแบ่งกลุ่มเปรียบเทียบ (RCT) หรือการติดตามดูกลุ่มคนแบบไปข้างหน้า (prospective cohort study) หลักฐานแค่นี้มันไม่พอที่จะสรุปว่ากินช็อกโกแลตแล้วสัมพันธ์กับการเกิดกระดูกบาง ยิ่งจะไปสรุปว่าการกินช็อกโกแลตเป็นต้นเหตุให้เกิดกระดูกบางยิ่งพูดไม่ได้เลย ต้องรองานวิจัยระดับสูงกว่านี้ที่ดีกว่านี้ แต่ตั้งแต่งานวิจัยชิ้นนี้ออกมาในปี 2008 คือสิบหกปีมาแล้ว ก็ไม่มีงานวิจัยเรื่องนี้ที่ใหม่กว่านี้ออกมาอีกเลย ผมจึงขอสรุปคำตอบว่านับถึงวันนี้ยังไม่มีหลักฐานมากพอที่จะมาแนะนำผู้คนว่าอย่ากินช็อกโกแลตด้วยเหตุว่าจะทำให้กระดูกบางเลยครับ
สิ่งที่ผมแนะนำคุณพี่ได้เต็มปากเต็มคำเพราะมีหลักฐานมากพอแล้วก็คือ (1) คนที่ผอมเป็นทุนอยู่แล้วอย่างคุณพี่นี้ อย่าทำตัวเป็นคนรังเกียจรังงอนกับอาหาร (food aversion) ในทางตรงกันข้ามควรกินทุกอย่างที่ขวางหน้า เพราะความเสี่ยงของการมีดัชนีมวลกายต่ำนั้นมากกว่าความเสี่ยงที่จะเกิดจากการกินโน่นกินนี่มากเกินไปหลายเท่า ตัวช็อกโกแลตนั้นไม่มีหลักฐานว่ามีผลเสียต่อสุขภาพแต่อย่างใดอย่างที่บอกแล้ว แต่แม้เครื่องเคียงของช็ฮกโกแลตอันได้แก่ครีมและน้ำตาลซึ่งมีหลักฐานว่ามีผลเสียต่อสุขภาพกรณีเป็นคนอ้วนหรือคนไขมันในเลือดสูงหรือเป็นเบาหวาน แต่สำหรับคุณพี่มันก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร เพราะคุณพี่ไม่ได้อ้วน ไม่ได้มีไขมันในเลือดสูง ไม่ได้เป็นเบาหวาน ดังนั้นให้ถือสูตรกินทุกอย่างที่ขวางหน้าดีกว่าที่จะมาสร้างกฎประจำตัวว่านั่นกินไม่ได้นี่กินไม่ได้ครับ
(2) ถ้าคุณพี่กังวลเรื่องกระดูกหักซึ่งเป็นปลายทางที่ทำให้คนกลัวกระดูกบางกระดูกพรุน ก็ให้คุณพี่ขยันออกแดด เคลื่อนไหวมากๆ และเล่นกล้าม เพราะการทำทั้งสามอย่างนี้ลดการเกิดกระดูกหักในผู้สูงวัยได้แน่นอน
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
บรรณานุกรม
1. Hodgson JM, Devine A, Burke V, Dick IM, Prince RL. Chocolate consumption and bone density in older women. American Journal of Clinical Nutrition. 2008 Jan; 87(1):175-180. https://doi.org/10.1093/ajcn/87.1.175.

[อ่านต่อ...]

27 กรกฎาคม 2567

ไม่เก็ทที่คุณหมอสอนถึงการย้ายตัวตนไปเป็นความว่างเปล่าอันกว้างใหญ่

(ภาพวันนี้ / ผึ้งกับเทียนหยด เห็นผึ้งมั้ย?)

ใน SR คุณหมอสอนถึงการย้ายตัวตนจากการเป็นบุคคลคนหนึ่งมีร่างกายมีความคิดของมันเองอยู่นี้ ไปเป็นความว่างเปล่าที่ไม่ได้เป็นอะไรเลยที่คุณหมอเรียกว่าความรู้ตัวและยังบอกด้วยว่ามันมีความรู้ตัวอันเดียวที่ทุกคนใช้ร่วมกัน เปรียบเหมือนความว่างเปล่าอันกว้างใหญ่ที่ทุกอย่างที่เห็นที่ได้ยินรวมทั้งร่างกายและความคิดของเราและของคนอื่นด้วยก็ล้วนอยู่ในความรู้ตัวนี้ ตรงนี้ดิฉันเอากลับมาคิดต่อแล้วไม่เก็ท คือไม่เก็ทว่าร่างกายและความคิดของคนอื่นจะมาเป็นส่วนหนึ่งของเราได้อย่างไร และยิ่งคุณหมอบอกว่าเมื่อมาอยู่ที่ตรงนี้เมตตาธรรมอย่างไม่มีขอบเขตมันจะเกิดขึ้นมาเอง ยิ่งไม่เก็ทใหญ่ ช่วยอธิบายด้วยค่ะ แล้วถ้าย้ายตัวตนได้แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าย้ายได้แล้ว

………………………………………………….

ตอบครับ

โห..คุณเป็นนักเรียนที่เอาถ่านดีมากนะเนี่ย ผมจะตอบคำถามคุณอย่างตั้งใจเลยนะ

1.. ประเด็นเมื่อเราย้ายตัวตนจากการเป็นคนคนนี้ไปเป็นความว่างเปล่าที่โอบล้อมเอาทุกชีวิตไว้ในนั้นมันจะเป็นไปได้อย่างไร อะแฮ่ม ผมจะอธิบายนะ   ก่อนอื่นให้คุณลืมชีวิตในขณะตื่นไปก่อนนะ ติ๊งต่างว่าคืนหนึ่งคุณนอนหลับแล้วฝันไป คุณฝันว่าคุณไปงานปาร์ตี้ที่บ้านเพื่อน มีบ้าน มีสระว่ายน้ำ มีเพื่อนๆหลายคนมาร่วมงาน คุยกันไปคุยกันมาสนุกสนาน จับภาพตรงนี้ให้นิ่งไว้เหมือนฟรีซเฟรมวิดิโอไว้ก่อนนะ ในความฝันนั้น ทั้งบ้าน ทั้งสระว่ายน้ำ ทั้งผู้คนที่มาปาร์ตี้กันในงาน รวมทั้งตัวคุณด้วย พวกเขามาจากไหน มาจากบ้านใครบ้านมันหรือเปล่า แล้วบ้านและสระว่ายน้ำที่ใช้ปาร์ตี้กันนั้น ใครสร้างขึ้น เพื่อนคุณที่เป็นเจ้าของบ้านเขาสร้างขึ้นหรือเปล่า เปล่าทั้งเพ ทั้งหมดนั้นคุณคนเดียวที่นอนหลับอยู่บนเตียงสร้างทั้งหมดนั้นขึ้นมาเองทั้งสถานที่บุคคลและเรื่องราว คุณสร้างขึ้นมาในห้วงความคิดคำนึงของคุณ และผู้รับรู้เรื่องราวความฝันทั้งหมดนั้นก็คือความสามารถรับรู้หรือความรู้ตัวของคุณล้วนๆ ความรู้ตัวของคุณใส่ทั้งบ้าน ทั้งสระว่ายน้ำ ทั้งผู้คน ทั้งเรื่องราวในงานปาร์ตี้ ไว้ในความรู้ตัวได้ทั้งหมด แล้วเวลาเพื่อนคุณในฝันพูดยั่วยวนคุณ ใครละที่เป็นคนใส่ความคิดหรือคำพูดให้เขา เขาคิดขึ้นมาที่เตียงนอนที่บ้านของเขาแล้วส่งเป็นกระแสจิตมาเข้าฝันคุณรึก็เปล่า เปล่าเลย คุณเป็นคนใส่เนื้อหาทั้งหมดเข้าไปเองทั้งนั้น

พูดง่ายๆว่าในความฝัน จักรวาลทั้งมวลนี้ล้วนสร้างขึ้นและรับรู้โดยคุณ พอคุณตื่น ทั้งหมดนั้นก็หายแว้บไปง่ายๆ บ้านก็ไม่ต้องจ้างผู้รับเหมามารื้อ มันหายแว้บไปซะงั้น

อุปมา อุปไมย ฉันใด ก็ฉันเพล ในความตื่น ทั้งหลายทั้งปวงที่คุณรับรู้ได้ทั้งตัวและใจของคุณเอง รวมไปถึงตัวและใจของคนอื่น บ้าน ตึก เครื่องบิน รถไฟ และเรื่องราวประกอบ ทั้งหมดนั้นมันเกิดขึ้นในความรู้ตัวของคุณคนเดียวทั้งสิ้น และเมื่อคุณตาย ทั้งหมดนั้นก็จะหายแว้บไปเหมือนเมื่อคุณตื่นจากความฝัน

ติ๊งต่างว่ามีเหตุอะไรสักอย่างที่ทำให้ใจของคุณตายไปจากการเป็นตัวตนคนนี้แล้ว แต่เผอิญร่างกายของคุณยังไม่ตาย คุณยามนี้ก็จะเหมือนเป็นผู้กำกับหนังคนหนึ่งที่มีความว่างเปล่าอันกว้างใหญ่ไร้ขอบเขตซึ่งเป็นฉากหนังเป็นตัวตนใหม่หรือเป็นความรู้ตัวของเธอ มีตึกรามบ้านช่อง มีผู้คนรวมทั้งร่างกายของคุณเองด้วยกำลังเดินเหินพูดจากันไปมาอยู่ในหนังเรื่องนั้น ถูกแมะ นี่แหละ คือการย้ายตัวตนจากการเป็นบุคคลคนนี้ไปเป็นความว่างเปล่าอันกว้างใหญ่ที่โอบรับทุกชีวิตไว้ภายในหมด โดยที่ชีวิตก็ยังดำเนินไปอย่างปกติ

แน่นอนในฐานะนักแสดงคุณยังได้เป็นนางเอกหนังเรื่องนี้อยู่เพราะร่างกายคุณยังไม่ตาย แต่คุณในอีกฐานะหนึ่งคุณที่เป็นผู้กำกับหนังคนนั้น จะรังเกียจเดียดฉันท์ชิงชังคนอื่นที่เล่นบทอื่นอยู่ในหนังของเธอไหมละ นี่แหละคือคำอธิบายกำเนิดของเมตตาธรรมไร้ขอบเขตเมื่อได้หลุดพ้นจากความยึดถือจากการเป็นตัวตนคนเดิมแล้ว

คุณอาจจะโต้แย้งว่า

“..หมอสันต์ซี้ซั้วต่า ฝันมันจะเอามาเปรียบกับตื่นได้ไง เพราะฝันเป็นของปลอม ตื่นเป็นของจริง”

            หิ..หิ หมอสันต์ไม่เถียงนะ แต่จะขอยกขี้ปากของใครผมก็จำไม่ได้แต่จำเนื้อหาได้เลาๆว่า

“..โลกซึ่งเต็มไปด้วยความยึดถือเกี่ยวพันและการต่อสู้ทำลายล้างต่างๆนาๆนี้ มันเป็นเหมือนความฝัน ซึ่งจะดูเป็นจริงเป็นจังเฉพาะสำหรับคนที่ไม่รู้ว่าตัวเองติดอยู่ในความฝันนั้น แต่จะเป็นเรื่องไร้สาระสำหรับผู้ที่ตื่นแล้ว”

            2.. ถามว่า เมื่อย้ายตัวตนแล้ว จะรู้ได้อย่างไรว่าย้ายตัวตนสำเร็จ ตอบว่า เมื่อใดก็ตามที่ใจนี้เหลือแต่สี่อย่างคือ (1) ความตื่น (2) ความสามารถรับรู้ (3) ความสงบเย็น และ (4) ความเบิกบาน เมื่อนั้นแปลว่าย้ายตัวตนได้สำเร็จแล้ว

            ถามว่าหมอสันต์รู้ได้อย่างไรว่าสี่อย่างที่ว่ามานี้เป็นหมุดหมายว่าเปลี่ยนตัวตนสำเร็จแล้วจริง ตอบว่าผมก็เดาเอาสิครับ

            พูดถึงตรงนี้ขอนอกเรื่องหน่อย สมัยเด็กๆผมกับเพื่อนพากันเดินเท้าไปยังตำบลป่าอ้อเพื่อไปหาซื้อไก่ชน เพราะสมัยนั้นผู้คนมีสโลแกนว่า “ไก่ชนดีตีดุตำบลป่าอ้อ” เดินกันไปจนเกือบสุดขอบโลกจวนเจียนจะหมดแรงจากแดดร้อนก็มาถึงหมู่บ้านหนึ่ง มีไก่ชนตัวเล็กตัวน้อยคุ้ยเขี่ยดินอยู่ตั้งแต่ชายหมู่บ้าน จึงตกลงกันเป็นเอกฉันท์ว่าตรงนี้แหละคือ ตำบลป่าอ้อ หิ หิ

            ผมยอมรับว่าคำถามของคุณบางคำผมก็ตอบไม่ได้ อุปมาอุปไมย คุณรู้หรือเปล่าละว่าทำไมไฟจึงร้อน ทำไมน้ำจึงเย็น ตัวผมเองไม่รู้หรอก ผมรู้แค่ว่าเนี่ย..อย่างเงี้ยะ คือเย็น

เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้ ท่านจะเก็ท จะไม่เก็ท ไม่ซีเรียส ฮิ..ฮิ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

26 กรกฎาคม 2567

หลอดเลือดตีบสามเส้นแถมหัวใจล้มเหลว

(ภาพวันนี้ / ไปยกกระถางเพื่อใส่ทรายกันยุงแล้วกระถางแตก ขอโชว์วิศวกรรมการซ่อมกระถาง)

เรียนคุณหมอสันต์ที่นับถือ
ผมอายุ 67 ปี ปกติออกกำลังโดยการเดินวันละ1หมื่นก้าวมาหลายปี ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาเริ่มมีอาการเหนื่อยขึ้นเดินลดเหลือ 6 พันก้าวมีอาการปวดหลัง บางครั้งเจ็บบริเวณกล้ามเนื้อหน้าอก เป็นๆหายๆครับ จนมาตรวจร่างกายประจำปีเมื่อเดือนที่แล้วพบว่าผล ekg มีความผิดปกติเล็กน้อย เลยตรวจ echo และ stress test เพิ่มพบว่ามีความผิดปกติหมอลงความเห็นให้ทำการฉีดสีหากพบว่าตันจะทำบอลลูนให้เลย ฉีดสีแล้วผลฉีดสีไม่สามารถทำบอลลูนได้ หมอเลยแนะนำให้ไปพบหมอทำ by pass ครับ ขอปรึกษาคุณหมอสันต์ว่าการทำ by pass มีความเสี่ยงแค่ไหน ควรทำหรือไม่ควรทำ (ส่งผล echo และฉีดสีมา)
………………………………………………………

ตอบครับ

1.. การวินิจฉัย
ดูจากภาพคลื่นไฟฟ้าหัวใจขณะพัก แสดงว่าเคยเกิดกล้ามเนื้อหัวใจตายมาก่อน เมื่อบวกกับประวัติที่ว่าอยู่ดีๆมาตลอดแต่ตั้งแต่สามเดือนก่อนเหนื่อยง่ายขึ้น ก็วินิจฉัยในขั้นตอนแรกได้ว่าเป็นกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันชนิดเงียบ (silent MI) ซึ่งอาจเกิดขึ้นขณะนอนหลับ แต่ว่าโชคดีที่รอดชีวิตมาได้
เมื่อดูผล echo ที่ส่งมาให้ ผลการวัดการทำงานของหัวใจห้องล่างซ้าย (EF) ได้แค่ 30% แสดงว่ายังอยู่ในภาวะหัวใจล้มเหลวจากเหตุการณ์เมื่อสามเดือนก่อน
เมื่อดูจากผลการตรวจสวนหัวใจ (CAG) พบว่าหลอดเลือดโคนข้างซ้าย (LM) ปกติ มีรอยตีบที่แขนงหลอดเลือดหน้าซ้าย (LAD) และด้านข้างซ้าย (Lcx) และมีการอุดตันอย่างสิ้นเชิงของหลอดเลือดขวา (RCA) โดยที่ลำของหลอดเลือดยังดีอยู่ ทราบได้จากเวลาที่เลือดย้อนเข้าไปเลี้ยงจากหลอดเลือดฝอยของข้างซ้าย (collateral) แล้วสีทำให้เห็นลำหลอดเลือดรางๆ
สรุปการวินิจฉัยสุดท้ายคือ acute MI, post MI with CHF, Triple vessel disease. แปลว่ากล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน + หัวใจล้มเหลว + โรคหลอดเลือดตีบและตัน 3 เส้น

2.. ทางเลือกในการรักษา
2.1 ทางเลือกที่จะรักษาแบบไม่รุกล้ำ คือไม่บอลลูน ไม่บายพาส จะได้ผลเป็นประการใดเมื่อเทียบกับการรักษาแบบรุกล้ำ อันนี้ไม่มีใครทราบเลย เพราะไม่เคยมีงานวิจัยทดลองรักษาแบบไม่รุกล้ำในผู้ป่วยหนักถึงขั้นหัวใจล้มเหลวเลย หากจะเลือกทางเลือกนี้ ต้องเป็นการทดลองแบบกล้าตายเอาเอง หมอสันต์ไม่สามารถแนะนำอะไรได้เพราะไม่มีข้อมูล ตัวหมอสันต์เองก็อยากรู้มากๆว่าถ้ารักษาแบบไม่รุกล้ำอย่างเดียวแล้วจะเป็นอย่างไรเพราะเคยเห็นผู้ป่วยบางคนที่หัวใจล้มเหลวแล้วผมส่งไปผ่าตัดแล้วแต่ผู้ป่วยดื้อไม่ยอมผ่าเขาก็สุขสบายดีมาได้หลายปี แต่มันเป็นแค่ข้อมูลระดับเรื่องเล่า มันไม่ใช่ผลวิจัยสุ่มตัวอย่างแบ่งกลุ่มเปรียบเทียบที่จะสรุปมาเป็นคำแนะนำได้ ถ้าตัวหมอสันต์อายุน้อยกว่านี้จะทำวิจัยกับผู้ป่วยกลุ่มนี้ให้เห็นดำเห็นแดง แต่ว่าปูนนี้แล้วหมดสิทธิ์เพราะการวิจัยเปรียบเทียบแบบนี้ต้องตามดูกันสิบปีขึ้นไปจึงจะสรุปผลได้ ป่านนั้นหมอสันต์อาจน่าจะกลายเป็นปุ๋ยไปแล้ว
2.2 ทางเลือกการทำบอลลูนน่าจะปิดไปไม่น่าทำ เพราะหลอดเลือดข้างขวาที่เป็นเหตุของกล้ามเนื้อหัวใจตายนั้นตันไปแล้ว การทะลุทะลวงแล้วเอาหัวกรอกากเพชรเข้าไปกรอพบว่ามีภาวะแทรกซ้อนมากกว่าและผลแย่กว่าการทำผ่าตัดบายพาส
2.3 การทำผ่าตัดบายพาส เป็นทางเลือกที่เป็นมาตรฐานแนะในผู้ป่วยกลุ่มนี้ คือหลอดเลือดตีบหลายเส้นร่วมกับมีหัวใจล้มเหลว การทำผ่าตัดได้ผลดีที่สุด

พูดถึงการผ่าตัดเมื่อเปรียบกับการทำบอลลูนคนมักเข้าใจว่าการทำผ่าตัดมีอัตราตายมากกว่าแต่ความเป็นจริงคือทั้งสองวิธีมีอัตราตายพอๆกันในทุกกลุ่มผู้ป่วย ดังนั้นไม่ควรหนีการผ่าตัดบายพาสด้วยกลัวว่าจะตายเพราะการผ่าตัดมากกว่าซึ่งไม่เป็นความจริง แต่เป็นความจริงว่าการทำบอลลูนก่อความเครียดทางจิตวิทยาน้อยกว่า และฟื้นตัวออกจากโรงพยาบาลได้เร็วกว่า
กล่าวโดยสรุปคือมีทางเลือกเหลืออยู่สองทาง คือผ่าตัดบายพาส กับแหกคอกรักษาแบบไม่รุกล้ำแบบรับความเสี่ยงของการแหกคอกนี้ด้วยตนเองเพราะยังไม่มีหลักฐานวิจัยใดๆรองรับ

3. ถามว่าการผ่าตัดบายพาสในกรณีนี้มีความเสี่ยงแค่ไหน ตอบว่าในภาวะที่มีหัวใจล้มเหลวเกิดขึ้นแล้วเช่นนี้ ความเสี่ยงของการรักษาแบบรุกล้ำไม่ว่าบอลลูนหรือบายพาสเพิ่มขึ้นมากกว่าปกติ 2-3 เท่าขึ้นไป สถิติปกติอัตราตายของบอลลูนและบายพาสในผู้ป่วยที่ไม่มีหัวใจล้มเหลวคือ 0.5-2.5% แต่งานของคุณนี้หมอสันต์ให้ 5-10% โดยประมาณ นี่เป็นการนั่งเทียนเอาจากประสบการณ์ส่วนตัวนะ ส่วนของจริงนั้นคุณต้องไปวัดดวงเอาเอง

4. ไม่ว่าจะเลือกการรักษาแบบไหน ก็ต้องเปลี่ยนวิถีชีวิต ด้วยการเปลี่ยนมากินอาหารแบบ plant based ที่มีไขมันต่ำ ออกกำลังกาย จัดการความเครียด และมีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบตัวแบบดีๆ เพราะทางนี้เป็นทางที่จะทำให้โรคหายได้อย่างแท้จริงเพราะเป็นการรักษาที่ต้นเหตุ ขณะที่การรักษาแบบรุกล้ำนั้นเป็นการแก้ปลายเหตุแค่บรรเทาอาการเฉพาะหน้าโดยที่โรคนั้นจะเดินหน้าของมันเองต่อไปตามธรรมชาติของมันโดยการทำบอลลูนบายพาสไม่อาจไปเปลี่ยนการดำเนินของโรคได้

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ 

[อ่านต่อ...]

23 กรกฎาคม 2567

ปู่สันต์ตอบคำถามเด็กเรื่อง Synchronicity และ Matrix

(ภาพวันนี้ / ชะพลูบนพื้นป่าปลูกที่บ้านบนเขา)

กราบเรียนนายแพทย์สันต์ ใจยอดศิลป์ที่เคารพ

กระผมเป็นนักเรียน รร. … ติดตามอ่านการตอบคำถามของท่านนายแพทย์ประจำเพราะพ่อแม่ก็ติดตามอยู่ ผมมีเรื่องจะสอบถามว่า อะไรคือ synchronicity มีภาพยนตร์เกี่ยวกับเรื่องนี้ไหม และ matrix และในภาพยนตร์เรื่องเดอะแมตริก มันคืออะไร มันเกี่ยวกับคำสอนในศาสนาฮินดูหรือไม่อย่างไรครับ

………………………………………………………

ตอบครับ

ฮี่ ฮี่ วันนี้ขอตอบจดหมายไร้สาระของเด็กหน่อยนะ แบบว่าเปลี่ยนบรรยากาศ อีกอย่างหนึ่งถ้าไม่ตอบเด็กๆบ้างก็จะเสียชื่อหมอสันต์ที่มีโลโก้ว่าใครถามอะไรมาตอบให้หมด (ยกเว้นเรื่องที่จะทำให้คนเขาขายของไม่ได้เพราะเดี๋ยวตัวเองจะถูกแพ่นกะบาลเอา)

1.. ถามว่า synchronicity คืออะไร ตอบว่าก็คือที่คนไทยชอบพูดว่า “ธรรมะจัดสรร” นั่นแหละครับ

คำว่า synchronicity นี้คนใช้คนแรกคือคาร์ล จุง นักจิตวิทยาชาวสวิสที่ชอบไสยศาสตร์ เขาคิดคำนี้ขึ้นมาเพื่อใช้หมายถึงกรณีที่มีหลายเหตุการณ์เกิดขึ้นพร้อมกันอย่างเชื่อมโยงกันแบบมีความหมาย แต่ไม่ได้เกิดขึ้นแบบเป็นเหตุเป็นผลเกี่ยวเนื่องกันเลย ยกตัวอย่างเช่นสมมุติว่าคุณกำลังตกหลุมรักเด็กผู้หญิงคนหนึ่งแต่เธอย้ายโรงเรียนไปได้สองปีแล้วไม่เคยเจอกันเลย เช้านี้คุณเพิ่งคิดถึงเธออยู่หลัดๆพอตกเย็นวันเดียวกันเธอตัวเป็นๆก็เดินผ่านหน้าบ้านคุณให้คุณเห็นจะๆ เป็นต้น การที่คุณคิดถึงเธอ ไม่ได้เกี่ยวหรือไม่ได้เป็นเหตุให้เธอมาเดินที่หน้าบ้านคุณเลย มันเป็นสองเหตุการณ์ (คุณคิดถึงเธอ และเธอมาเดินที่หน้าบ้าน) ที่ต่างคนต่างเกิด แต่เกี่ยวเนื่องกันอย่างมีความหมาย

2.. ถามว่ามีคนเอาคอนเซ็พท์ซินโครนิซิตี้ไปทำหนังไหม ตอบว่าเท่าที่ผมทราบมีหลายเรื่องนะ แต่ผมไม่เคยดูซักเรื่องเดียวเพราะวัยของปู่สันต์เหลือเวลาน้อยเต็มทีแล้วจนไม่กล้าเอาเวลามานั่งดูหนัง ความจริงเกือบจะได้ดูเรื่องหนึ่งแล้วคือเรื่อง Cloud Atlas แต่ว่าเปิดทีวีไม่เป็น ก็จึงอดดูในนาทีสุดท้าย หิ..หิ

3.. ถามว่า Matrix คืออะไร ตอบว่ามันเป็นคำที่มีหลายความหมายนะ แต่ถ้าจะเอาให้เกี่ยวกับหนัง The Matrix คำนี้หมายถึง “โลกเสมือน (virtual reality)” ที่สร้างขึ้นโดยปัญญาประดิษฐ์ที่หลอกให้คนทั้งโลกเข้าใจผิดว่าโลกที่เขาอยู่อาศัยนั้นมันเป็นโลกจริงๆแต่แท้ที่จริงแล้วมันเป็นโลกเสมือนที่ปัญญาประดิษฐ์ทำขึ้นเพื่อขังคนเป็นทาสเอาไว้รีดใช้พลังงานความร้อนจากร่างกายของพวกเขา

4.. ถามว่าหนังเรื่อง The Matrix เกี่ยวกับคำสอนของศาสนาฮินดูไหม ตอบว่าคำสอนของศาสนาฮินดูเป็นเข่งของความคิดเห็นที่ใครคิดอะไรได้ก็เอาไปเขียนไว้ในหนังสือเวดะ ดังนั้นทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้หรือในจักรวาลนี้เกี่ยวโยงกับคำสอนของศาสนาฮินดูได้หมด อย่างโลกเสมือนในหนังเรื่อง The Matrix ก็เหมือนกับโลกจริงซึ่งในคำสอนฮินดูสอนว่ามันเป็นเพียงมายา (Maya) ไม่ใช่ของจริงดอก และการที่พระเอกกับพวกพากันแหกโลกเสมือนออกไปได้ก็เปรียบได้กับการที่ผู้แสวงหาในศาสนาฮินดูบรรลุความหลุดพ้นจากโลกของมายาได้พบกับตัวตนที่แท้จริงของตนที่เรียกว่าพรหม (บรามัน หรือปรมาตมัน) คือถ้าจะเทียบกันก็เทียบได้ประมาณนี้   

5.. ข้อนี้คุณไม่ได้ถามแต่ปู่สันต์แถมให้ ว่าเราใช้โลกเสมือนในหนังเรื่องเดอะแมตริกซ์เป็นแนวทางการใช้ชีวิตของเราได้นะ มองจากมุมของพุทธที่คุ้นเคยอยู่แล้วก็ได้ ทุกชีวิตเกิดมาแล้วก็ต้องตาย ชั่วชีวิตหนึ่งนี้จึงเป็นการเล่นละครอยู่ในโลกมายาเพียงชั่วคราวเท่านั้นแล้วก็ตายกลายเป็นขี้ฝุ่นไปโดยไม่เหลืออะไรไว้ข้างหลังเลย ดังนั้นในการเล่นละครชีวิตนี้ ให้คุณ “อิน” กับบทแค่พอดีๆ อย่า “อิน” มากเกินไปจนเป็นบ้าหรือจนต้องพึ่งยาต้านซึมเศร้าหรือหันเข้าหายาเสพย์ติด..นี่คือประเด็นนำกลับบ้าน

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

21 กรกฎาคม 2567

ปรึกษาคุณหมอ - คุณพ่อเป็นโรคหัวใจแต่ไม่ยอมผ่าตัด



ภาพวันนี้ / กระท่อมคู่ยากของหมอสันต์ ขอถ่ายรูปครั้งสุดท้ายก่อนจะรื้อ (กลัวมันถล่มลงมา)
สวัสดีครับคุณหมอ
คุณพ่อผมประมาณเดือนที่แล้วมีอาการหายใจไม่ออก พอไปตรวจ รพ. แล้วพบว่ามีอาการเส้นเลือดหัวใจตีบ 3 เส้น – ปรึกษาหมอแล้ว (พร้อมไปสอบถามหมอ รพ อื่น เป็น second opinion) ได้ข้อสรุปว่าต้องทำ Bypass แต่คุณพ่อผมไม่ยอมที่จะทำการผ่าตัด และยืนยันว่าจะใช้วิธีการทำ Balloon แทน – ซึ่งผลการฉีดสีตรวจเส้นเลือดพบแล้วว่าใน 3 เส้นนั้น สามารถทำ Balloon ได้แค่เส้นเดียว อีก 2 เส้นมีลักษณะคดงอไม่สามารถทำได้

คุณพ่อยืนยันหนักแน่นว่าจะทำ Balloon อย่างเดียว ผสมกับการกินยา และการออกกำลังกาย โดยคุณพ่อผมอ้างอิงการตัดสินใจนี้มาจากการดูวิดีโอของคุณหมอตามลิงค์ด้านล่าง
ตอนนี้สมาชิกครอบครัวเป็นห่วงมาก และไม่รู้จะทำอย่างไรดี ผมจึงคิดว่าถ้าคุณหมอพูด หรือพิมพ์ตอบกลับมา หรือถ้าไม่รบกวนมากการปรึกษาผ่านโทรศัพท์ จะช่วยโน้มน้าวคุณพ่อผมให้ยอมรับการผ่าตัด และกลับมามีสุขภาพดีตามเดิม
ผมส่งรายละเอียดการตรวจสวนหัวใจมาให้พร้อมนี้
ด้วยความเคารพ
…………………………………………………….

ตอบครับ
ผมประเมินภาพผลการตรวจที่ส่งมาให้แล้ว ความเห็นของผมคือ

การวินิจฉัย
1. หลอดเลือดหัวใจโคนข้างซ้าย (LM) ปกติ
2. มีรอยตีบบนแขนงหลอดเลือดสามเส้น คือ RCA, LAD, Lcx
3. กล้ามเนื้อหัวใจทำงานเป็นปกติดี

คำแนะนำในการรักษา
1. ไม่วาจะยอมรับการรักษาแบบรุกล้ำหรือไม่ อย่างไรเสียก็ต้องเปลี่ยนวิถีชีวิต คือ
1.1 ปรับเปลี่ยนอาหารมากินพืชเป็นหลักแบบไขมันต่ำ
1.2 ออกกำลังกาย
1.3 จัดการความเครียด และ
1.4 มีสัมพันธภาพเชิงสังคมที่ดีกับคนรอบตัว
เพราะการเปลี่ยนวิถีชีวิตเป็นการรักษาที่ให้ผลดีที่สุด อย่างไรเสียก็ต้องทำ และต้องทำทันทีไม่ต้องรอให้ผ่าตัดเสร็จ เมื่อผ่าตัดเสร็จแล้วก็ต้องทำต่อ
2. ส่วนการจะรักษาแบบรุกล้ำหรือไม่นั้นมีประเด็นพิจารณาอยู่สองประเด็น คือ
2.1 ในแง่ความยืนยาวของชีวิต งานวิจัยผู้ป่วยที่ตีบสามเส้นที่มีโคนหลอดเลือดข้างซ้ายปกติและมีอาการเจ็บหน้าอกไม่เกินระดับสาม (functional class I-III) อย่างคุณพ่อของคุณนี้ งานวิจัยที่ทำอย่างดีแล้ว (COURAGE trial) พบว่าไม่ว่าจะรักษาแบบรุกล้ำ (บอลลูนหรือบายพาส) หรือการรักษาแบบไม่รุกล้ำ (ไม่ทำบอลลูนบายพาส) ล้วนให้ความยืนยาวของชีวิตเท่ากัน
2.2 ในแง่ของคุณภาพชีวิต หากการเจ็บหน้าอกรบกวนการใช้ชีวิตจนคุณภาพชีวิตเสียไป งานวิจัยพบว่าการรักษาแบบรุกล้ำ ทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นมากกว่าการรักษาแบบไม่รุกล้ำ คือเจ็บหน้าอกน้อยลง จึงถือเป็นข้อบ่งชี้ของการทำบอลลูนหรือผ่าตัด
ดังนั้นการตัดสินใจว่าจะยอมรับการรักษาแบบรุกล้ำหรือไม่ ต้องเป็นการตัดสินใจของผู้ป่วยเองโดยประเมินคุณภาพชีวิตของตัวเองว่ายอมรับได้หรือไม่ได้ หากยอมรับคุณภาพชีวิตขณะนี้ไม่ได้ก็ควรไปรับการรักษาแบบรุกล้ำ
3. ในกรณีที่ยอมรับการรักษาแบบรุกล้ำ ระหว่างการเลือกทำบอลลูนกับบายพาส ควรเลือกทำอย่างไหนมากกว่ากัน คำแนะนำของผม คือ
3.1 การทำบอลลูนและการทำผ่าตัดบายพาส มีอัตราตายเท่ากัน คือประมาณ 0.5-2.5%
3.2 อาการเจ็บหน้าอกน่าจะเกิดจาก (culprit lesion) รอยตีบที่หลอดเลือดด้านหน้า (LAD) และ/หรือด้านข้าง (Lcx) ซึ่งลักษณะของการตีบการรักษาด้วยบอลลูนไม่น่าจะทำสำเร็จ ส่วนหลอดเลือดข้างขวา (RCA) ที่สามารถทำบอลลูนได้ง่ายๆนั้นมีรอยตีบก็จริงแต่รอยตีบไม่วิกฤติ ไม่น่าเป็นสาเหตุของอาการเจ็บหน้าอก ถึงทำบอลลูนไปก็อาจไม่บรรเทาอาการเจ็บหน้าอก
ดังนั้นในกรณีที่เลือกทำการรักษาแบบรุกล้ำเพื่อปรับปรุงคุณภาพชีวิต ผมแนะนำว่าควรทำผ่าตัดบายพาส
4. อนึ่งควรมองข้ามช็อตในประเด็นต่อไปนี้ไว้ด้วย
4.1 รอยตีบบนหลอดเลือด LAD ซึ่งเป็นแขนงเลี้ยงหัวใจด้านหน้าและเป็นแขนงสำคัญ มีลักษณะตีบแบบเป็นปล้องๆหลายจุด ซึ่งเป็นการยากที่จะทำการรักษาแล้วจะทำให้เลือดไปเลี้ยงทุกส่วนได้นานๆหลายปี เพราะการผ่าตัดไม่ได้เปลี่ยนการดำเนินของโรค รอยตีบเป็นปล้องๆเหล่านั้นวันหนึ่งก็จะตีบมากขึ้น หมายความว่าแม้จะทำผ่าตัดบายพาสแล้ว ก็ไม่ควรหวังผลเลิศเกินไป
4.2 ในกรณีเลือกวิธีรักษาโดยการทำบอลลูน ควรคำนึงถึงความจำเป็นที่จะต้องกินยาต้านเกล็ดเลือดไปตลอดชีวิต ซึ่งเพิ่มโอกาสเกิดเลือดออกในสมองและเลือดออกในทางเดินอาหารให้ผู้ป่วยระดับหนึ่ง ซึ่งวงการแพทย์ถือว่าเป็นความเสี่ยงที่น้อยกว่าประโยชน์ที่จะได้จากการทำบอลลูน แต่ผู้ป่วยต้องรับรู้และยอมรับภาระที่ต้องกินยาตลอดชีวิตและความเสี่ยงเกิดเลือดออกในสมองนี้ตั้งแต่ก่อนที่จะตัดสินใจทำบอลลูน

ผมทำได้แค่ให้ข้อมูล การตัดสินใจต้องทำโดยตัวผู้ป่วยเท่านั้น เพราะผู้ป่วยเป็นผู้ที่จะประเมินคุณภาพชีวิตตนเองได้เที่ยงตรงที่สุด อีกประการหนึ่ง การตัดสินใจรับการรักษาแบบรุกล้ำเป็นการรักษาที่มีอัตราตาย (0.5-2.5%) พูดง่ายๆว่าทำแล้วตายเพราะการทำก็เป็นไปได้ จึงไม่ควรให้ญาติมาตัดสินใจแทนผู้ป่วย เพราะหากเกิดอะไรขึ้น ผู้ตัดสินใจแทนจะเกิดความรู้สึกผิดติดใจตัวเองไปอีกนาน หรือติดใจไปจนตาย

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

จะสอนเด็กอย่างไรไม่ให้บ้าดีแต่ยังเป็นสมาชิกที่ดีของสังคม

(ภาพวันนี้ / รังนกกระจาบ)

คุณหมอคะ

สิ่งที่คุณหมอสอนในแค้มป์ SR ทั้งเรื่องการปล่อยวางความยึดถือในความคิดและคอนเซ็พท์แม้กระทั่งคอนเซ็พท์ว่าดีชั่วถูกผิด สำหรับผู้ใหญ่ก็พอเข้าใจพอเอาไปใช้ประโยชน์ได้ แต่สำหรับเด็กสิ่งที่เขาเรียนมาจากโรงเรียนตรงกันข้ามกับสิ่งที่หมอสันต์สอน เพราะโรงเรียนสอนให้ยึดมั่นในความดีความถูกต้อง จนบางครั้งเราก็เห็นด้วยว่ามากไปจนทำให้เด็กเป็นทุกข์ ถ้าเราไม่สอนอะไรเขาเลยเขาอาจจะมีความสุขกว่านี้แต่ว่าสังคมก็คงอยู่กันไม่ได้เพราะไม่มีกฎกติกาอะไรกันอีกต่อไปแล้ว คำถามของดิฉันคือเราจะสอนเด็กอย่างไรไม่ให้เขาเป็นทุกข์เพราะความยึดถือ ขณะเดียวกันก็ไม่ให้เขาทำตัวเป็นปัญหาหรือเป็นภาระกับสังคม

………………………………………………………

ตอบครับ

ผมสรุปเป้าหมายของการสอนเด็กตามที่คุณว่ามาเลยนะ ว่าเพื่อ

(1) ให้เขามีความสุขในชีวิต

(2) ให้เขาอยู่ในสังคมได้แบบไม่ทำให้คนอื่นเดือดร้อน

ผมเห็นด้วยว่าเอาแค่สองข้อนี้พอ อย่าโลภมากให้สอนเขาเป็นผู้นำที่จะมากู้วิกฤติให้สังคมเลย เพราะนั่นจะเป็นการสอนมากเกินไปแล้วจะกลายเป็นการผลิตผู้นำมาก่อวิกฤติให้สังคมซะฉิบ

เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์สองข้อนี้ ผมแนะนำว่าควรสอนเด็กไปอย่างเป็นขั้นเป็นตอนไปตามลำดับ 7 ขั้นตอน ดังนี้

1.. เป็นแม่แบบให้เด็ก (role model) เด็กเรียนรู้จากการลอกแบบ ผู้ใหญ่ต้องโชว์ของจริงให้เขาเห็นว่าการรับมือกับความเครียด กับความผิดหวัง และการทนทานต่อความล้มเหลวทำอย่างไร การเปิดใจสู่ความสงบเย็นเบิกบานทำอย่างไร ไม่ต้องสอนเขา แค่ทำให้เขาเห็นเป็นตัวอย่างจากของจริงก็เหลือแหล่แล้ว

2.. ทักษะการเข้าใจเห็นใจผู้อื่น (empathy) สอนให้รู้จักยอมรับคนรอบตัวเรา ยอมรับเขาตามที่เขาเป็น ขอบคุณ ให้อภัย ขอโทษ แผ่เมตตา และสอนให้รู้จักฟังคนอื่นเขาอย่างตั้งใจฟัง การสอนเมตตาธรรมก่อนเรื่องอื่นเป็นสิ่งที่เด็กยอมรับได้ง่าย เพราะมันเป็นธาตุแท้ในใจเขาอยู่แล้ว

3.. ทักษะรับมือกับความผิดหวัง (coping skill) ซึ่งต้องสอนกันในภาคปฏิบัติ เช่น

3.1 เมื่อหมาแมวหรือญาติผู้ใหญ่ตายก็สอนให้รู้จักความตายว่าเป็นปลายทางของทุกชีวิตไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้ ได้แต่ยอมรับมัน

3.2 เมื่อพ่ายแพ้ในการแข่งขันก็สอนให้ยอมรับว่ากีฬามีแพ้มีชนะ แพ้ก็ดี ชนะก็ได้ สนุกได้ทั้งสองแบบ

3.3 เมื่อล้มเหลวในการสอบ หรือการเรียน หรือการทำงาน ก็สอนให้ยอมรับและมองว่าสำเร็จหรือล้มเหลวก็เป็นแค่คนละด้านของสิ่งเดียวกัน และสอนให้เรียนรู้แง่มุมใหม่ในชีวิตเอาจากความล้มเหลว

3.3 เมื่อทำอะไรแล้วเข้าภาวะคับขัน ก็สอนลูกเล่นเอาตัวรอดโดยไม่ตำหนิ จนเกิดความกล้าที่จะลองทำอะไรใหม่ๆ

3.4 เมื่อสิ่งรอบตัวไม่เป็นไปตามที่ตนเองอยากให้เป็นก็สอนให้ว่าทุกอย่างมันเปลี่ยนแปลงของมันไปตลอดเวลาและเราไม่มีอำนาจไปควบคุมมัน หรือให้มันเป็นอย่างใจได้ดอก ได้แต่ยอมรับมัน

4.. เอาปัจจัยขัดขวางทักษะการรับมือออกทิ้งไป (coping blockage) เช่น

4.1 อย่าสร้างโลกเสมือนให้เด็กอยู่ หมายความว่าอย่าทำในบ้านให้ทุกอย่างมันง่ายไปหมดจะเอาอะไรก็มีคนประเคนให้ อย่าล้างจาน ซักผ้า ถูพื้น เทขยะแทนเขา หากเขาได้รับยกเว้นไม่ต้องทำจะเป็นการปลูกฝังให้เขาเป็นคน “ขี้ล้มเหลว” ตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มทำงาน เพราะจับอะไรก็จะเป็นงานกระจอก ไม่ใช่ ไม่ชอบ ไปเสียหมด

4.2 อย่าช่วยแก้ปัญหาหรือตามเช็ดตามล้างผลงานความชุ่ยของเด็ก ให้เขารับหน้ากับผลงานชุ่ยๆของตัวเองและได้แก้ปัญหาที่ตัวเองก่อขึ้นด้วยฝีมือตัวเอง เช่นเด็กลืมเอาการบ้านไปโรงเรียนก็ไม่ต้องขับรถไปส่งให้ ให้เขารับหน้ากับการทำโทษของครูเอาเอง หากไปทำให้เขาเสียหมดในอนาคตเขาจะกลายเป็นคนที่เชื่อถือฝีมือไม่ได้ (unaccountable)

4.3 อย่าให้รางวัลหรือยกย่องเด็กมากเกินไป อย่าพร่ำพูดว่าเขาเป็นเด็กฉลาด อย่ายกย่องความสำเร็จจนสุดโต่ง อย่าปฏิเสธความล้มเหลวแบบทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น เพราะจะบ่มให้เขาเป็นคนกลัวความล้มเหลว ควรหาโอกาสให้เขาได้ลิ้มรสความล้มเหลวอย่างเปิดเผยและยอมรับมากพอๆกับที่ได้ลิ้มรสความสำเร็จ

4.4 อย่าคาดหวังอะไรในตัวเด็กมากไปกว่าการจะให้เขารู้วิธีใช้ชีวิตอย่างไรให้ตัวเองมีความสุขและอยู่กับคนอื่นได้โดยไม่เป็นขยะหรือภาระให้สังคม ได้แค่นี้ก็ดีถมไปแล้ว อย่าบีบให้เขาวิ่งตามเกณฑ์ของสังคมให้ทันหรือให้ชนะคนอื่น หากเขาเรียนไม่สนุก ไม่ชอบโรงเรียน และอยากออก ให้เขาออกมาทำงาน หากเขาจบมัธยมแล้วไม่อยากเข้ามหาลัย ก็ไม่ต้องเข้า หากเขาจะอยู่บ้านเฉยๆโดยไม่มีอาชีพอะไรก็ให้เขาอยู่โดยมอบหมายงานบ้านให้ช่วยดูแล

4.5 อย่าสนองตอบต่อคำเรียกร้องเอาแต่ได้เอาแต่ใจแบบเด็กไม่รู้จักโต แม้จะรำคาญก็อย่าสนองตอบ ให้เพิกเฉยเสีย และเลือกสนองตอบและร่วมมือกับเขาเฉพาะเมื่อเขาเสนอขอความช่วยเหลืออย่างมีวุฒิภาวะเท่านั้น ต้องทำแบบนี้ตั้งแต่เขาเป็นเด็กตัวเล็กๆ อย่าปล่อยให้เขาเหลิงอำนาจที่จะบังคับพ่อแม่จนกู่ไม่กลับ และคอยหาโอกาสสะท้อนให้เขาเห็นอีโก้แห่งความเห็นแก่ตัวที่ครอบงำสามัญสำนึกของเขาอยู่เสมอๆ

5.. ชวนสำรวจโลกอย่างเป็นสิ่งมหัศจรรย์ (wonder) ท้าทายให้สำรวจค้นหาคำตอบ กล้าลองผิดลองถูก ใช้จินตนาการและความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ มองเห็นความงาม (aesthetic) ที่อยู่ในทุกสิ่งทุกอย่าง สนุกกับการเรียนรู้เติบโตทุกวัน ทำอะไรผิดพลาดไปก็ให้มันเป็นครู

6.. ทักษะรู้ความคิดและอารมณ์ของตัวเอง (self awareness) ฝึกสอนให้มองเห็นการสนองตอบต่อสิ่งเร้าแบบหุ่นยนต์ของตัวเอง และฝึกนิ่งเพื่อสะกดการสนองตอบแบบอัตโนมัติของหุ่นยนต์ตัวนี้ไว้ชั่วครู่เพื่อให้โอกาสสติได้เข้าไปกำกับการสนองตอบแทน ฝึกใช้เครื่องมือวางความคิดที่ใช้ง่ายๆ เช่นการยิ้มและผ่อนคลาย และฝึก mediation ในรูปแบบที่เหมาะสำหรับเด็ก เช่นการนั่งสังเกตธรรมชาติในความเงียบ

7.. อนัตตาภาคปฏิบัติ ชี้ให้เห็นโลกของความจริงคือ “ความรู้ตัว” ของเราที่สังเกตเห็นสิ่งต่างๆได้แบบต่อเนื่องโดยไม่พิพากษาถูกผิด กับโลกสมมุติที่เป็นการเล่นละครชีวิตโดยอัตตาหรืออีโก้ของเราเป็นตัวละครเอกมีชื่อมีภาษาและมีคอนเซ็พท์ชั่วดีเป็นบทให้เล่น สอนเด็กให้เล่นละครแบบ “อิน” พอประมาณ แต่ไม่อินมากเกินไป สอนให้ย้ายตัวตน (change identity) จากการเป็นดาราละครบนเวทีมาเป็นผู้ชมที่นั่งดูตัวเองเล่นเสียสักครึ่งหนึ่ง มีความสุขในชีวิตของตัวเองแบบอิสระชนที่ไม่ถูกกระทบโดยคำวิพากย์วิจารณ์ของคนอื่น แต่ก็อยู่กับคนอื่นเขาได้โดยไม่ถึงกับต้องขวางโลกหรือต่อต้านสังคม

ทั้งหมดนี้คือเจ็ดขั้นตอนของการสอนเด็กจากมุมมองของหมอสันต์ครับ ผมเองไม่ได้ใช้ทั้งเจ็ดขั้นตอนสอนลูกตัวเองตอนที่เขาเป็นเด็กดอก เพราะตอนนั้นชั่วโมงบินในชีวิตผมยังไม่มากเท่าตอนนี้ สำหรับคนที่เป็นพ่อแม่เด็กเล็กๆ ลองเอาเจ็ดขั้นตอนที่ผมสรุปได้จากประสบการณ์วัยแก่นี้ไปใช้ดูนะครับ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

20 กรกฎาคม 2567

เห็ดเมา magic mushroom มันไม่ใช่ทางไปที่ยั่งยืน

(ภาพวันนี้ / ป่าปลูกที่บ้านบนเขา อายุครบ 20 ปี พรรษานี้)

เรียนคุณหมอสันต์

อ่านที่คุณหมอเล่าเรื่องงานวิจัยจอห์นฮอบกิ้นส์ให้กินสารจากเห็ดเมาเพื่อให้นั่งสมาธิเข้าถึงฌานได้เร็ว พอดีเพื่อนที่มาจากอเมริกาซื้อหมากฝรั่ง ‘magic mushroom gummies’ มาให้และเขียนว่าช่วยคลายกังวลซึมเศร้า อยากถามว่ามันเหมือนกับที่อาจารย์เล่าว่าเขาทำวิจัยกันไหม ผมจะกินได้ไหมครับ

…………………………………….

ตอบครับ

ที่คุณซื้อมานั้นมันทำมาจากเห็ดชื่อ Amanita muscaria สารออกฤทธิ์ในตัวเห็ดนี้ชื่อ muscimol เป็นคนละตัวกับ psylocibin ที่ได้จากเห็ด magic mushroom ตัวจริง (Psylocybe Cubensis) ที่ใช้ในงานวิจัย เพื่อนของผมเล่าให้ฟังว่าสินค้าพวกหมากฝรั่ง ช็อกโกแลตใส่เห็ดเมาตัวปลอมนี้มีขายกันเกร่อและกำลังบ้ากันในอเมริกา มันเป็นเห็ดที่มีพิษมากกว่าโคเคนเสียอีก แต่ก็หลอกขายชาวบ้านโดยอ้างงานผลวิจัยเกี่ยวกับ psilocybin ซึ่งก็ได้ผลเพราะขายดิบขายดีเพราะคนนึกว่าเป็น psilocybin ซึ่งมีพิษน้อยมีความปลอดภัยสูง แต่ไม่ใช่ดอก วงการแพทย์รู้ดีว่า psilocybin ออกฤทธิ์ต้านซึมเศร้าผ่านตัวรับ serotonin receptor ในสมองซึ่งเป็นกลไกออกฤทธิ์แบบเดียวกับยาต้านซึมเศร้าหลายตัวที่ใช้กันอยู่ในทางการแพทย์ แต่ muscimol ที่ได้จากเห็ด Amanita muscaria นี้ออกฤทธิ์อีกแบบคือไปกดระบบประสาทกลางทั้งระบบแบบแอลกอฮอล์หรือยากลุ่ม benzodiazepine ซึ่งจะก่อปัญหาให้สมองในระยะยาวในลักษณะเดียวกับแอลกอฮอล์และโคเคนคืออย่างน้อยๆก็ทำให้สมองเสื่อม อย่างมากก็ทำให้บ้า

สาเหตุที่ฝรั่งเองก็ยังหลอกฝรั่งด้วยกันได้นี้เป็นเพราะกฎหมายควบคุมสารกระตุ้นประสาทหลอนซึ่งเป็นกฎหมายเก่านั้นครอบคลุมเฉพาะ psilocybin แต่ไม่ครอบคลุมถึงเห็ด Amanita muscaria การต้มตุ๋นจึงเกิดขึ้นได้เพราะกฎหมายเอาผิดไม่ได้ ผู้ผลิตบางรายก็ทำไก๋แกล้งไม่บอกในฉลากว่าเห็ดเมาที่ใช้นี้มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่าอะไรเพื่อให้คนเข้าใจผิดว่าเป็น psilocybin ส่วนที่มารยาทดีหน่อยยอมบอกว่าเป็นเห็ด Amanita muscaria แต่ก็อ้างผลวิจัยเกี่ยวกับ psilocybin ซึ่งเป็นสารคนละตัวคนละเรื่องกัน ผู้บริโภคฝรั่งที่เซ่อๆซ่าๆก็มีเยอะ จึงขายดิบขายดี คุณรู้อย่างนี้แล้วก็อย่าไปซื้อกินเลยครับ

อีกอย่างหนึ่ง ฟังน้ำเสียงแล้วคุณสนใจที่จะใช้เห็ดช่วยวางความคิด ตรงนี้ผมขอพูดดักแบบตีปลาหน้าไซไว้เสียหน่อยว่าคนที่ติดยาเสพย์ติดทุกชนิดทั้งแอลกอฮอล์ กัญชา ฝิ่น มอร์ฟีน เฮโรอีน โคเคน เป้าหมายสูงสุดที่เขาต้องการล้วนเหมือนกันหมดคือขอให้ในหัวปลอดความคิดสักแป๊บ เขาจะได้ลิ้มรสความสุขจากการได้อยู่กับความรู้ตัวบ้าง คุณก็กำลังจะไปตามเส้นทางของขี้ยาเหล่านั้นนะ ประเด็นคือมันได้แค่แป๊บเดียวนะ แค่ที่สารเสพย์ติดยังออกฤทธิ์อยู่เท่านั้น แล้วทุกอย่างก็จะกลับมาเหมือนเดิม ดังนั้นผมไม่สนับสนุนให้คุณวางความคิดด้วยสารออกฤทธิ์ต่อสมองใดๆเพราะมันไม่ใช่ทางไปที่ยั่งยืน คุณต้องฝึกวางความคิดด้วยเครื่องมือต่างๆที่ผมแนะนำไว้ดีกว่า เพราะนั่นเป็นทางไปที่ยั่งยืนที่สุด

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม

  1. Eric C. Leas, Nora Satybaldiyeva, Wayne Kepner, Kevin H. Yang, Raquel M. Harati, Jamie Corroon, Matthieu Rouffet. Need for a Public Health Response to the Unregulated Sales of Amanita muscaria Mushrooms. American Journal of Preventive Medicine, 2024; DOI: 10.1016/j.amepre.2024.05.006
[อ่านต่อ...]

18 กรกฎาคม 2567

การตามดูอาการ ต้องดูที่แนวโน้ม (trend) อย่าดูวันต่อวัน

ภาพวันนี้ / รังแตน ไม่ได้แหย่ แค่ถ่ายรูป

สวัสดีครับอาจารย์

มาส่งการบ้านครับหลังจากปรับพฤติกรรมการกินใหม่ เข้าเดือนที่7แลัว ได้ไปเจาะเลือดตรวจ LDL ลดเหลือ 84 ยังไม่ถึงเป้าที่ตั้งใจคือต่ำกว่า70 ก็เป็นไปตามเหตุและผลของการกินครับ เหตุเพราะการทานอาหารนอกบ้านยังทานอาหารที่มีน้ำมัน และ อาหารที่มีส่วนผสมของไข่ อย่างบะหมี่ ก็พยายามปรับต่อไปครับ ส่วนเรื่องอาการเจ็บหน้าอก ดีขึ้นครับ เวลาไม่ออกแรงอะไรก็ไม่มีอาการ เวลาเชียร์ลูกชายแข่งบาส ถ้าลุ้นการแข่งขันจากเดิมเจ็บประะมาณระดับ5 ก็เหลือ ประมาณ 3  ส่วนอาการเจ็บหน้าอกเวลาออกกำลังกายด้วยการวิ่งสลับเดิน ตอนนี้อาการเจ็บลดลง ถ้าให้เดิมประมาณ 7 ก็ลดลง ราวๆ 6

ผมมีคำถาม 2 ข้อ ขออนุญาตถามอาจารย์ ครับ

1.. ควรงดทานไข่ขาว ด้วยหรือไม่ ตอนนี้พยายามเลี่ยง ถ้าจำไม่ผิดอาจารย์เคยบอกให้งดไข่ทั้งใบ แต่ลืมถามแยกในส่วนไข่ขาวว่ามีผลอย่างไร

2.. อาการเจ็บหน้าอกเวลาออกกำลังกายด้วยการวิ่งก่อนสลับเป็นเดินนั้น บางวันดีบางวันแย่  เช่นสัปดาห์ก่อน วันจันทร์ อังคาร พุธ เจ็บลดลง (ระดับ 6) พอมาวัน พฤหัส กลับมาเจ็บ ระดับ 7 วันศุกร์ เจ็บ ระดับ 8 (วันนั้นจะเดินมากกว่าวิ่ง)  พัก 2 วัน วันนี้วันจันทร์ ดีขึ้น เจ็บระดับ 6 เดือนที่แล้วผมเป็นโควิค อยู่บ้านรักษาตัวเองทานฟ้าทะลายโจร หยุดวิ่งราวๆสิบกว่าวัน วันแรกที่กลับมาวิ่ง เจ็บหน้าอกลดลงมาก ให้ระดับความเจ็บ 3 วันนั้นดีใจมากคิดว่าใกล้หายแล้ว  วันต่อมาก็เจ็บเพิ่ม เป็น 4,5,6 แล้วก็เจ็บเท่าเดิม  ทำไมอาการมันเป็นแบบนี้ครับ

ด้วยความเคารพรัก
…………………………………………….

ตอบครับ

1.. ถามว่ากินไข่ขาวไม่กินไข่แดงจะมีผลต่อโรคหลอดเลือดไหม ตอบว่ายังไม่มีหลักฐานแม้แต่ชิ้นเดียวนะครับที่บ่งชี้ว่าไข่ขาวจะเป็นภัยต่อโรคหลอดเลือดดังนั้นคุณอยากกินก็กินได้เลยครับ ต่างจากไข่แดงซึ่งมีหลักฐานอย่างน้อยก็อ้อมๆว่าเพิ่มความเสี่ยงของโรค (ไขมันในไข่แดงเพิ่ม LDL ในเลือด ซึ่งสัมพันธ์กับการเป็นโรคหลอดเลือด)

ข้อดีของไข่ขาวคือนอกจากมีโปรตีนแล้วมันยังมีวิตามินบี12 ซึ่งผู้กินมังสวิรัติมักจะขาด ดังนั้นในแง่ของสุขภาพผมเห็นว่าการคิดจะเป็นมนุษย์พันธ์ “มังกินไข่ขาว” ก็ไม่เลวนะ  

2.. ถามว่าทั้งๆที่ทำตัวดีแต่ทำไมบางวันอาการเจ็บหน้าอกดีขึ้นบางวันแย่ลง ตอบว่าในเชิงอาการวิทยา อาการผิดปกติของร่างกายทุกชนิดมีขึ้นๆลงๆรายวันโดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยนี่มันเป็นธรรมดา ดังนั้นในการติดตามอาการเพื่อประเมินการดำเนินของโรคแพทย์จึงมักใช้วิธีไปดูที่แนวโน้ม (trend) ในกรอบเวลานับกันเป็นคราวละเดือนหรือหลายๆเดือน แทนที่จะดูอาการอย่างละเอียดแบบวันต่อวัน

สาเหตุที่อาการของโรคมีขึ้นๆลงๆในแต่ละวันเป็นเพราะปัจจัยที่มีผลต่ออาการในร่างกายมีเป็นร้อยปัจจัย โดยปัจจัยใหญ่ที่คนเราคิดไม่ถึงคือความเครียดหรือแม้กระทั่งความคิดของเราเอง คือเครียดทีหรือกลัวอะไรขึ้นมาทีก็จะเปลี่ยนสารเคมีในกระแสเลือดได้ราว 500-700 ตัว กลไกนี้มันไปผ่านการเปลี่ยนการแสดงออกของยีน (epigenetic) ไม่ได้เปลี่ยนตัวยีนนะ แค่เปลี่ยนการแสดงออกของยีนซึ่งเป็นเรื่องชั่วคราวแต่ก็ทำให้ร่างกายเป๋ได้ การเปลี่ยนนี้เป็นผลจากปฏิกริยาทางเคมีระหว่างโมเลกุลที่ถูกปล่อยออมาในกระแสเลือดโดยความเครียดกับโมเลกุล DNA ซึ่งคุมระหัสพันธุกรรมในยีน ดังนั้นในการจัดการโรคเรื้อรังทุกโรคไม่ว่าโรคอะไร ให้ถือเอาการจัดการความเครียดหรือการวางความคิดเป็นเครื่องมือหลักในการจัดการโรคร่วมไปด้วยเสมอ

3.. ถามว่าการเป็นโควิดจะทำให้อาการขึ้นๆลงๆคาดเดาไม่ได้ ได้หรือไหม ตอบว่าได้แน่นอนครับ เพราะสำหรับวิชาแพทย์ ณ วันนี้ อาการทุกอย่างอธิบายได้ด้วยโควิด ไม่ด้วยโควิดสั้นก็ด้วยโควิดยาว ถ้าเป็นโควิดยาวจะทำให้มีอาการค้างคาไปได้นานเป็นปี นี่ไม่นับเฉพาะคนเป็นโควิดมานะ ข้อมูลวิจัยที่เผยแพร่โดยศูนย์ควบคุมโรคสหรัฐฯ (CDC) พบว่าถึงไม่เคยเป็นโควิดมาเลยแต่หากมีอาการประหลาดๆเกิดขึ้นในยุคสมัยที่โควิดระบาด ก็เอาการที่ได้อยู่ในยุคสมัยโควิดไปอธิบายอาการประหลาดๆที่เกิดกับร่างกายได้ด้วย นี่..มันเป็นยังงี้ซะด้วยซิคะท่านสารวัตร ดังนั้นอย่าเพิ่งไปคิดทำการรักษาโรคเรื้อรังใดๆด้วยวิธีการรุกล้ำรุนแรงในยุคสมัยของโควิด รอให้ยุคโควิดมันผ่านไปก่อนแล้วค่อยว่ากัน

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

17 กรกฎาคม 2567

หากเลิกอาชีพหมอผ่าตัดสมองแล้วหมอสันต์จะว่าเป็นคนบ้าไหม



ภาพวันนี้ / รถของช่างตัดผมมวกเหล็ก ธุรกิจดีซะจนช่างไม่ได้ออกไปไหน

เรียนอาจารย์สันต์ที่เคารพ

ผม นพ. … เป็น neurosurgeon เรียนจบที่ … เทรนที่ … ผมทำงานเป็นneurosurgeon อยู่ที่ … มาแล้ว 11 ปี ตอนนี้ผมอายุ 41 มีเรื่องขอปรึกษาอาจารย์ คือผมมองไม่เห็นประโยชน์ของการทำงานเป็น neurosurgeon อีกต่อไปแล้ว ไม่ใช่ว่าผมขี้เกียจนะครับ ผมทำงานหนักมาตลอดตั้งแต่เลือกเข้ามาเทรน neuro แต่ผมเกิดหมดความศรัทธาในงานนี้ ว่ามันไม่มีประโยชน์ ไม่คุ้มค่าที่จะทำมันต่อไป หลายครั้งผมทำผ่าตัดอย่างดี แต่มันไม่ช่วยอะไรคนไข้ หลายครั้งคนไข้ spine ที่ผมนัดเข้าคิวผ่าตัดไว้พอใกล้วันผ่าตัดอาการของเขาดีขึ้นเองโดยผมยังไม่ทันได้ผ่าเลย ในอีกด้านหนึ่ง ผมผ่าตัดไปอย่างดีหลายคนก็ไม่เห็นจะช่วยให้เขาดีขึ้นเท่าไหร่เลย เมื่อผมเริ่มไม่มีความสุขกับงานนี้ ผมพยายามคุยกับคนไข้ เพื่อหาว่าอะไรเป็นปัจจัยร่วมที่ทำให้เขาดีขึ้น การผ่าตัดของผมอาจมีส่วนช่วยให้ดีขึ้นบ้าง ในบางราย ผมหมายถึงคนไข้ spine เป็นส่วนใหญ่นะครับ แต่ในหลายๆรายๆถ้าเขาจะดี เขาดีของเขาเอง จากการสอบถาม ผมพบว่าพวกที่ดีขึ้นส่วนใหญ่เป็นเพราะเขากินอาหารที่ดี มีการนอนหลับพักผ่อนเพียงพอ เคลื่อนไหวออกกำลังกายมาก และมีความสัมพันธ์ทางสังคมที่ดี อันนี้ไม่รู้ว่าเป็นเพราะผมอ่านอาจารย์มากไปหรือเปล่าไม่รู้ แต่ผมว่าผมสรุปจากการได้คุยกับคนไข้จริงๆ ไม่ใช่ bias จากการอ่านจากอาจารย์ ตัวผมเองตั้งแต่เทรนจบมาน้ำหนักตัวเองขึ้นมา 15 กก. เครียด อดนอน หงุดหงิด ผมรู้ว่าถ้าผมไม่ทำอะไรสักอย่างผมเองก็คงจะตายก่อนเกษียณ เรื่องที่ผมจะปรึกษาอาจารย์คือ

  • ผมไม่มีความสุขกับงานที่ทำ ไม่เชื่ออีกต่อไปแล้วว่างานที่ทำมีประโยชน์คุ้มความเหนื่อยยาก ผมควรแก้ไขอย่างไรดี
  • ถ้าผมเลิกอาชีพนี้โดยไม่มีแผนอะไรรองรับ ทั้งเรื่องเงิน เรื่องครอบครัว อาจารย์จะว่าผมบ้าไหม
  • ขอคำแนะนำของอาจารย์ว่า surgeon ที่เบื่อการผ่าตัด ควรไปทำอะไรดี จะให้เอาอย่างรุ่นพี่ neuro ที่ไม่ชอบทำผ่าตัดแล้วแต่ก็ยังสิงอยู่ในระบบราชการต่อไป ไปทำอะไรอย่างอื่นๆก๊อกๆแก๊กๆ แม้กระทั่งไปเป็นหัวหน้าเวชกรรมสังคม อย่างนั้นผมไม่เอา อาจารย์เป็น surgeon พันธุ์แท้เหมือนกัน คงเข้าใจผม

ด้วยความเคารพครับ

……………………………………………………………

ตอบครับ

1.. ถามว่าเป็นหมอผ่าตัดสมองอยู่ดีๆแล้วไม่มีความสุขกับงานที่ทำ ไม่เชื่อว่างานที่ทำมีประโยชน์คุ้มความเหนื่อย อีกต่อไปแล้ว ควรทำอย่างไรดี ตอบว่าก็ควรเลิกอาชีพนี้ไปเสียสิครับ เลิกเลย ทันที..ปึ๊ด

2.. ถามว่าถ้าเลิกอาชีพการเป็นหมอผ่าตัดสมองไปโดยไม่มีแผนชีวิตอะไรรองรับทั้งเรื่องเงินเรื่องสังคม หมอสันต์จะว่าเป็นบ้าไหม ตอบว่าผมจะไม่ว่าคุณหมอเป็นคนบ้าดอกครับ คนที่ไม่มีความสุขกับสิ่งที่ตัวเองทำแต่ก็ทนทู่ซี้ทำมันไปเพื่อจะได้เงินหรือได้เกียรติหรือได้การยอมรับทางสังคม คนแบบนั้นสิครับที่เป็นคนบ้าขนานแท้และดั้งเดิม

3.. ถามว่าหมอผ่าตัดหากเลิกเป็นหมอผ่าตัดควรจะไปทำอะไรดี ตอบว่าก็ทำในสิ่งที่ตัวคุณหมอชอบหรือมี passion กับมันสิครับ ถ้ายังหา passion ของตัวเองไม่เจอก็เลิกทำงานไปอยู่เฉยๆ ไม่ต้องทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันทั้งสิ้นสักหลายๆปีก่อน ใครจะว่าเกิดมาเป็นคนทำไมไม่ใช้ชีวิตให้มีคุณค่าให้มีความหมายก็ ขอโทษ..ช่างแม่ม อย่างน้อยขอให้คุณหมอใช้เวลาช่วงนี้นอนหลับให้พอ เปลี่ยนอาหารการกินให้เป็นอาหารแบบ plant-based ออกกำลังกายทุกวัน จัดการความเครียด ออกไปใช้ชีวิตกลางแจ้ง อยู่กับธรรมชาติ ให้น้ำหนักมันไหลลงไปเองสักหน่อยก่อน เรื่องอนาคตให้ยึดหลักเฉยไว้..เดี๋ยวดีเอง ใครถามว่าแล้วจะทำยังไงกับชีวิต ให้ตอบเขาเป็นเพลงว่า

            “..ต่อไปจะเป็นฉันใด ม่าย…รู้”

การไม่มีแผน ไม่มีกงการอะไรในชีวิต ปล่อยชีวิตไปให้มันลอยเท้งเต้ง ตุ๊บป่อง ตุ๊บป่อง เหมือนขี้แห้งลอยน้ำ นี่แหละเป็นจุดตั้งต้นที่ดีของอิสรภาพและความริเริ่มสร้างสรรค์ในชีวิต น่าเสียดายที่คนจำนวนมาก (รวมทั้งตัวหมอสันต์ในวัยหนุ่มเองด้วย) หมดโอกาสได้สัมผัสตรงนี้ เพราะความขี้ขลาด และความนอบน้อมต่อสารพัดกงการที่บงการชีวิตขณะนั้นอยู่ แต่นี่คุณหมอได้รับโอกาสทองอันนี้แล้ว แล้วจะรออะไรอยู่ละพี่ท่าน หิ..หิ

3.. ข้อนี้คุณหมอไม่ได้ถามแต่ผมแถมให้ คือถ้าคุณหมอมีอะไรให้เขียนมาหาผมได้ทุกเมื่อ และถ้าคุณหมอเจียดเวลาได้ ให้หาเวลามาเข้าแค้มป์ Spiritual Retreat แบบไม่ต้องเสียเงิน บอกคนดูแลจัดการแค้มป์ที่เวลเนสวีแคร์ว่าหมอสันต์นัดหมายแบบลัดคิวให้มาเข้าแค้มป์แบบกินฟรีอยู่ฟรีตั้งแต่ต้นจนจบ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์  

[อ่านต่อ...]

Plant sterol เป็นของแถมที่ดีในกาแฟ แต่ครีม น้ำตาล และน้ำตาลเทียม เป็นของแถมที่ไม่ดี


ภาพวันนี้ / ฝนตกออกจากบ้านไม่ได้ ได้แต่มองความอ้อยอิ่งที่หน้าบ้าน

เรียนคุณหมอที่เคารพ
        ดิฉันเพิ่งได้เห็นคลิปที่คุณหมอดื่มกาแฟที่มี plant sterol/stanol เลยมีข้อสงสัยขอเรียนถามคุณหมอค่ะ Plant sterol/stanol มีส่วนช่วยในการลดการดูดซึมคลอเลสเตอรอล ซึ่งมีงานวิจัยยืนยันสนับสนุนมากมาย รวมทั้งงานวิจัยของคุณหมอเองด้วย ที่สงสัยก็คือ
1. กาแฟ ที่เติม plant sterol ทำไมจึงใส่ครีมเทียมในกาแฟ แล้วจะทำให้การลดการดูดซึมคลอเลสเตอรอลหย่อนประสิทธิภาพไหมคะ
2. ในเครื่องดื่มอื่น (ดิฉันดื่มเครื่องดื่มที่คล้ายนมเปรี้ยว) ที่เติม plant sterol/stanol ทำไมต้องใช้สารให้ความหวานถึง 3ตัว (ไซลิทอล ซูคราโลส และอะซีซัลเฟมเค) บางตัวเป็นสารเคมี จะส่งผลต่อร่างกายหรือไม่คะ กรณีที่เราดื่มเครื่องดื่มนั้นนานๆ (กว่าจะเห็นผลของ plant stereo/stanol)
ดิฉัน LDL >150 HDL 62 อายุ66 สูง 158 น้ำหนัก 53.5 หมอให้กิน Statin แต่ไม่อยากกิน กินอาหารเน้นพืชผักผลไม้เป็นหลัก มีปลาบ้างอกไก่บ้าง เดือนละ 3-4 ครั้ง มาประมาณ 2-3 ปี  แต่ LDL ไม่ลด จึงพยายามหาตัวช่วยที่ไม่ใช่การกินยา ได้เจอสิ่งที่เติม plant sterol แต่ก็มีข้อสงสัยดังที่เรียนถามคุณหมอข้างต้น
       หากคุณหมอไม่สะดวกตอบก็ไม่เป็นไรค่ะ เขียนเป็นบทความให้ความรู้เรื่อง plant sterol/stanol ก็จะขอบพระคุณอย่างสูงค่ะ
ด้วยความเคารพ …. FC คุณหมอ
Sent from my iPhone

ตอบครับ

1.. ถามว่าทำไมกาแฟที่เติม plant sterol ทำไมจึงใส่ครีมเทียมในกาแฟ ตอบว่าเออ.. แล้วผมจะรู้ไหมเนี่ย เพราะผมไม่ได้เป็นคนทำขาย ถ้าผมเป็นคนทำขายผมจะไม่ใส่อะไรเลยนอกจากกาแฟกับตัว plant sterol เท่านั้น

2.. ถามว่าการใส่ครีมเทียมในกาแฟผสม plant sterol จะลดขีดความสามารถในการดูดซึมโคเลสเตอรอลของ plant sterol ไหม ตอบว่ากลไกการออกฤทธิ์ลดโคเลสเตอรอลของ plant sterol คือมันไปจับกับโคเลสเตอรอลจากอาหารไว้แล้วพากันออกไปทางอุจจาระ ทำให้โคเลสเตอรอลในอาหารถูกดูดซึมเข้าไปในกระแสเลือดน้อยลง ทำให้โคเลสเตอรอลในเลือดลดลงประมาณ 13-15% ดังนั้น มันจึงขึ้นอยู่กับว่าตัวครีมเทียมที่ใส่ในกาแฟนั้นทำมาจากพืชหรือสัตว์ หากทำมาจากสัตว์ (เช่นจากนมวัว) ตัวครีมเทียมเองนั่นแหละคือตัวโคเลสเตอรอลที่จะไปจับกับ plant sterol เสียเองในลำไส้ ทำให้เหลือ plant sterol อิสระที่จะไปจับกับโคเลสเตอรอลจากอาหารน้อยลง ก็ย่อมจะมีประสิทธิภาพลดโคเลสเตอรอลได้น้อยลง แต่ถ้าเป็นครีมเทียมจากพืช พืชทุกชนิดมันไม่มีโคเลสเตอรอล ปัญหานี้ก็จะไม่มี แต่ว่าตัวครีมเทียมเองไม่ว่าทำจากจากพืชหรือจากสัตว์ ตัวมันเองก็เป็นอาหารที่สัมพันธ์กับการเพิ่มระดับไขมัน LDL ได้ด้วยกันทั้งนั้น สรุปว่าดื่มกาแฟที่ไม่มีครีมไม่ว่าครีมแท้หรือครีมเทียมดีที่สุด

3.. ถามว่าในเครื่องดื่มอื่นเช่นนมเปรี้ยวที่เติม plant sterol/stanol ทำไมต้องใช้สารให้ความหวานถึง 3ตัว (ไซลิทอล ซูคราโลส และอะซีซัลเฟมเค) ตอบเหมือนข้อ 1 ว่าผมไม่รู้ครับ เพราะผมไม่ได้เป็นคนทำ ได้แต่เดาเอาว่าเขาคงจะเอาให้มันหวานสะใจลูกค้าละมังครับ หรือไม่ก็อาจจะเอาให้มัน “กินได้” เพราะ plant sterol นี้มันมาจากเปลือกไม้สนนะครับ ถ้าผู้ผลิตไม่หาอะไรกลบรสธรรมชาติของมันผู้บริโภคก็คงจะไม่ยอมซื้อกิน

4.. ถามว่าการใส่น้ำตาลเทียมแยะมีผลเสียต่อสุขภาพไหม ตอบว่าข้อมูลที่วงการแพทย์มีอยู่ตอนนี้คือน้ำตาลเทียมไม่เป็นผลดีต่อสุขภาพ ทั้งในแง่ที่ทำให้เสพย์ติดรสหวานไม่รู้เลิกราซึ่งยังผลให้เปลี่ยนพฤติกรรมการกินไม่สำเร็จ ทั้งในแง่ที่มันไม่ลดกลไกการดื้อต่ออินสุลิน และในแง่ที่มันไม่เป็นมิตรกับจุลินทรีย์ในลำไส้ ด้วยแค่สองสามเหตุผลนี้ก็น่าจะเพียงพอแล้วที่ควรจะลดการกินน้ำตาลเทียมหรือสารทดแทนความหวานให้เหลือน้อยที่สุด

5.. ข้อนี้เป็นข้อแถม ชาและกาแฟที่ไม่มีส่วนผสมของครีมและน้ำตาลเป็นเครื่องดื่มที่ดีต่อสุขภาพรองลงมาจากน้ำเปล่า ดังนั้นผมสนับสนุนการดื่มชาและกาแฟในผู้ใหญ่ที่ไม่มีปัญหาเรื่องการนอนหลับ ส่วนการจะใส่ของแถมอะไรบ้างนั้นก็ขอให้ขึ้นกับดุลพินิจของท่าน ตัว plant sterol เป็นของแถมที่ดีกรณีที่ท่านมีไขมันในเลือดสูง แต่ของแถมอื่นเช่น ครีมก็ดี น้ำตาลก็ดี น้ำตาลเทียมก็ดี ล้วนเป็นของแถมที่ไม่ค่อยเป็นมิตรกับสุขภาพและควรจะใช้ให้น้อยๆหน่อย

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์  

บรรณานุกรม

1. Collins J, Robinson C, Danhof H, Knetsch CW, van Leeuwen HC, Lawley TD, et al.. Dietary trehalose enhances virulence of epidemic Clostridium difficile. Nature. (2018) 553:291–4. 10.1038/nature25178 

[อ่านต่อ...]

16 กรกฎาคม 2567

การใช้หรือไม่ใช้ CA125 ติดตามดูมะเร็งรังไข่ ต่างให้ผลแป๊ะเอี้ย

ภาพวันนี้ / ออกไปเดินเล่นในมวกเหล็กวาลเลย์ เช้า ฤดูฝน

กราบเรียน คุณหมอสันต์ ที่เคารพ

เมื่อต้นปีนี้ ได้รับความกรุณาจากคุณหมอตอบคำถามทางการแพทย์ และแถมปัจจัยทางจิตวิทยา ให้ความเมตตากระชากใจผู้ป่วย ให้สติ ชี้ให้เห็นทางหลุดพ้น

ดิฉันชวนลูก มาแค้มป์ CR-9 ที่มวกเหล็ก ได้อาศัยสถานที่อันสัปปายะ พูดคุยกับลูกในฐานะต่างเป็น stake holders เป็นสามคืนที่ดีมาก เห็นลูกผ่อนคลายเป็นครั้งแรกในรอบสามเดือนหลังจากรู้ว่าแม่มีมะเร็งค่ะ  

หลังจากผ่าตัดมะเร็งรังไข่และไม่รับเคมีบำบัด ก็ตั้งใจดูแลตัวเองตามที่คุณหมอสันต์เขียนใน blog เปลี่ยนอาหารเข้าใกล้มัง รับแสงแดดเช้าเย็น เดินทุกวันๆละ 5กม. ดัน heart rate ให้เข้าใกล้ 150 ขยับตัวสร้างกล้ามเนื้อ ความสูง 158 ซม. แอดมิทเดือนธันวาคม 2566 เพื่อผ่าตัดมีนน. 67 กก วันนี้ นน. 59 กก. รู้สึกมีความสงบสุขขึ้นกว่าตอนที่ยังไม่รู้ว่าเป็นมะเร็งค่ะ ยังไม่ตายและไม่เหมือนเดิม

กราบขอบคุณความเมตตาของคุณหมอสันต์ค่ะ  circle of influence ช่วยให้ดิฉันยอมรับและปรับตัวปรับใจอยู่กับความจริง เห็นความคิดไวขึ้น วางความรู้สึกง่ายขึ้น ความอยากนั่นนี่ยังมากมายแค่เราเห็นก็ไม่เหนื่อยค่ะ  และเลิกกลัวตาย ใช้ชีวิตไปทีละวัน ยิ้มกับตัวเอง (มารู้เนื้อรู้ตัวชัดๆ เมื่ออายุเลยหกสิบ) เริ่มแรกสิ่งที่อดทนได้ยากที่สุดคือนั่งเงียบๆ ฟังเสียงต่างๆ รอบๆ ตัว ตอนนี้ชอบทำ จะฝึกฝนต่อไปค่ะ

1. หมอ onco ไม่นัดตรวจอะไรหลังปฏิเสธเคมีบำบัด  ต้นเดือนสิงหาคมมีใบนัดตรวจสุขภาพประจำปีของอายุรกรรม อยากขอคำแนะนำจากคุณหมอ กรณี cancer remission ควรตรวจอะไรเพิ่มไหมคะ (แนบรายการตรวจมาด้วย) 

2. ตัดส่วนสืบพันธุ์ออกหมด (มดลูก ปีกและรังไข่ ปากมดลูก) ยังต้องไปตรวจทางนรีเวชประจำปีอีกไหมคะ

3. ส่วนที่ตัดออกไป จะเร่งสมองเสื่อมเร็วขึ้นไหมคะ (คุณพ่อมีภาวะ Dementia มาสองปีก่อนเสียชีวิตเพราะหกล้มเมื่ออายุ 87 และวันนี้คุณแม่ 86 เริ่มมีภาวะเดียวกัน) สมองเสื่อม กับ มะเร็ง ทำให้ชีวิตแต่ละวันมีค่าขึ้นมากเลยค่ะ

4. ทุกวันเข้านอนสามทุ่ม หลับง่าย หลับดี มีบ้างที่หลับแล้วแต่เหมือนยังรู้ตัว…อธิบายยากจังค่ะ … Smart watch  Daily insight แจ้งว่า a lower heart rate drop was noticed  นี่คืออะไรคะ

5. จะฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับเอบี งูสวัด และปอดอักเสบ ได้เลย หรือควรรอไปก่อน และเมื่อไรเหมาะสมคะ (ดิฉันรับวัคซีนโควิดสามเข็ม ยังไม่ป่วยเพราะโควิด)

ขอให้คุณหมอมีสุขภาพแข็งแรง อยู่ดี มีสุข เสียงหัวเราะและมุกใน blog ของคุณหมอ ช่วยต่ออายุได้จริงๆ 

ด้วยความนับถืออย่างสูง

……………………………………………………….

ตอบครับ

1.. ถามว่าการตรวจติดตามดูมะเร็งรังไข่ในแง่ว่ามันจะกลับเป็นเมื่อไหร่ควรตรวจอะไรเพิ่มเติมจากที่หมออายุรกรรมสั่งตรวจสุขภาพประจำปีบ้าง ตอบว่าแค่นั้นพอแล้ว ไม่ต้องตรวจอะไรเพิ่มเติมครับ

คำแนะนำของผมมีรากฐานอยู่บนงานวิจัยขนาดใหญ่ซึ่งตีพิมพ์ในวารสาร Lancet เขาเอาคนป่วยมะเร็งรังไข่ที่ผ่าตัดแล้วมา 1442 คน สุ่มแบ่งเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งให้ขยันตรวจติดตามดูสารชี้บ่งมะเร็งรังไข่ (CA 125) เป็นระยะๆ ถ้าสารชี้บ่งนี้สูงขึ้นก็รีบเอาไปรักษาซ้ำเพื่อป้องกันและลดการตายจากการกลับเป็นใหม่ อีกกลุ่มหนึ่งไม่ตรวจอะไรทั้งสิ้นไม่รักษาอะไรทั้งสิ้นซึ่งผมขอเรียกว่ากลุ่มไม่รู้ไม่ชี้ จะไปหาหมอก็ต่อเมื่อมีอาการไม่สบายแล้วก็รักษาไปตามอาการไม่ไปยุ่งกับมะเร็ง วานวิจัยนี้ติดตามดูไปเฉลี่ย 5 ปี พบว่าพวกตรวจ CA125 รีบเอากลับไปรักษามีอัตรารอดชีวิตเฉลี่ย (mean survival 25.7 เดือน ส่วนพวกไม่ตรวจไม่รู้ไม่ชี้มีอัตรารอดชีวิตเฉลี่ย 27.1 เดือน ซึ่งถึงแม้พวกไม่รู้ไม่ชี้ดูเหมือนจะอยู่ได้นานกว่าแต่ในเชิงสถิติถือว่าไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ

2.. ถามว่าตัดอวัยวะระบบสืบพันธุ์ออกหมดยกยวงทั้ง มดลูก ปีกและรังไข่ ปากมดลูก ยังต้องไปตรวจทางนรีเวชประจำปีอีกไหมคะ ตอบว่าไม่ต้องไปครับ เพราะไปแล้วคุณจะให้เขาตรวจอะไรละครับ

3. ถามว่าตัดอวัยวะระบบสืบพันธ์สตรีออกไปแล้ว จะเร่งสมองเสื่อมเร็วขึ้นไหม ตอบว่าหลักฐานวิจัยแบบติดตามกลุ่มคนไปข้างหน้า (cohort) ทำที่เดนมาร์ค ซึ่งตามดูหญิงตัดรังไข่จำนวน 24,851 คนพบว่ามีคนเป็นสมองเสื่อมเกิดขึ้น 1238 คน หรือ 5% แต่เมื่อเจาะลึกดูพบว่าหญิงที่ตัดรังไข่สองข้างพบว่าเป็นสมองเสื่อม 7.9% ขณะที่หากตัดรังไข่ข้างเดียวจะเป็นสมองเสื่อมแค่ 4.1% (ซึ่งใกล้เคียงกับคนทั่วไปวัย 65-74 ปีที่มีอัตราสมองเสื่อม 3%) ผู้วิจัยจึงสรุปว่าการตัดรังไข่สองข้างสัมพันธ์กับการเป็นสมองเสื่อมเพิ่มขึ้น แต่คุณอย่าไปกังวงเรื่องสมองเสื่อมแบบคุณพ่อคุณแม่เป็นตอนอายุแปดสิบกว่าเลยครับ มันเป็นการมองโลกแง่ดี..เอ๊ย ไม่ใช่ ขอโทษ มันเป็นการมองการณ์ไกลเกินความจำเป็น

4. ถามว่าหลับดีแล้วแต่เหมือนยังรู้ตัวแปลว่าอะไร ตอบว่าคนที่ฝึกสติมาดี เวลานอนหลับจะเหมือนตัวเองจะกำกับความฝันตัวเองได้ หรือเหมือนจะมองเห็นตัวเองนอนหลับอยู่ อันนี้มันเป็นเรื่องธรรมดา ตราบใดที่คุณแค่สังเกตเห็น ไม่ได้ตามความคิดไปอย่างไม่รู้ตัว มันไม่มีปัญหา

5. ถามว่าเป็นมะเร็งแล้วผ่าตัดแล้วจะฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับเอบี งูสวัด และปอดอักเสบ ได้เลยไหม ตอบว่าอยากฉีดวัคซีนเหล่านี้เมื่อไหร่ก็ฉีดได้ครับ ไม่มีฤกษ์พานาทีแต่อย่างใด

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม

  1. Rustin GJ, van der Burg ME, Griffin CL, Guthrie D, Lamont A, Jayson GC, Kristensen G, Mediola C, Coens C, Qian W, Parmar MK, Swart AM; MRC OV05; EORTC 55955 investigators. Early versus delayed treatment of relapsed ovarian cancer (MRC OV05/EORTC 55955): a randomised trial. Lancet. 2010 Oct 2;376(9747):1155-63. doi: 10.1016/S0140-6736(10)61268-8. PMID: 20888993.
  2. Uldbjerg CS, Wilson LF, Koch T, Christensen J, Dehlendorff C, Priskorn L, Abildgaard J, Simonsen MK, Lim YH, Jørgensen JT, Andersen ZJ, Juul A, Hickey M, Brauner EV. Oophorectomy and rate of dementia: a prospective cohort study. Menopause. 2022 May 1;29(5):514-522. doi: 10.1097/GME.0000000000001943. PMID: 35102101.
[อ่านต่อ...]

11 กรกฎาคม 2567

คำว่า "ปัจจุบัน" หรือ "Now" นี้มันถูกใช้ในสองความหมาย ทำให้เรื่องง่ายกลายเป็นยาก

(ภาพวันนี้ / โนรี)

สวัสดีคะอาจารย์
หนูพึ่งเดินทางกลับมาเมื่อวาน ไปขับรถเที่ยว route north coast 500 ทางตอนเหนือสกอตแลนด์คะ
ไปหนนี้สิ่งหนึ่งซึ่งได้เรียนรู้เพิ่มขึ้นมาอีกคือการอยู่กับปัจจุบันคะ จริงๆถ้าโดยคำพูดว่า อยู่กับปัจจุบัน พูดแล้วก็เหมือนเราเข้าใจดีนะคะ แต่เทียบไม่ได้กับเวลาที่เรา “รู้” ขึ้นมาเองนั้น เข้าใจลึกซึ้งเลยคะ ว่าหมายความว่าอะไร แม้จะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆก็ตามคะ
ช่วงนี้ย่อหย่อนกับการนั่งสมาธิไปคะ ไม่ได้ทำทุกเช้าเหมือนเคย แต่ในระหว่างวันจะมีช่วงเวลาที่หยุดหายใจลึกๆและรู้สึกตัวขึ้นมาคะ สำหรับหนูจะท่องคำว่าพุทโธ และดูลมหายใจ จะช่วยดึงความรู้สึกตัวกลับมาคะ รู้สึกถึงความสงบของตนเองมากขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่แล้วนะคะ
เมื่อคอยดูความคิดตนเองอยู่บ่อยๆ สิ่งหนึ่งที่ที่รู้สึกก็คือ เหมือนกับยิ่งวันหนูจะยิ่งเหมือนจะรู้จักตนเองน้อยลงไปทุกที  เหมือนความคิดที่เกิดขึ้นที่มีทั้งดีและไม่ดีนั้น พอเราเริ่มจับดูความคิดได้บ่อยๆขึ้น ไอ้ความคิดที่ไม่ดีนี่แหละคะ ทำให้หนูรู้สึกเหมือนเป็นใครก็ไม่รู้ เป็นคนที่เหมือนเราไม่คุ้นเคย (จริงๆเข้าใจเองว่าคงเป็นมานานแล้วแต่ หนูไม่เคยมีสติกับความคิดของตนเองแบบนี้ เลยไม่รู้) ปัญหาคือบางครั้งหนูจะไปคิดวนเวียนกับความคิดไม่ดีนั้นๆ คิดว่าทำไมตัวเองเป็นคนคิดไม่ดี เป็นต้น จนบางครั้งไม่ชอบตนเองเลยคะ แต่ก็พยายามทำแบบอาจารย์สอนนะคะ ไม่ให้คิดจนกลายเป็นซีรีส์เกาหลีไป

เขียนมายาวเหยียด ไม่รู้อาจารย์จะเข้าใจไหม หนูไม่เคยเล่าให้ใครฟังเลยคะ เพราะไม่รู้จะเล่าอย่างไร แล้วก็ไม่รู้ว่าจะมีใครเข้าใจไหม บางทีก็อยากจะปรึกษาเหมือนกันคะว่า ควรจะทำอะไรอย่างไรต่อไป ตอนนี้รู้สึกวนเวียนกับความคิดของตนเองมากคะ

เรื่องสุขภาพ ดูแลตัวเองอยู่คะ กิน plant based เป็นหลัก เดินออกกำลังกายวันละ 1 ชม ทำ strengthening exercise, taichi , เหลือแต่เรื่องนอน ที่ยังหลับไม่ค่อยดีคะ

นึกถึงอาจารย์เสมอคะ จริงๆลง course SR เดือน July ไว้ แต่ติดธุระเลยไม่ได้ไป แต่ก็ดีคะ เลยได้ส่งลูกน้องไปแทน 2 คน  ดีใจที่เขาจะได้เรียนรู้สิ่งหนูเชื่อว่าจะเป็นประโยชน์ในชีวิตเขาคะ

เคารพ

…………………………………………………………

ตอบครับ

1.. คุณเอ่ยคำว่า “ปัจจุบัน” ขึ้นมาก็ดีแล้ว คำนี้มันถูกใช้ในสองความหมาย ทำให้คนสับสนนึกว่ามันเป็นคำที่มีความหมายเดียว ทำให้สิ่งที่ความพยายามจะสื่อกันด้วยคำนี้ไร้ผล

ในความหมายที่เราคุ้นเคย คำว่าปัจจุบันมันเป็นจุดหนึ่งบนคอนเซ็พท์ของเวลา จากอดีต มาสู่ปัจจุบัน ไปสู่อนาคต ในความหมายนี้เมื่อเราคิดถึง Now จะทำให้เราคิดถึงอดีตและอนาคตพ่วงมาด้วยโดยอัตโนมัติ

ในอีกความหมายหนึ่ง มันหมายถึงการหลุดออกไปจากคอนเซ็พท์ของเวลา เข้าไปอยู่ในภาวะนิรันดร ที่มีแต่การดำรงอยู่ ไม่มีจุดเริ่มต้น ไม่มีที่สิ้นสุด อุปมาเหมือนเดิมเมื่อตอนเรานั่งอยู่บนผิวโลก โลกหมุนรอบตัวเองและหมุนรอบดวงอาทิตย์ทำให้เรารับรู้กลางวันกลางคืน วานนี้ วันนี้ พรุ่งนี้ เดือนนี้ พศ.นี้ แต่ครั้นสมมุติว่าเราเหาะออกไปอยู่นอกระบบสุริยะได้ แล้วมองกลับเข้ามาเห็นโลกหมุนรอบตัวเองและหมุนรอบดวงอาทิตย์อยู่ เรามองเห็นคอนเซ็พท์ของเวลากำลังดำเนินไปอยู่ตรงหน้าไกลโพ้นออกไป แต่ที่ที่เราอยู่ไม่ได้มีเวลา มันเป็นแค่การดำรงอยู่ (just living) ไม่มีจุดเริ่มต้น ไม่มีจุดสิ้นสุด เป็นชีวิตนิรันดร์ และเราเป็นแค่ผู้สังเกตความเป็นไปต่างๆ โดยไม่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้องกับอะไรทั้งสิ้น ตรงนี้แหละคือ “ปัจจุบัน” หรือ “Now” ในเซ้นส์ที่ผู้แสวงหาความสงบเย็นทางใจเขาหมายถึงกัน

2.. การที่คุณสังเกตเห็นความคิดบางความคิดที่เป็นความคิดไม่เข้าท่า แล้วคุณเกิดอาการ “ไม่ยอมรับ” ขึ้น นั่นเป็นเพราะคุณในฐานะผู้สังเกตเป็นเพียงอีกความคิดหนึ่ง หรือพูดอีกอย่างว่าคุณมีสองตัวตน คุณเคยดูหนังเรื่อง Dr. Jekyll and Sister Hyde ไหม ตัวหมอเจคิลมีสองตัวตนอยู่ในคนคนเดียว คือตัวหมอเองกับน้องสาวชื่อไฮด์ น้องสาวเที่ยวออกไปฆ่าคนตอนกลางคืนซึ่งหมอเจคิลรับไม่ได้เลยจึงทะเลาะกันรุนแรง คุณตอนนี้ก็เป็นแบบนั้น เมื่อคุณใช้ตัวตนที่เป็น “คนดี” สังเกตความคิด การไม่ยอมรับความคิดที่ไม่ดีก็เกิดขึ้น นี่เป็นเรื่องธรรมดา วิธีแก้ไขก็ไม่ยาก คุณต้องถอยให้ลึกเข้าไปอีก เป็นผู้สังเกต-2 ที่สังเกตเห็นความคิดทั้งสองแบบ ถ้าไม่แน่ใจก็ถอยลึกเข้าไปอีก เป็นผู้สังเกต-3..ผู้สังเกต-4 ถ้าจำเป็น เอาจนคุณแน่ใจว่าคุณสังเกตออกไปจากมุมของผู้สังเกตสุดท้ายที่ไม่ได้มีส่วนได้เสียอย่างแท้จริง
คือเมื่อใดก็ตามที่คุณยอมรับสิ่งที่คุณสังเกตเห็นได้หมด ไม่ว่าดี ชั่ว ถูก ผิด คุณรับรู้ตามที่มันเป็นได้หมด
นั่นคุณเป็นผู้สังเกตคนสุดท้าย หรือคุณไปถึง
Now อย่างแท้จริงแล้ว

3.. คุณอย่าไปเอาอะไรมากกับการนอนไม่หลับ การนอนอยู่บนเตียง ไม่ว่าตื่นตาค้างอยู่ หรือหลับแล้วฝันไป ทั้งหมดนั้นคือการใช้ชีวิต การใช้ชีวิตคือการเล่นละคร ตื่นก็เป็นละครเรื่องหนึ่ง ฝันก็เป็นละครอีกเรื่องหนึ่ง ต่างกันแค่ความสั้นยาวแค่นั้น ขณะนอนอยู่บนเตียงไม่ว่าตื่นอยู่หรือกำลังฝันอยู่ ให้ฝึกหัดถอยออกไปเป็นผู้สังเกต ถอยออกไปอยู่ที่ Now แล้วชีวิตช่วงที่อยู่บนเตียงนอนจะไม่เป็นปัญหาอะไรกับคุณ

4.. ความอยากลึกๆที่ฝังแฝงอยู่ เช่นอยากทำร้านอาหารเช้าเล็กๆที่น่ารัก มันเป็นแรงขับดันของพลังชีวิตที่จะพาคุณไปสู่ความเบิกบาน
ตอนนี้คุณได้ถอยไปสู่
Now ได้สำเร็จแล้วอย่างน้อยก็แป๊บๆ ที่นั่นคุณได้รับความสงบเย็น (Peace) เพราะมันสงัดจากตัวตนงี่เง่าที่ครอบคุณมาตลอด แต่ความเบิกบาน (Joy) นั้นมันเป็นพลังงานที่จะแผ่สร้านขึ้นมาเมื่อคุณได้ออกไปหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับชีวิตอื่นๆ
พูดง่ายๆว่าเมื่อคุณได้ทิ้งตัวตนเก่าออกไปควบรวมหรือเผื่อแผ่ให้อะไรกับชีวิตอื่น คุณจึงจะเกิดความปลื้ม นั่นแหละคือ
Joy ดังนั้นเมื่อมีความฝันลึกๆที่ไม่เคยจางไปแม้คุณจะกลบมันไว้นานแค่ไหนก็ตามมันก็คอยแง้มประตูมาทักคุณอยู่ ให้คุณทำตามความฝันนั้นไปได้ตราบใดที่มันไม่ใช่ฝันปลอมๆของตัวตนที่มุ่งปกป้องและเชิดชูอัตตางี่เง่าตัวเดิมตัวนั้นไว้

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

06 กรกฎาคม 2567

ผ่าตัดเพิ่มความสูงได้แต่จะไม่พ้นทุกข์ หากยังแขวนสุขทุกข์ไว้ที่ "ขี้ปาก" ของคนอื่น

(ภาพวันนี้ / ต้นปรง เมื่อเปลี่ยนมุมมอง)

เรียน คุณหมอสันต์ที่เคารพ

      ลูกชายอายุ 25 ปี สูง 157 ซม. น้ำหนัก 49 กิโลกรัม  ตัวเล็กตั้งแต่เด็ก ทานอาหารยาก ทานน้อย มีโรคประจำตัวคือ แพ้อากาศ คัดจมูกบ่อย ทำให้นอนไม่ค่อยหลับ  ลูกหยุดสูง กระดูกปิดตั้งแต่เรียนชั้นมัธยมต้น

       ตอนเรียนอยู่ชั้น ป.5 แม่พาไปปรึกษาคุณหมอเรื่องปัญหาความสูง เนื่องจากมีกรรมพันธุ์ อากง (พ่อของพ่อ) ตัวเล็กสูงประมาณ 160 ซม. เท่านั้น คุณหมอให้ยามาทาน เป็นยาลดความดัน ทานก่อนนอนทำให้ง่วงนอนและหลับได้เร็ว ทานยาประมาณ 2 ปี จึงหยุดแต่ไม่ได้ทำให้สูงขึ้นเลยค่ะ

      ตอนนี้เรียนจบปริญญาตรี ทำงานแล้ว สัปดาห์ก่อนเขามาบอกว่าอยากผ่าตัดยืดความสูง เหตุผลคือกำลังไปได้ดีในหน้าที่การงานและมักได้เป็นผู้นำเสนอ แต่มีปัญหาทางจิตใจคือขาดความมั่นใจในเรื่องสรีระของตัวเอง คนชอบถามว่าเรียนชั้นอะไร ทั้งๆที่เรียนจบแล้ว และไม่มั่นใจเวลาพรีเซ้นงานจึงอยากเสริมความมั่นใจให้ตัวเอง  และได้หาข้อมูลมาว่าปัจจุบันในไทยมีหมอเฉพาะทางออร์โธปิดิกส์ อยู่เพียง 1 ท่านเท่านั้น ที่ยอมผ่าตัดยืดความสูงให้คนไข้ อยู่ที่ รพ.เอกชนแห่งหนึ่ง โดยใช้ 2 วิธี ประสบการณ์คุณหมอคือ ยืดความสูงโดยใช้วิธีการแบบเก่า (ยืดจากภายนอก) ให้คนไข้มาแล้วประมาณ 200 กว่าราย และใช้วิธีใหม่ (ยืดจากภายใน) 4 ราย และมีอยู่ 1 ราย ที่ยืดขาทั้งท่อนบนและท่อนล่างโดยท่อนบนใช้วิธีใหม่ยืดได้ 8 ซม. และยืดขาล่างช่วงน่องโดยวิธีเก่ายืดได้  5 ซม. รวมเป็น 13 ซม.

วิธีการยืดความสูง  2 วิธีคือยืดจากภายนอกและยืดจากภายใน

1. ยืดจากภายนอกคือการใช้ Illizarov External Fixator รูปแบบดั้งเดิม จะมีเฟรมครอบขาเราไว้แล้วเราจะใช้มือหมุนตัวอุปกรณ์ให้แกนมันยืดออก ซึ่งจำเป็นจะต้องเจาะกระดูกประมาณ 6-8 จุดเพื่อยึดอุปกรณ์เอาไว้ ผลข้างเคียงคือโอกาสติดเชื้อค่อนข้างง่ายมาก เจ็บปวดมากกว่ารูปแบบใหม่ ทำกายภาพได้ค่อนข้างจำกัด หายช้า มีโอกาสที่เส้นประสาทเสียหายรุนแรงได้ อาจจำเป็นต้องผ่าตัดซ้ำซ้อน และยังมีความจำเป็นที่จะต้องผ่าตัดเพื่อนำอุปกรณ์ออก ส่วนใหญ่จะทำในขาท่อนล่างเนื่องจากอุปกรณ์ที่ใหญ่ ทำให้ไม่สามารถใส่ขาท่อนบนได้พร้อมกัน 2 ข้าง

2. แบบ Internal Fixator ในไทย ด้วยตัว Precise Nail 2.2

หลักการยืดคล้ายๆกันแต่ไม่มีอุปกรณ์ครอบจากด้านนอก เจ็บปวดน้อยกว่ามาก ฟื้นตัวเร็ว สามารถทำในกระดูกต้นขาได้พร้อมกัน โอกาสติดเชื้อต่ำ แต่ราคาแพงมาก

      ลูกชายได้นัดคุณหมอและให้แม่ไปฟังด้วย โดยคุณหมอได้ถ่ายรูปและทำภาพตัดต่อให้ดูความสมส่วนของร่างกายหลังทำโดยภาพที่ 1 ยืดส่วนบน  ภาพที่ 2 ยืดส่วนล่าง ภาพที่ 3 ยืดทั้งบนและล่าง เมื่อดูภาพแล้วลูกชายมีความคิดว่าต้องการยืด ทั้งส่วนบนและส่วนล่างโดยส่วนบนใช้วิธีใหม่ยืดได้ 8 ซม. และยืดส่วนล่างโดยวิธีเก่า 5 ซม. รวมเป็น 13 ซม.จะทำให้มีความสูงเป็น 170 ซม.

 รบกวนถามคุณหมอว่า ถ้าจะทำอันตรายคุ้มเสี่ยงไหมคะ และถ้าอันตรายระดับไหนคะ ถึงชีวิตหรือพิการไหม และถ้าทำแล้วผิดพลาดสามารถแก้ไขได้ไหมคะ

ขอบพระคุณคุณหมอเป็นอย่างสูงค่ะ

…………………………………….

ตอบครับ

หมูเขาจะหามกันอยู่แล้ว คุณจะเอาคานเข้าไปสอดทำไมละครับ

ผมหมายถึงว่าลูกชายของคุณเขาโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว มีงานมีการทำของเขาเองแล้ว เขาคิดจะทำผ่าตัดกับร่างกายของเขา นัดหมายกับหมอดิบดีแล้ว คุณเป็นแม่ที่ลูกพ้นอกไปแล้ว คุณจะไปยุ่งให้เขาว้าวุ่นใจทำไมละครับ

แต่อย่างไรก็ตาม คุณถามมาผมก็จะตอบให้ตามความเป็นจริง

1.. ถามว่าถ้าผ่าตัดเพิ่มความสูงจะอันตรายไหม ตอบว่าก็ไม่อันตรายมากมายดอกครับ เพราะผ่าตัดที่ขาและหน้าแข้ง อยู่ไกลหัวใจตั้งแยะ

3.. ถามว่าหากมีอันตรายมันเป็นอันตรายระดับไหน จะถึงแก่ชีวิตหรือพิการ หรือว่าคางเหลือง ตอบว่าการผ่าตัดใหญ่ทุกชนิดเอาแค่ดมยาสลบยังไม่ทันผ่าตัดเลยก็มีโอกาสตายได้แล้ว เรียกว่ามี mortality เพียงแต่ว่าโอกาสมันไม่มาก คือต่ำระดับหนึ่งในแสน การผ่าตัดสไลด์กระดูกในคนหนุ่มก็อาจจะเพิ่มโอกาสตายขึ้นเป็นประมาณ 0.1 % ก็ยังถือว่าเป็นความเสี่ยงที่ต่ำมาก ส่วนภาวะแทรกซ้อนในระยะยาวของการผ่าตัดสไลด์กระดูกออกไปมากๆ ว่าในระยะยาวจะมีผลต่อร่างกายโดยรวมโดยเฉพาะอย่างยิ่งการบาดเจ็บของหลอดเลือด เส้นประสาท กล้ามเนื้อและเอ็นที่ถูกยืดมากๆนั้นอย่างไร วงการแพทย์ยังไม่มีคำตอบแน่ชัด เพราะมีการทำผ่าตัดชนิดนี้น้อยจนยังสรุปอะไรเป็นตุเป็นตะไม่ได้ ผู้ป่วยที่อยากสูงต้องไปลุ้นภาวะแทรกซ้อนเอาเองในอนาคต

4.. ถามว่าการทำผ่าตัดยืดความสูงจะคุ้มความเสี่ยงไหม ตอบว่าการประเมินความคุ้มค่าขึ้นอยู่กับมุมมองของแต่ละคนซึ่งให้น้ำหนักของประโยชน์ไม่เท่ากัน ในมุมมองของผู้ป่วยที่ “คิดมาก” ที่ตัวเองไม่เหมือนเพื่อน อาจให้มูลค่ากับการเพิ่มความสูงไว้มาก แต่ในมุมมองของแพทย์ประจำครอบครัวอย่างผมมองไม่เห็นประโยชน์ของการเพิ่มความสูงไปจากที่ธรรมชาติให้มาแต่เดิมเลยซักกะนี้ดเดียว ผมจำกัดประโยชน์ของการรักษาโรคโดยเฉพาะอย่างยิ่งการผ่าตัดไว้เพียงสองประเด็นเท่านั้น คือ (1) การได้เพิ่มความยืนยาวของชีวิต กับ (2) การได้เพิ่มคุณภาพชีวิต นี่เป็นหลักพื้นฐานสากลของวิชาแพทย์

ในประเด็นคุณภาพชีวิต แพทย์จะให้น้ำหนักมากหากการผ่าตัดนั้นช่วยบรรเทาอาการปวดที่รบกวนอยู่ไม่หาย หรือช่วยเอื้อให้ผู้ป่วยเคลื่อนไหวทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันได้ดีขึ้น หรือเอื้อให้ผู้ป่วยอยู่ในสังคมได้ง่ายขึ้น (เช่นกรณีทำศัลยกรรมพลาสติกให้ผู้ถูกน้ำกรดสาดหน้า เป็นต้น)

ส่วนคำวิพากย์วิจารณ์หรือสายตาของคนอื่นที่มองร่างกายตนเองว่าสูงไปบ้าง ต่ำไปบ้าง ดำไปบ้าง ขาวไปบ้าง หน้าละอ่อนไปบ้าง หน้าแก่ไปบ้าง เราจะสนองตอบไปในทางให้ตัวเองเป็นสุขหรือเป็นทุกข์นั้น มันไม่ใช่เรื่องที่พึงแก้ด้วยศัลยกรรม มันควรจะแก้ด้วยการปรับจูนทัศนคติหัดยอมรับ (acceptance) และหัดสนองตอบต่อสิ่งเร้าไปทางบวก (positive reframing) ดีกว่า มันทำได้ง่ายกว่า มีความเสี่ยงต่ำกว่า และเป็นการแก้ปัญหาตรงประเด็นกว่า เพราะตราบใดที่ยังแขวนการจะสุขหรือทุกข์ของตนเองไว้ที่ “ขี้ปาก” ของคนอื่น ต่อให้ทำศัลยกรรมตั้งแต่หัวจรดเท้าตราบนั้นก็ยังไม่อาจพาตนให้พ้นทุกข์ได้ดอกครับ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

05 กรกฎาคม 2567

มันเป็นกรรมของคนรวย ที่ถูกชวนให้ฉีดวิตามินและฉีดยาถอนสารพัดสารพิษ

(ภาพวันนี้ / ฝ้ายแบบสวยๆก็มีนะ)

เรียน คุณหมอสันต์ ที่เคารพ

ดิฉันเป็นแฟนติดตามเพจของคุณหมอมาสักพักแล้วค่ะ แล้วก็มีแนะนำคนที่รู้จักเสมอถึงเพจคุณหมอ เวลามีใครถาม หรือคุยเรื่องไม่สบายโรคนั้นโรคนี้ ก็จะแอบมา search หาคำแนะนำจากคุณหมอเสมอ ๆ เพื่อไปแชร์ เป็นเพจที่อ่านแล้วได้ความรู้สึกว่าเป็นการให้คำแนะนำต่างๆ ที่ practical เน้นการรักษาแบบธรรมชาติ และมักจะมีการอ้างอิงงานวิจัยมารองรับเสมอ ที่ชอบมากคือ คุณหมอมักจะมีมุขตลก ๆ อ่านแล้วเราก็แอบยิ้มตามไม่ได้ แถมมีสอนปรัชญาชีวิตต่างๆ ที่โดนใจมากมาย ล่าสุดตอนปีใหม่ที่ผ่านมาก็มีซื้อหนังสือของคุณหมอสันต์แจกคนใกล้ชิดหลายสิบเล่มอยู่ค่ะ เพื่อแบ่งปันวิธีการรักษาสุขภาพดีๆ ที่เอาไปปฏิบัติได้จริง

อ่านของคนอื่นมานาน ในที่สุดก็มีโอกาสได้ส่งเมลมาถามเรื่องของตัวเองสักที ช่วงไม่กี่เดือนมานี้ เริ่มตื่นตัวกับการ ทานพวกวิตามิน และ mineral ต่างๆ อ่านหนังสือ ศึกษาหลายเล่มเลย เช่น biohack your brain ที่เขียนโดย neruosicentist เขาก็มีแนะนำวิตามหลายอย่าง ส่วนตัวเป้าหมายคือ อยากจะมีพลังในการทำงาน มีสมองคิดงานแบบปลอดโปร่ง เพราะเราเป็นเจ้าของบริษัท ต้องรับผิดชอบเยอะ และต้องคิดตัดสินใจอะไรหลายๆ อย่าง ในเวลาเดียวกัน อยากเมคชัวร์ว่าเรามีสุขภาพที่แข็งแรงอยู่ดูลูกๆ โตไปนานๆ ด้วยค่ะ ปีนี้เลยตั้งเป้าจะมาดูแลตัวเองเป็นพิเศษ เพราะปีหน้าจะขึ้นเลขห้าแล้ว 55  เรื่องการนอนยังคงเป็นประเด็น เพราะรู้สึกว่าเรายังอยากทำโน่นทำนี่ ทำให้รู้ตัวอีกทีก็หลังเที่ยงคืนแล้ว จำนวนชั่วโมงของการนอน จะได้สูงสุด 5-7 ชั่วโมง ไม่ค่อยถึงแปดค่ะ และก็มีตื่นมาเข้าห้องน้ำเพื่อปัสสาวะ ก็รู้สึกว่านอนไม่ต่อเนื่องบ้าง ส่วนตัว ช่วงกลางวัน อาจจะมี cat nap บ้างถ้าเวลาอำนวยนะคะ ก็พอช่วยได้บ้าง 

เดือนที่แล้วเข็นตัวเองให้ไปตรวจสุขภาพชุดใหญ่มาก ปกติ จะผัดวันประกันพรุ่งตลอด ต้องเรียกว่าเป็นครั้งแรก ที่ทำเพื่อตัวเองจริงๆ ที่ผ่านมา อาจจะมีตรวจเพราะตั้งครรภ์บ้าง หรือ เพราะประกันให้ไปตรวจบ้างแบบเล็กๆ น้อยๆ แต่คราวนี้จัดเต็มค่ะ และแล้วผลตรวจก็ออกมา ถือว่าสภาพ ตับ ไต ลำไส้ หัวใจ สายตา การได้ยิน ทุกอย่าง ปกติหมดเลยค่ะ น่าจะต้องให้เครดิต คุณสามีที่ดูแลเรื่องอาหารการกิน และคอยเมคชัวร์ว่าเราออกกำลังกาย สม่ำเสมอ วิตามินทุกตัวที่บำรุงผลออกมาดีเกือบหมดเลย ไม่ว่าจะเป็น วิตามิน ซี บี 1 6 12 และบีอื่นๆ แคลเซียม และอีกหลายตัว (แนบรายงานมาให้) แต่มีเจอพวกค่า วิตามิน ซึ่งเป็นตัวที่กำลังจะทานเพิ่ม อยู่พอดี เช่น D, A, E และ แร่ธาตุ ที่ต่ำกว่าเกณฑ์บ้าง และมีค่า toxic ที่ต้องการจะถามคุณหมอดังต่อไปนี้ค่า 

1. วิตามินดี อย่างที่บอกว่ากำลังเริ่มทานวิตามินหลายตัว แต่คุณสามีบอกว่า วิตามินดีไม่ต้องทานหรอก เพราะเชื่อว่าเราโดนแดดขนาดนี้ วิตามินดี เราไม่ขาดแน่นอน ล่าสุดผลการตรวจเลือด ออกมา Vitamin D ต่ำกว่าเกณฑ์ระดับ 20.1, 22.5 เท่านั้นเอง แอบตกใจ แต่ก็พอเข้าใจค่ะ คิดว่าน่าจะเป็นเพราะว่า เราทาครีมกันแดดหรือเปล่านะ ปกติสีผิวเหลือง เชื้อสายจีนค่ะ ว่ายน้ำก็จะทาทั้งแขนและขา แต่ตอนเช้า เน้าทาแค่ครีมกันแดดที่หน้า และมักจะใส่ ขาสั้น แขนสั้น เพราะเดินสบายๆ อันนี้แอบ surprise สุดๆ ที่วิตามินดีเราต่ำ และต่ำแบบ ตกเกณฑ์ไปเยอะเลยค่ะ ที่จะถามคุณหมอคือ มีคำแนะนำอะไรไหมคะ นอกจากทานวิตามินดีเสริม การตากแดด ต้องตากยังไงให้ได้รับวิตามินดีได้เต็มที่จริงๆ หรือว่ามันมีภาวะอะไรที่ทำให้เราดูดซึมวีตามินดีจากแสงแดดได้ไม่ดี (ผลตรวจของคุณสามีได้เยอะกว่าค่ะ แต่ก็น่าจะประมาณสัก 40 ng/mL) เหมือนเคยอ่านบ้างว่ามัน uvb ที่มันคือ รังสีที่มีประโยชน์ หรือเกี่ยวกับช่วงเวลาด้วยไหมคะ ที่เคยอ่าน ก็มีบอกว่าการที่เราทานวิตามินดี กับการโดนแดด จริงๆ มีผลกับภูมิต้านทานที่ต่างกัน เพราะร่างกายเราสร้างมาเพื่อให้รับแสงแดด ไหนๆ ถามเรื่องนี้แล้ว อยากถามคุณหมอเรื่อง Red Light Therapy ด้วยค่ะ ว่าคุณหมอมีความเห็นว่าอย่างไร เท่าที่ศึกษา เขาก็ว่ามีงานวิจัยรองรับว่าดี กำลังเล็งๆ จะซื้ออุปกรณ์ที่เป็น panel มาลองใช้ ก็มีคนที่เขาทำเครื่องที่สามารถผลิตแสงที่ให้เราสามารถใช้เพื่อรับวีตามินดีได้ด้วย ก็สนใจมาก เพื่อเป็นทางเลือกให้เด็กๆ อยากให้พวกเขาแข็งแรง โดยใช้เวลาไม่กี่นาที และค่า วิตามินดีแบบว่าได้เกือบร้อย หรือเกินร้อยเลย ไม่ต้องไปตากแดดนาน ๆ ก็กำลังดูเป็นทางเลือกอยู่ค่ะ ไม่แน่ใจว่าคุณหมอคิดว่าอย่างไรกับอุปกรณ์เหล่านี้คะ 

2. Iron (22.12 ug/dl) and Zync ที่ต่ำกว่าเกณฑ์มาก พอดีคุณหมอแนะนำว่าให้ฉีดธาตุเหล็กเข้าเส้นเลือดเพื่อ boost ให้มันขึ้นเร็วและจะอยู่ได้ถึง 30 วันเลย คุณหมอบอกเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่จะค่อยๆ ปล่อยสารออกมาให้ร่างกายดูดซึม แต่ตัดสินใจยังไม่ทำ เพราะแอบ search หาใน column ของคุณหมอก็เจอ article ที่เกี่ยวกับหัวข้อนี้พอดีบอกว่า ไม่ควรไปฉีดอะไรเข้าเส้นเลือดแบบไม่จำเป็น เพราะอาจจะแพ้ได้ และให้ทานวิตามินเสริม น่าจะทำให้ค่าของธาตุเหล็กกลับมาเป็นปกติได้ภายใน 6 เดือน ก็เลยว่าจะลองดู อันนี้หลังจากนี้ 6 เดือนจะมาอัพเดทนะคะ 

2. เรื่องของสารพิษตกค้าง เจอว่ามีค่า Aluminium (7.1 ug/L) กับ cobalt (1.08 ug/L) เกินค่ามาตรฐาน คุณหมอก็แนะนำให้ทำ chelation เพื่อล้างสารพิษ 10 dose สัปดาห์ละ 1 dose เป็นเวลา 10 สัปดาห์ ส่วนนี้ เองยังไม่แน่ใจว่า จำเป็นไหม ถ้าดูค่าที่เกินมาตรฐานว่า ต้องรีบทำไหม หรือเราควรลอง detox ด้วยวิธีอื่นๆ ก่อน ดีไหม อยากได้คำแนะน ค่ะคุณสามีอยากให้รีบทำในส่วนนี้ เพราะเขามองว่า มันจะมีผลกับสมองเรา เป็นสาเหตุให้เกิด Alzheimer แบบไม่รู้ตัวได้ หรืออาจจะไป trigger ส่วนอื่นๆ ของร่างกายที่เป็นอันตรายได้ เท่าที่อ่านที่คุณหมอเคยแนะนำเรื่อง detox ก็ไม่ได้สนับสนุนในเทคนิคนี้ไหมคะ

สิ่งที่ตามมาคือ เราก็อยากรู้ว่าเราไปรับสารเหล่านี้เยอะๆ มาจากไหน เป็นไปได้ไหมว่าเราจะดูดซึมมาจากน้ำในสระ หรือ น้ำที่เราทาน หรือ ชาที่เราดื่ม แม้แต่น้ำยาทำผม หรือ ครีม ก็เป็นไปได้ แอบกังวลว่า เรา detox ไม่พอ เราต้องพยายาม อย่าไปเติมสารเหล่านี้เข้ามาเพิ่มด้วย ต้องหลีกอะไรบ้างในสิ่งที่เป็นสาหตุ เท่าที่ศึกษา ก็มีหลายอย่างที่เป็นไปได้เลย สำหรับสาร aluminium เลยทำการสั่งซื้อ water test kit ซะเลย จะมาเทสให้หมดเลยว่า นำกิน นำชาที่เราดื่ม หรือนำในสระมี aluminium ไหม แต่สามีก็จะไปตรวจแบบที่เราตรวจ จะได้เอาข้อมูลมา compare ว่าถ้าค่าสูงเหมือนกัน ก็แสดงว่าเป็นอะไรที่เราใช้เราดื่มด้วยกัน ถ้าค่าเขาไม่สูงเหมือนเรา ก็จะได้มีมุมมองโฟกัสไปที่อะไรที่เรากิน เราใช้ไม่เหมือนเขาบ้าง คุณหมอมีคำแนะนำอะไรในส่วนนี้เพิ่มเติมก็จะขอบคุณมากๆ เลยค่า ส่วนตัวเป็นพวกบ้าข้อมูล พอควรเลย 

จริงๆ เรามีทาน magnesium ด้วยนะคะ แต่หมอบอกว่า น่าจะเพราะ toxic ทำให้เราดูดซึม magnesium ได้ไม่ดี ก็เลยแอบกังวลว่า ถ้าไม่รีบ detox สารพิษเหล่านี้ออก เราก็จะขาด magnesium ไปด้วย 

3. คำถามสุดท้ายคือ เรื่องค่าที่ทำให้เกิด yeast overgrowth คุณหมอแจ้งว่าน่าจะมาจากความเครียด และบอกว่าให้เราพักผ่อนให้เพียงพอ ไม่ได้แนะนำอะไร แต่ส่วนตัวแอบสงสัยว่า จะเกี่ยวกับ probiotics ที่เราทานเสริมด้วยไหมนะคะ กำลังสั่งตัวใหม่ที่มีระบุว่าไม่ได้ใส่ yeast คุณหมอดูจากผลตรวจแล้วคิดว่าเกี่ยวไหมนะคะ เอาเข้าจริงๆ ไม่ได้รู้สึกว่าเครียดอะไร จริงๆ สนุกกับงานที่ทำนะคะ แต่ว่าพักผ่อนน้อยอันนี้ยอมรับค่ะ ขอคำแนะนำนิดนึงว่าเราควรจะทานอะไรบำรุงหรือ มีวิธีรักษาอะไรไหมคะ ในส่วนนี้ 

จากผลตรวจที่แนบมาด้วย ถ้าคุณหมอมีคำแนะนำอะไรเพิ่มเติม ก็จะขอบพระคุณอย่างสูงเลยค่ะ สุดท้าย ถ้ามีโอกาส อยากเรียนเชิญคุณหมอมาพูดให้ทีมงานร้อยกว่าชีวิตฟังเรื่องการรักษาสุขภาพ ตอนประชุม town hall สักครั้ง เป็นไปได้ไหมคะ

ด้วยความนับถือ

……………………………………………….

ตอบครับ

ที่ผมจั่วหัวว่ามันเป็นกรรมของคนรวยนั้นก็เพราะคนเราเมื่อมีเงินมีทองก็อยากมีสุขภาพดีจะได้มีเวลาได้ใช้เงินนานๆ ตรงนี้เปิดให้ “professionals” (ซึ่งคำนี้ดิกของ ส. เศรษฐบุตร แปลเป็นคำไทยว่า “พวกหากิน”) ได้ช่องทาง แต่การจะขายสินค้าให้คนรวยมันต้องมีพิธีแยะหน่อย เช่นจะขายวิตามินชนิดฉีดให้คนรวยมันก็ต้องมีการตรวจเพื่อสร้างหลักฐานก่อนว่าร่างกายของคนรวยกำลังขาดโน่นขาดนี่ วิธีสร้างหลักฐานก็คือขยับค่าปกติของแล็บตนให้มันต่ำลงเพื่อให้ได้คนผิดปกติมากขึ้น หรือสร้างค่าปกติขึ้นมาหลายค่าเพื่อนิยามว่าผู้ถูกตรวจผิดปกติไปจากไม่ค่าใดก็ค่าหนึ่งจนได้ ยกตัวอย่างเช่นกรณีคุณนี้

(1) อลูมิเนียม ระดับปกติโดยทั่วไปเขาใช้กันที่ 10 ไมโครกรัม/ลิตร ยกเว้นผู้ที่ล้างไตอยู่ซึ่งวงการแพทย์ให้ค่าปกติถึง 60 ไมโครกรัม/ลิตร [1] โดยยอมรับกันว่าในทุกคนถ้าค่าโคบอลท์สูงเกิน 100 ไมโครกรับ/ลิตร ก็มักเกิดพิษต่อร่างกายขึ้น [2] แต่ของคุณนี้พอวัดได้ 7.1 ไมโครกรัม/ลิตร ก็ร้องว่า ฮ้า.. ควรขาย เอ๊ยไม่ใช่ ควรซื้อคีเลชั่น สิบเข็ม สิบสัปดาห์ เอาแมะ เป็นต้น

ถามว่าร่างกายได้อลูมิเนียมมาจากไหน ตอบว่าหากไม่ได้ล้างไตอยู่และไม่ได้ฉีดสารอาหารเข้าทางหลอดเลือด คนเรามักได้อลูมินั่มจากยาลดกรดและมลภาวะในสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้ขอย้ำไว้ตรงนี้หน่อยนะ ว่าน้ำที่ว่ายอยู่ในสระก็ดี น้ำจากทุกแห่งที่ใช้ดื่มอยู่ก็ดี หม้อชามรามไหอลูมิเนียมที่ใช้หุงต้มหรือใส่อาหารก็ดี ไม่มีผลเสียต่อสุขภาพในแง่ความเสี่ยงการเกิดพิษอลูมิเนียม เพราะไม่มีหลักฐานใดๆทั้งสิ้นที่จะระบุได้ว่าเป็นอย่างนั้นเลย

(2)  โคบอลท์ แม้วงการแพทย์ยังไม่มีนิยามระดับปกติในคน แต่โดยทั่วไปก็ยอมรับกันที่ <1.8 ไมโครกรัม/ลิตร [3] ถ้าใส่ข้อเทียมค่าเฉลี่ยจะอยู่ที่ <2.5 ไมโครกรัม/ลิตร ขณะที่ระดับจะเกิดพิษต่อระบบเลือดคือ 300 ไมโครกรัม/ลิตร และระดับเกิดพิษต่อระบบประสาทคือ 700 ไมโครกรัม/ลิตร [4] แต่ของคุณนี้พอวัดได้แค่ 1.08 ซึ่งยังเป็นระดับปกติอยู่เลย เขาก็จะจับคุณฉีดคีเลชั่นแล้ว

ถามว่าแล้วโคบอลท์นี้คุณได้มาจากไหน ตอบว่าก็จากวิตามินบี.12 ที่คุณกินนั่นแหละ ชื่อจริงของวิตามินบี.12 คือ cobalamine ก็คือเอมีนของโคบอลท์ แต่อย่าไปมองโลกในแง่ร้ายว่าเขาจับคุณกินวิตามินบี.12 เพื่อจะให้ค่าโคบอลท์ของคุณดูออกไปทางสูงแล้วจะได้ขายคีเลชั่นให้คุณนะ ผมว่ามีหมอจำนวนมากไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าวิตามินบี 12 ทำมาจากโคบอลท์ และการกินวิตามินบี.12 ชนิดเม็ดก็ไม่เคยมีหลักฐานเลยสักชิ้นเดียวว่าจะทำให้ใครเกิดพิษจากโคบอลท์

(3) เหล็ก การตรวจดูระดับเหล็กในร่างกายคนที่ไม่ได้เป็นโลหิตจางแล้วมาทึกทักว่าขาดเหล็กต้องฉีดเหล็กเข้าหลอดเลือดนั้นเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณากันอย่างปราณีตบรรจง เหล็กเป็นโลหะหนักที่มีพิษได้และมีระบบการรีไซเคิลในร่างกายได้ 100% หมายความว่าหากไม่มีเลือดตกยางออกที่ไหน เหล็กที่เข้าไปแล้วจะไม่มีที่ออกเลยแล้วจะสะสมเกิดพิษของเหล็กได้ หลักวิชาแพทย์ที่แท้จริงคือการจะฉีดเหล็กเข้าหลอดเลือดควรสงวนไว้เป็นวิธีรักษาโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กระดับรุนแรงเท่านั้น มิฉะนั้นจะเสียหายมากกว่าได้ประโยชน์

การขาดเหล็กในร่างกายสัมพันธ์แนบแน่นกับโลหิตจาง ตัวคุณไม่มีภาวะโลหิตจาง (ทราบได้จากระดับ Hb และ Hct ในการตรวจนับเม็ดเลือดหรือ CBC เป็นปกติ) การจะวินิจฉัยว่าคุณขาดธาตุเหล็กทั้งๆที่ไม่ได้เป็นโรคโลหิตจาง (Nonanemic Iron Deficiency) นั้นเป็นเรื่องต้องพิจารณาอย่างปราณีตบรรจง การจะเข้าใจเรื่องนี้จำเป็นต้องเข้าใจกลไกการเผาผลาญเหล็กในร่างกายก่อน กล่าวคือ เหล็กเมื่อเข้าไปในร่างกายแล้วจะอยู่ในสภาพเหล็กอิสระ (serum iron) ได้แป๊บเดียวและเปลี่ยนแปลงวูบวาบได้มากทำให้ค่านี้บอกสภาพเหล็กที่แท้จริงได้ไม่ดี จากนั้นเหล็กจะเข้าจับกับโปรตีนผู้ขนส่งชื่อ transferrin ซึ่งวัดได้ทางแล็บด้วยค่า total iron binding capacity (TIBC) ถ้าค่านี้สูงแปลว่าธาตุเหล็กมีน้อย จากนั้นเหล็กทั้งหมดจะถูกนำไปเก็บในเซลล์ในรูปของโปรตีนชื่อ ferritin ซึ่งตัวนี้เป็นตัวบอกปริมาณเหล็กเกือบทั้งหมดในร่างกายอย่างแท้จริง เหล็กส่วนที่เหลือจากนี้ร่างกายไม่มีกลไกขับทิ้ง จึงต้องนำไปยัดไว้ในตับทำให้ตับเสียหายจนกลายเป็นตับวายซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโรคพิษของเหล็ก (hemochromatosis)

ในกรณีของคุณซึ่งไม่ได้เป็นโลหิตจากแต่ตรวจพบระดับเหล็กอิสระในเลือดต่ำ ผมแนะนำให้ตรวจเลือดดู ferritin (กรณีท่านผู้อ่านท่านอื่นหากอยากประเมินเหล็กในร่างกายให้ตรวจ ferritin ตัวเดียวเลยไม่ต้องตรวจระดับเหล็กอิสระ) หาก ferritin ต่ำด้วย จึงค่อยวินิจฉัยว่าคุณเป็นโรคขาดธาตุเหล็กโดยไม่มีโลหิตจาง แล้วจึงค่อยเดินหน้ารักษาด้วยการกินธาตุเหล็กควบคู่ไปกับการสืบค้นการสูญเสียเลือดจากร่างกายนอกเหนือจากประจำเดือน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่องตรวจลำไส้ใหญ่ (colonoscopy) เพื่อหาจุดเลือดออกในลำไส้ใหญ่ อันเป็นแหล่งเลือดออกแบบลึกลับที่พบบ่อยที่สุดในคนวัยเกิน 50 ปี

(4) วิตามินดี บาปที่วงการแพทย์สร้างไว้ให้ผู้ป่วยก็คือการกำหนดค่ามาตรฐานขึ้นมาหลายค่าเพราะหมอก็มีหลายองค์กรและตกลงกันไม่ได้ ผลร้ายจึงตกอยู่ที่คนไข้คือไม่ว่าผลเลือดจะออกมาอย่างไรหมอก็บอกว่าคุณขาดวิตามินดีหมด ค่ามาตรฐานที่แพทย์ใช้ตอนนี้มีดังนี้

<15 ng/ml แปลว่าขาดวิตามิน หรือถ้าสูงกว่านี้คือปกติ (กำหนดโดยสถาบันสุขภาพแห่งชาติ IOM)

>20 ng/ml แปลว่าพอเพียง (sufficient) (กำหนดโดย IOM)

>30 ng/ml แปลว่าพอดี (adequate) (กำหนดโดยวิทยาลัยแพทย์ต่อมไร้ท่อ ACCE)

ผมนิยมคำนิยามของ IOM เพราะมีหลักฐานสนับสนุนดีกว่า ของคุณเจาะได้ค่า 22.5 ng/ml ก็คือพอเพียงแล้ว ตากแดดก็พอแล้ว ไม่ต้องกินอะไรอีก

ถามว่าตากแดดอย่างไรให้ได้วิตามินดีแยะ ตอบว่าแดดยิ่งจัดยิ่งมี UVB มาก มากที่สุดคือช่วง10.00-15.00 น. โดยไม่ทาครีมกันแดด ไม่ผ่านกระจกใส

(5) ถามว่า Red Light Therapy เพิ่มวิตามินดีด้วยไหม ตอบว่าไม่เกี่ยวกันครับ การเพิ่มวิตามินดีต้องใช้รังสี UVB ซึ่งเป็นย่านความถี่สูง แต่ Red Light เป็นรังสีย่านความถี่ต่ำลงไปถึงต่ำมากจนมองไม่เห็น (Near Infra Red – NIR) งานวิจัยพบว่ารังสีในย่านนี้กระตุ้นไมโตคอนเดรียของเซลล์ให้ผลิตสารต้านอนุมูลอิสระ (subcellular melatonin) ซึ่งเป็นคุณต่อร่างกาย แต่ประโยชน์ของการเอาเครื่องผลิต Red Light มาจ่อเพื่อรักษาโรคและรักษาความเหี่ยวนั้น งานวิจัยยังสรุปผลแน่ชัดไม่ได้ คุณอยากจะลองก็ต้องเป็นกองหน้าลองดู

หมอสันต์แนะนำว่าหากอยากได้ red light therapy ให้รับแสงจากดวงอาทิตย์แบบเฉี่ยวๆเช่น ตอนเช้าตรู่ ตอนเย็น หรือขณะอยู่ใต้ร่มรำไร หรือนั่งริมหน้าต่างที่แสงแดดสะท้อนเข้ามาบ้าง ทำแบบนี้ก็จะได้ NIR แบบเต็มๆ เพราะ Red Light และ NIR ก็คือแสงอาทิตย์อ่อนทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็นนั่นเอง ไม่ต้องไปซื้อเครื่องมาให้รกบ้านดอก

(6) ถามว่าหมอตรวจแล้วพบว่าเป็น yeast overgrowth เกิดจากอะไร ตอบว่าผมไม่รู้คุณไปตรวจอะไรมาจึงได้คำวินิจฉัยนี้มา เพราะมันเป็นคำวินิจฉัยนอกสาระบบโรคของวิชาแพทย์ (ICD) ผมเดาว่าคุณตรวจอุจจาระ หมอฝรั่งพวกหนึ่งคิดคำวินิจฉัยชื่อโรคขึ้นมาว่า yeast syndrome เมื่อตรวจพบว่ามีราในสกุล candida ในทางเดินอาหารมาก แล้วอ้างว่าทำให้เกิดอาการผิดปกติต่างๆเป็นตุเป็นตะ และต้องกินอาหารแบบนั้นแบบนี้เป็นตุเป็นตะ ทั้งหมดนั้นไม่ใช่วิทยาศาสตร์ เป็นวิทยาศาสตร์เทียม คือเอาคำวิทยาศาสตร์มาพูดเรื่องที่ไม่มีหลักฐานวิทยาศาสตร์ให้ฟังดูเป็นวิทยาศาสตร์ ตัวผมเองไม่มีความรู้นอกเหนือไปจากผลวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่ตีพิมพ์กันไว้ดิบดีแล้ว ดังนั้นผมจนด้วยเกล้า ไม่รู้จริงๆว่า yeast overgrowth ของคุณนี้มันคืออะไร และมันจะทำให้แผ่นดินสูงขึ้นหรือต่ำลงอย่างไร ไม่รู้จริงๆ ผมรู้อย่างเดียวว่าในโรงพยาบาลทุกแห่งที่ผมไปมา ไม่มีที่ไหนมีแผนกวินิจฉัยและรักษาโรค yeast overgrowth หิ  หิ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม

  1. Wechphanich S., Thammarat P. A survey of metal contamination in blood collection tubes on toxicology assays. The Bangkok Medical Journal. 2017. 13(2):5.
  2. Frank EL, Hughes MP, Bankson DD, Roberts WL. Effects of anticoagulants and contemporary blood collection containers on aluminum, copper, and zinc results. Clin Chem. 2001 Jun. 47 (6):1109-12. 
  3. Agency for Toxic Substances and Disease Registry (ATSDR). Toxicological Profile for Cobalt. Atlanta, GA: U.S. Department of Health and Human Services, Public Health Service; 2004.
  4. Paustenbach DJ, Tvermoes BE, Unice KM, et al. A review of the health hazards posed by cobalt. Crit Rev Toxicol. 2013;43:316-362. doi:10.3109/10408444.2013.779633
[อ่านต่อ...]

04 กรกฎาคม 2567

คุณค่าและความหมายของชีวิต ความกลัวตาย ความกลัวปวด

(ภาพวันนี้ / คูนต้นฝนที่หน้าบ้านโกรฟเฮ้าส์)

เรียน คุณหมอสันต์ที่เคารพ

ผมเห็นการบรรยายที่คุณหมอได้ไปบรรยายที่สวนโมกข์ในโพสต์ก่อน เลยต้องขอเขียนเพื่อจะขอฟังทรรศนะคุณหมอ ที่ตอนนี้เป็นหนึ่งในผู้นำทางจิตวิญญาณของผม
-อยากฟังเรื่องความหมายของชีวิตในมุมมองคุณหมอครับ
-อีกเรื่องคือมุมมองของคุณหมอเกี่ยวกับความตาย เปรียบเทียบความกลัว ความวิตกกังวลตอนที่คุณหมออายุ 55 และ ปัจจุบันครับ
ขอบพระคุณอย่างสูงครับ
…….
ส่งจาก iPhone ของฉัน

……………………………………………………………………

ตอบครับ

1.. ความหมายชีวิต หรืออีกคำพูดหนึ่งคือ คุณค่าของชีวิต เป็นคอนเซ็พท์ว่าชีวิตของคนเราเกิดมาแล้วต้องมีประโยชน์ มีคุณค่า เกิดมาแล้วจะได้ไม่เสียชาติเกิด แต่อย่าลืมว่าทั้งหมดนี้มันเป็นแค่ “คอนเซ็พท์” นะ ซึ่งก็คือ “ความคิด” ที่เราอุปโลกน์ขึ้นในใจของเราเองแบบเขาว่ากันมาก็ว่ากันตามเขาไป หามีสาระอยู่จริงหรือเป็นอะไรที่ถาวรไม่ ดังนั้นผมแนะนำว่าให้โยนคอนเซ็พท์เรื่องความหมายของชีวิตทิ้งไปเสีย ทิ้งไปให้ไกลๆเลย เลิกคอยตรวจเช็คชีวิตตัวเองว่ามีคุณค่าหรือความหมายหรือเปล่าเสียที เพราะการขยันทำอย่างนั้นมีแต่จะทำให้เครียดและอาจทำให้เป็นบ้าได้

อีกประการหนึ่งการถามหาคุณค่าและความหมายของชีวิตซึ่งมักหมายความรวมถึงการมีงานทำมีเงินเดือนกินจะเป็นคำถามที่ใช้ไม่ได้แล้วจากวันพรุ่งนี้เป็นต้นไป เพราะคนส่วนใหญ่จะมีชีวิตอยู่โดยไม่มีการงานอาชีพหรือมีเงินเดือนค่าจ้างกินแบบเป็นเรื่องเป็นราวเหมือนทุกวันนี้ เพราะการจ้างงานจะลดลง และวิชาที่เรียนไปจากมหาวิทยาลัยเกือบทั้งหมดจะกลายเป็นความสูญเปล่าเนื่องจาก AI มันบอกแทนได้หมดไม่ต้องไปจดมาจากห้องเรียน ตัวผมเองไม่ได้มองว่าการไม่มีเงินเดือนกินนี้จะเป็นเรื่องซีเรียสอะไรนะ เพราะสมัยผมเป็นเด็กประถมนอกจากครูที่โรงเรียนและผู้ใหญ่บ้านแล้วก็ไม่เห็นมีใครมีงานทำมีเงินเดือนกินสักคน แต่คนทั้งหมู่บ้านเขาก็มีชีวิตที่ดีมีความสุขได้ โดยไม่จำเป็นต้องตั้งคำถามถึงคุณค่าและความหมายของชีวิต

ทุกชีวิตเกิดมาแล้วจะมีพัฒนาการไปทางใช้ชีวิตให้เต็มศักยภาพที่ตนเองมี เหมือนนกที่เกิดมาแล้วก็จะงอกขนงอกปีกจนบินไปไหนต่อไหนเองได้ สำหรับคน ทุกคนล้วนมีเป้าหมายสุดท้ายเดียวกันคือความสุขหรือความสงบเย็นเบิกบาน ดังนั้น ทุกโมเมนต์ที่คิดขึ้นได้ แทนที่จะถามตัวเองว่าชีวิตตัวเองมีคุณค่าและความหมายมากพอได้มาตรฐานสากลที่คนอื่นเขาพูดกันหรือที่เขาตั้งสะเป๊คกันไว้แล้วหรือยัง น่าจะถามตัวเองเสียใหม่ว่าโมเมนต์นี้การใช้ชีวิตของตนเองทำให้ตนเองมีความสงบเย็นและเบิกบานหรือเปล่า ถ้าเบิกบานดี ยิ้มได้ ชีวิตก็มาได้เต็มศักยภาพของมันแล้ว

ในชีวิตจริงคนเราแค่จะยิ้มให้ออกนี่ก็แทบจะไม่ได้แล้ว ชีวิตของคนเราเต็มไปด้วยการเปรียบเทียบตนเองกับคนอื่นจนนำไปสู่การแก่งแย่ง ชิงดี งุดหงิด โกรธ เกลียด อิจฉา อาฆาต อันเป็นพื้นฐานชักนำให้คนทำสงครามเข่นฆ่ากัน ทั้งนี้เป็นเพราะเราไม่รู้วิธีที่จะใช้ชีวิตของตัวเองให้สงบเย็นและเบิกบานจึงไปคาดหวังเอากับคนอื่นให้มาทำให้ใจเราสงบเย็น ซึ่งมันคงเป็นไปได้ยาก

ดังนั้นแค่ตื่นเช้ามาแต่ละวันคุณยิ้มให้คนรอบตัวได้ ชีวิตของคุณก็เปี่ยมด้วยคุณค่าแล้ว ไม่ต้องตรวจสอบระดับคุณค่าหรือความหมายของชีวิตด้วยมาตรอื่นๆเช่นการมีเงินการมีงานทำหรือการได้บริจาคทานเป็นเงินเท่าไหร่เลย  เพราะแค่คุณยิ้มให้คนข้างๆได้ รอยยิ้มและความสงบเย็นของคุณก็จะถูกถ่ายทอดต่อๆกันไป คุณก็จะกลายเป็นคนทำให้โลกนี้น่าอยู่ขึ้นได้อย่างน่าสรรเสริญแล้ว

2.. ความกลัวตาย ย่อมเกิดกับทุกคนที่ความตายทำท่าจะมาถึงเร็วแบบไม่ทันตั้งตัว ถามว่าหมอสันต์ตอนอายุ 55 ปีและป่วยอยู่นั้นกลัวตายไหม ตอบว่ากลัวตายสิครับ เพราะไปให้ค่ากับความคิดเชิงจินตนาการถึงอนาคตที่ไม่ใช่เรื่องจริงด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์  

แต่ตอนนี้รู้แล้ว ว่าความกลัวเป็นแค่ “ความคิด” ทุกความคิดล้วนปรุงขึ้นมาจากประสบการณ์เก่าๆของเราซึ่งถูกเก็บไว้เป็นความจำ ที่ถูกรื้อฟื้นขึ้นมาคลุกเคล้ากับคอนเซ็พท์ “อนาคต” กลายออกมาเป็นนิทานเรื่องใหม่ขึ้นในหัวตัวเองว่าเมื่ออนาคตมาถึงสิ่งร้ายๆที่เคยเกิดในอดีตจะเกิดกับเราอีกอย่างนั้นอย่างนี้เป็นตุเป็นตะ แล้วนิทานนั้นก็วนกลับมาเป็นสิ่งเร้าให้ใจและร่างกายของเราสนองตอบออกไปในรูปของ “ความกลัว” อันใหม่ วนอยู่อย่างนี้รอบแล้วรอบเล่า

ถามว่าตอนนี้หมอสันต์ที่อายุเจ็ดสิบกว่าแล้วซึ่งเป็นวัยที่ “แค่” (ภาษาใต้ แปลว่าใกล้) ความตายเข้าไปทุกทีแล้ว ยังกลัวตายอยู่ไหม ตอบว่าตอนนี้ไม่กลัวแล้ว เพราะ

(1) เมื่อรู้ว่าความกลัวคือความคิด ผมก็ลงมือฝึกวางความคิด ฝึกเรื่อยมาจนวางความคิดขี้หมาไปได้แล้วเกือบหมด เมื่อในหัวไม่มีความคิด ความกลัวในหัวก็ไม่มี

(2) ความกลัวทุกชนิด ถูกชงขึ้นมาโดยอัตตาหรือสำนึก (identity) ว่าเราเป็นบุคคลคนหนึ่งมีชื่อมีร่างกายมีทรัพย์สมบัติอย่างนี้ เพราะเมื่อถึงเวลาตายจริงๆ เจ้าอัตตาหรือ identity นี่แหละที่จะตาย มันจึงกลัวความตายระดับขี้ขึ้นสมอง ผมก็แก้ปัญหานี้ด้วยการย้ายอัตตา (change identity) มันซะเลย ย้ายจากตัวเดิมที่เป็นคนคนนี้เป็นเจ้าของร่างกายนี้ไปเป็นตัวใหม่ที่ไม่ได้เป็นอะไรเลย ไม่มีผลประโยชน์เกี่ยวข้องลึกซึ้งกับคนคนไหน หรือกับโลก หรือกับร่างกายนี้เลย ตัวใหม่นี้เป็นแค่ผู้สังเกตความเป็นไปในชีวิตแต่ละขณะด้วยความอยากเรียนอยากรู้ ส่วนตัวเก่าที่เป็นมนุษย์ขี้ป๊อดนั้น ตอนนี้เขาไม่ค่อยได้อยู่ที่บ้านนี้แล้ว

3.. ข้อนี้คุณไม่ได้ถามแต่ผมแถมให้ ว่าควบคู่มากับความกลัวตายนั้นมักจะมีความกลัวความเจ็บปวดเมื่อป่วยไข้ใกล้จะตายพ่วงมาด้วย ถามว่าผมกลัวความเจ็บปวดไหม ตอบว่าไม่กลัวเลย เพราะมีประสบการณ์เคยปวดระดับมหากาพย์มาแล้ว ทั้งประสบการณ์ในแง่การยอมรับความปวด และในแง่การเปลี่ยนพลังงานความปวดเป็นพลังชีวิตของตัวเอง

ถึงแม้ท่านผู้อ่านเป็นคนที่ไม่เคยมีประสบการณ์ปวดหนักๆมาก่อนก็ไม่มีเหตุจะต้องกลัวความเจ็บปวดอยู่ดี เพราะสมัยนี้ระบบสามสิบบาทรักษาทุกโรค (UC) เขาจ่ายมอร์ฟีนให้ผู้ป่วยระยะสุดท้ายแบบไม่อั้น แทบจะจ่ายแบบส่งตรงถึงบ้านฟรีเลย จึงไม่มีเหตุผลอะไรต้องมาจินตนาการว่าชีวิตนี้จะจบลงด้วยความเจ็บปวด เนื่องจากชื่อว่าความปวดไม่ว่าระดับใด มอร์ฟีนเอาอยู่ทุกราย..ถ้าโด้สสูงพอ หิ หิ

นี่ว่ากันเฉพาะเรื่องความปวด (pain) ซึ่งเป็นเรื่องบนร่างกายนะ ส่วนความทรมาน (suffering) ซึ่งเป็นเรื่องของความคิดในใจนั้น.. ตัวใครตัวมันนะครับ ใครที่ยังคิดมากก็จะทรมานมากเป็นธรรมดา ดังนั้นถ้ากลัวความทรมานเมื่อใกล้ตาย ก็จงฝึกวางความคิดเสียแต่วันนี้

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

02 กรกฎาคม 2567

สรุปผลวิจัยอาหารไทยสุขภาพ ออกมาแล้ว

(ภาพวันนี้ / หญ้าริมรั้วของเพื่อนบ้านหลังใหม่ในมวกเหล็กวาลเลย์)

งานวิจัยอาหารไทยสุขภาพซึ่งผมเป็นหัวหน้าคณะวิจัย ได้ทำวิจัยกันมาในช่วงเกือบปีที่ผ่านมา ใช้เงินไปเกือบห้าล้านบาท ได้ผลสรุปออกมาแล้ว

งานวิจัยนี้เป็นการวิจัยแบบสุ่มตัวอย่างแบ่งกลุ่มเปรียบเทียบ (RCT) ซึ่งเป็นหลักฐานวิจัยระดับสูงที่สุดที่จะออกแบบทำได้ ชื่อว่างานวิจัยอาหารไทยสุขภาพต่อตัวชี้วัดสุขภาพ

ที่มาของงานวิจัยนี้ก็คือว่าดัชนีสุขภาพของคนไทยแย่ลงอย่างรวดเร็ว งานวิจัยในคนไทยทุกภาพจำนวนร่วม 15000 คนพบว่า 67% มีไขมันในเลือดสูง แม้งานวิจัยในหมู่แพทย์พยาบาลและเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลก็พบว่า 68% เป็นไขมันในเลือดสูง ทำให้เกิดคำถามขึ้นมาว่าอาหารที่คนไทยกินอยู่ จะทำให้มันเป็นอาหารสุขภาพได้ไหม โดยได้นิยามอาหารไทยสุขภาพขึ้นมาว่าคืออาหารที่ใช้เครื่องปรุงไทยได้ทุกอย่างรวมทั้งกะปิ น้ำปลา ปลาร้า กะทิ ผงชูรส ใช้ได้หมด แต่ไม่ใช้เนื้อสัตว์เป็นวัตถุดิบอาหารและไม่ใช้น้ำมันในการปรุงอาหารหรือใช้เพียงแต่น้อย แล้วสุ่มแบ่งอาสาสมัครซึ่งเป็นคนไทยทั่วทุกภาคที่มีดัชนีสุขภาพผิดปกติ คือ น้ำหนักเกิน หรือไขมันในเลือดสูง หรือความดันเลือดสูง หรือเป็นเบาหวานหรือใกล้จะเป็นเบาหวาน จำนวน 62 คน สุ่มแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มทดลอง 30 คนให้กินอาหารไทยสุขภาพ กับกลุ่มควบคุม 32 คนให้กินอาหารไทยสมัยนิยม (อาหารที่กินปกติที่บ้าน) ในกลุ่มทดลองนั้นให้มาเรียนทำอาหารด้วยตนเองที่เวลเนสวีแคร์เป็นเวลานาน 2 สัปดาห์ก่อนที่จะกลับไปทำอาหารกินเองต่อที่บ้าน ทำวิจัยอยู่นาน 3 เดือน โดยใช้น้ำหนัก ความดัน ไขมัน และปริมาณยาเบาหวานที่ใช้เป็นตัวชี้วัดสำคัญ

ผลวิจัยกลุ่มที่กินอาหารไทยสุขภาพ คนที่น้ำหนักเกิน (BMI>23 kg/m2) ลดน้ำหนักได้เฉลี่ย -3.99 กก. ขณะที่กลุ่มควบคุมมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น +0.43 กก. ที่เป็นความดันเลือดสูงอยู่ก็มีความดันเลือดตัวบนลดลงเฉลี่ย −32 mmHg ขณะที่กลุ่มควบคุมลดลงเฉลี่ย -12 mmHg ที่มีไขมันในเลือดสูงอยู่ก็มีไขมันเลว (LDL) ลดลงเฉลี่ย−34.1 mg/dL ขณะที่กลุ่มควบคุมลด -12.9 mg/dL ทั้งหมดนี้เป็นความแตกต่างที่มีนัยสำคัญ ในกลุ่มกินอาหารไทยสุขภาพ ผู้ที่ใช้ยาเบาหวานอยู่ก็ลดยากินลงเหลืออย่างเดียว และที่ฉีดยาอยู่ก็ลดยาฉีดลงได้ 30%

สรุปว่าอาหารไทยสุขภาพซึ่งใช้เครื่องปรุงไทยได้ทุกอย่างแต่ไม่ใช้เนื้อสัตว์เป็นวัตถุดิบอาหาร สามารถลดตัวชี้วัดสุขภาพที่บ่งชี้ถึงการเป็นโรคเรื้อรังลงได้อย่างมีนัยสำคัญ ทั้งน้ำหนัก ความดัน ไขมัน และการใช้ยาเบาหวานกรณีเป็นเบาหวานอยู่

บนพืันฐานของผลวิจัยเบื้องต้นนี้ ผมจึงอยากจะเชิญชวนคนไทยทุกคนปรับเปลี่ยนอาหารของตัวเองมาอยู่ในแนวทางอาหารไทยสุขภาพเพื่อป้องกันและพลิกผันโรคเรื้อรังด้วยตนเอง คือใช้เครื่องปรุงไทยได้ไม่จำกัดแต่ลดการใช้เนื้อสัตว์เป็นวัตถุดิบอาหารลงให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพิ่มการใช้พืชเป็นวัตถุดิบอาหารแทนมากขึ้น

สำหรับท่านที่สนใจจะทำอาหารตาม 88 เมนูที่ใช้ในงานวิจัยนี้สามารถเปิดดูเมนูได้ฟรีที่เว็บไซท์ https://drsant.com/ ผมได้แนบบทคัดย่อของงานวิจัยไว้ท้ายบทความนี้ด้วย ส่วนรายละเอียดทั้งหมดของงานวิจัยนั้นคงต้องรอให้วารสารการแพทย์ที่รับตีพิมพ์งานวิจัยได้ตีพิมพ์งานวิจัยก่อนจึงจะเปิดเผยได้รายละเอียดได้ ซึ่งปกติวารสารจะใช้เวลาตรวจและตีพิมพ์นานประมาณหนึ่งปี

ปล. ผมและคณะผู้วิจัยขอขอบคุณอาสาสมัครที่เข้าร่วมวิจัยทุกท่าน และขอบคุณผู้อุปถัมภ์การวิจัยที่ได้ใช้เงินสนับสนุนการวิจัยนี้เกือบ 5 ล้านบาท

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

……………………………………

Abstract

A randomised clinical trial to compare the Healthy Thai Diet and Conventional Thai Diet on health indices.

Background: Epidemiological studies and randomised controlled trials suggest that dietary patterns emphasising a variety of low-fat, plant-based foods such as vegetarian, Mediterranean, and DASH diets are associated with reduced risk of chronic non-communicable diseases.

Objective: This study compared the effects of a Healthy Thai Diet and a Contemporary Thai Diet on basic health indices, including BMI, blood pressure, plasma lipids, and glycemia. The Healthy Thai Diet is characterised by low-fat, plant-based Thai food, substituting animal products with plant-based ingredients, and includes common Thai seasonings and traditional sauces e.g. fish sauce, shrimp paste, coconut milk.

Design: Individuals exhibiting at least one abnormal health indices (BMI, blood pressure, LDL, FBS) or undergoing treatment for non-communicable diseases were randomly assigned to either a Healthy Thai Diet (HTD; n=30) or a Contemporary Thai Diet (CTD; n=32) for 12 weeks. Health indices were measured at baseline and week 12. Statistical analysis was conducted using paired t-tests for within-group comparisons to assess changes over time, and Student’s t-tests for between-group comparisons to evaluate differences in outcomes between the two groups. 

Results: Significant weight loss occurred within the HTD group (p<0.01) and between groups (−3.03 kg in HTD vs +0.43 kg in CTD, p<0.01). This pattern was also observed in participants with BMI >23 kg/m2 (−3.99 kg in HTD vs +0.04 kg in CTD, p<0.01). Systolic blood pressure decreased significantly within the HTD group (p<0.01) and between groups (−17.4 mmHg in HTD vs -6.3 mmHg in CTD, p=0.042), particularly in those with initial readings ≥140 mmHg (−32 mmHg in HTD vs -12 mmHg in CTD, p=0.015). LDL cholesterol decreased significantly within the HTD group (p<0.01), with a notable reduction in those with LDL ≥130 mg/dL (−34.1 mg/dL in HTD vs -12.9 mg/dL in CTD, p=0.042). Individuals with type 2 diabetes in the HTD group were able to reduce or discontinue medications while maintaining stable glycemic control (baseline FBS 133 mg/dL vs 114 mg/dL at week 12, p=0.3). Additionally, an improvement in eGFR was observed within the HTD group (p=0.03), although this was not significantly different between groups (p=0.05).

Conclusions: The Healthy Thai Diet can significantly improve key health indices in individuals with obesity, hypertension, high LDL cholesterol, and type 2 diabetes.

……………………………………..

[อ่านต่อ...]

01 กรกฎาคม 2567

ปวดหลังร้าวลงขา หมอว่าเป็นกลุ่มอาการกิแลง แบร์ (Guillain - Barre syndrome)

ภาพวันนี้ / เปลือกต้นซิลค์โอ้คอายุ 20 ปี กับใบพลูมอนสเตอรา (ล่างขวา)

คุณหมอคะ

ขอเรียนถามเรื่อง Guillain- Barre syndrome เพิ่งเป็นและรับการรักษาอยู่คะ ให้ยา IVIG ไป 13 หลอดแล้ว อาการยังไม่ดีขึ้นเลยคะ ได้แนบผลเลือดต่างๆมาด้วยแล้วคะ ความดัน 130/80 ส่วนสูง 167 น้ำหนัก 65  อายุ 55 เดิมทีเมื่อ 3 อาทิตย์ที่แล้วเริ่มด้วยอาการปวดร้าวลงขา แล้วต่อมาก็ชาที่แขนและมือ อาการปวดและชารุนแรงมากขึ้น ปวดจนนอนไม่ได้ แม้ทานยาแก้ปวดที่หมอให้ 3 ชนิด มี Arcoxia, Norflex, Larica คุณหมอกระดูกที่รพ … ดู MRI  บอกว่าเป็นหมอนรองกระดูกทับเส้น แต่ไม่มาก ไม่ต้องผ่าตัดให้ทำกายภาพ จะดีขึ้น รพ … บอกว่าให้รีบผ่าตัด อจ หมอที่ … บอกไม่มีอะไรต้องผ่าไม่ได้เป็นหมอนรองกระดูก ส่งต่อให้หมอ neurologist & หัวใจ คิวรอเดือนนึง เลยไปรพ. … ทำ MRI สมอง เจาะไขกระดูก บอกเป็น Guillain-barre ให้ฉีด IVIG ไป 13 หลอด หมอบอกว่า ผลจาก MRI คือ หมอนรองกระดูกยื่นออกมาก็จริง แต่ไม่ได้แตะเส้นประสาท แค่เข้ามาชิด แต่ไม่แตะ นั่นคือ ไม่ใช่เรื่องหมอนรองกระดูกแน่

อาการทั่วไปดังนี้คะ:

27 มิย

เช้าวันนี้ยังชาเหมือนเดิม แต่รู้สึกปวดน้อยลงนิดนึง อาการปวดลดลงน้อยมาก ทั้งที่ให้ยาไปแล้ว 6 ขวด

หมอบอกว่า ให้ยา 5 วัน 13 ขวด หลังจากนั้น จะเริ่มให้ทำกายภาพด้วย หวังว่า จะอยู่ รพ. ต่อไม่นาน อาจจะ 1 อาทิตย์ค่ะ แต่ว่ามันนานไป หมอบอกว่า บางคนต้องอยู่รพ. เป็นเดือน หนูแค่อยากให้มันหายชา ตอนนี้ด้านซ้ายบริเวณลำตัวชา เหมือนโดนฉีดยาชาเลยค่ะ แค่มีอาการชาตามร่างกายบางส่วน และปวดที่บริเวณลำตัวผสมกับอาการชาด้วย เดินได้เอง เพียงแต่มีอาการแขนและขาด้านขวาอ่อนแรง ด้านซ้ายอ่อนแรงน้อยกว่าด้านขวา เรื่อง อาการชา หมอบอกบางคนชาส่วนใบหน้า ลำคอ ทำให้มีปัญหาการกลืนอาหาร แต่ของแมวชาบริเวณลำตัวมีอาการชาตามร่างกายบางส่วน และปวดที่บริเวณลำตัวผสมกับอาการชาด้วย หนูเดินได้เอง เพียงแต่มีอาการแขนและขาด้านขวาอ่อนแรง ด้านซ้ายอ่อนแรงน้อยกว่าด้านขวา

28 มิย:

เมื่อคืนทรมานมาก เหมือนมันชาเพิ่มขึ้นบริเวณเอวกับลำตัวด้านซ้ายมากขึ้น ลามมาทางสะดือ ส่วนด้านหลังก็ลามไปทางกลางหลังมากขึ้น คือ ชาแบบอึดอัดมาก นอนไม่ได้ พุงก็ป่อง เพราะ ไม่ถ่ายเลย ไม่มีแรงเบ่ง กินยาถ่ายก็ไม่ออก ต้องใช้วิธีสวนตลอดเลย ตกเย็นก็ไม่ดีขึ้นเลยคะ ขั้นต่อไปคือ รักษาตามอาการ และเริ่มทำกายภาพ

ที่ไม่มั่นใจก็คือ วินิจฉัยถูกต้องไหม รักษาถูกทางหรือยัง เพราะกลัวอาการหนักขึ้น ปลายประสาทถูกทำลายมากขึ้นเรื่อยๆ จะพิการคะ ไม่เข้าใจว่าอยู่ดีๆเป็นได้ไง โรคที่ไม่ค่อยมีคนเป็น ไม่ได้ฉีด Gadarsil ซึ่งก็ไม่เกี่ยวอยู่ดี (อ่านจาก blog คุณหมอ) ยังไม่ได้ฉีดวัคซีนอะไรในปีนี้คะ Covid วัคซีนที่ฉีดก็แค่ astra 2 + pfizer 1 ช่วงคลายล็อค ป่วยโควิด ตามด้วยไข้เลือดออก อาการไม่รุนแรง แตไออยู่นานเป็นเดือนเลยคะ หนูดูแลจัดการร้านอาหารครอบครัว ลูกค้าเยอะมาก กลุ่มทัวร์ด้วย เหนื่อยมาก พักผ่อนน้อย แต่ปกติก็แข็งแรงดี เดือนก่อนโดนฝน รู้สึกไม่สบายนิดหน่อย แค่คืนเดียว กินดิคอลเจนและฟ้าทะลายโจร รุ่งเช้าก็ปกติดีคะ ได้แนบเอกสารผลตรวจมาด้วยแล้วคะ

ขอบพระคุณมากคะ

……………………………………………………

ตอบครับ

1.. ถามว่ามีอาการปวดร้าวลงขา ขาชาและอ่อนแรงข้างหนึ่งมากอีกกว่าข้างหนึ่ง แถมชาขึ้นมาถึงลำตัวและแขน หมอคนที่หนึ่งว่าเป็นหมอนรองกระดูกทับเส้นต้องผ่าตัดทันที หมอคนที่สองว่าไม่เกี่ยวอะไรกับหมอนกระดูกไม่ต้องผ่าตัด หมอคนที่สามว่าเป็นกลุ่มอาการปลอกประสาทอักเสบแบบกิแลง แบร์ (Guillain Barre Syndrome) ถามว่าจะเชื่อใครดี ตอบว่าผมจะเชื่อหมอคนที่แนะนำวิธีรักษาที่ไม่รุกล้ำก้าวร้าวไว้ก่อน นั่นหมายความว่าผมจะตัดความเห็นที่จะให้ผ่าตัดทันทีทิ้งไปก่อนครับ ทั้งนี้เพราะงานวิจัยในภาพใหญ่พบว่า 60% ของความผิดปกติในภาพ MRI ที่หลังไม่เกี่ยวอะไรกันกับอาการป่วยที่เป็น ผมจึงขอเลือกเอาข้างไม่ก้าวร้าวไว้ก่อน

2.. ถามว่าหมอคนที่สามวินิจฉัยว่าเป็นกลุ่มอาการกิแลง แบร์ แล้วให้การรักษาด้วยการฉีด IVIG ต้านภูมิคุ้มกันที่ทำลายเนื้อเยื่อตนเองทันที จะเป็นคำวินิจฉัยที่ผิดไหม หากผิดแล้วจะเสียหายอะไรบ้าง ตอบว่าการวินิจฉัยกลุ่มอาการกิแลง แบร์ เกือบทั้งหมดเป็นการวินิจฉัยเอาจากอาการซึ่งเป็นข้อมูลอัตวิสัย มันก็มีโอกาสผิดได้บ้างเป็นธรรมดา..แต่ผิดน้อย แม้ว่าข้อมูลที่คุณส่งมาไม่มีหลักฐานว่าคุณติดเชื้ออะไรมาก่อนซักกะอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเชื้อ Campylobacter ซึ่งเป็นสาเหตุใหญ่ของผู้ป่วยกิแลง แบร์ แต่การที่ผลการเจาะน้ำไขสันหลังของคุณมีโปรตีนสูงกว่าปกตินั้นก็ถือเป็นหลักฐานที่เข้าได้กับการเป็นโรคนี้เป็นอย่างดี ดังนั้นผมมีความเห็นว่าการที่หมอท่านที่สามวินิจฉัยว่าเป็นกิแลงแบร์นั้นเข้าท่าที่สุดแล้ว และการรักษาด้วย IVIG ก็ได้ประโยชน์มากกว่าความเสี่ยง คุณอย่าได้วิตกจริตไปในทางว่าจะวินิจฉัยผิดเลย

สำหรับท่านผู้อ่านทั่วไป กลุ่มอาการกิแลง แบร์ คือภาวะที่มักนำด้วยการติดเชื้อแบคทีเรียหรือไวรัสก่อนแล้วตามด้วยภูมิคุ้มกันของร่างกายไปทำลายปลอกประสาท (demyelinating polyneuropathy) ของตนเอง ทำให้มีการสูญเสียการทำงานทั้งด้านการเคลื่อนไหว (motor) และการรับความรู้สึก (sensory) ไล่จากส่วนล่างของร่างกายขึ้นบน การรักษามุ่งไปที่การบรรเทาอาการบวกกับการฉีด IVIG เพื่อทำลายภูมิคุ้มกันที่ทำลายเนื้อเยื่อตนเอง

3.. ถามว่าหมอจะให้นอนรพ.1 สปด.มันนานไปจะทำอย่างไรดี ตอบว่าสำหรับคนป่วยเป็นกลุ่มอาการ กิแลง แบร์ ผู้ป่วยทำได้อย่างเดียวคือ “ทำใจ” ครับ เพราะการดำเนินโรคปกติใช้เวลานานหลายสัปดาห์ถึงหลายเดือน ส่วนใหญ่จะจบด้วยการกลับมาเดินเหินได้ปกติโดยอาจมีอาการทางระบบประสาทรบกวนบ้างเล็กน้อย ซึ่งหากได้แค่นี้ก็ถือว่าหรูแล้ว

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]