31 มกราคม 2566

อัธยา วิลเล็จ Independent Living สำหรับผู้สูงวัย

ผมเคยเล่าให้ฟังว่าผมให้คำปรึกษาโครงการที่อยู่อาศัยผู้สูงวัยในมวกเหล็กวาลเลย์ชื่อ “อัธยา วิลเล็จ (Attaya Village)” เจ้าของก็คือคุณอัธยา ซึ่งเป็นญาติของหมอสมวงศ์นี่เอง เป็นโครงการขนาดเล็กมีแค่ 10 หน่วย คือ 5 หน่วยเล็ก (1นอน1น้ำ)บวกกับอีก 5 หน่วยใหญ่ (2นอน2น้ำ) ในพื้นที่ 8 ไร่ มีบริเวณพักผ่อนรวมทั้งสวนดอกไม้และสวนครัว ตั้งอยู่ห่างเวลเนสวีแคร์ราวสองร้อยเมตร เดินถึงกันได้ ตอนนี้โครงการเขาสร้างเสร็จและกำลังจะเปิดให้เช่า ผมจึงขอใช้บล็อกวันนี้เล่าถึงโครงการนี้สักเล็กน้อย เผื่อแฟนบล็อกบางท่านจะสนใจมาใช้ชีวิต “บั้นปลาย” อยู่ในละแวกนี้

คอนเซ็พท์ของโครงการนี้คือ

(1) Independent Living หมายความว่าต่างคนต่างอยู่อย่างอิสระ ทำอะไรเอง ของใครของมัน

(2) Neighborhood support แปลว่าอยู่กันแบบเพื่อนบ้านเกื้อกูลกันและกันเอาเองแบบเอื้ออาทรกันอย่างสมัครใจ ไม่มีใครมีหน้าที่บริการใครเป็นการเฉพาะ

(3) Age in place หมายความว่าแก่ที่นี่ตายที่นี่ ส่วนใครจะตายอย่างไรนั้นก็เลือกเอาตามแบบที่ตัวเองชอบ กรณีจะใช้บริการผู้ดูแลส่วนตัว (private care giver) ในบั้นปลายก็ต้องจ้างมาเองของใครของมัน

รูปแบบของการเข้าอยู่อาศัยคือการเช่า ซึ่งเปิดให้เช่าสองแบบ

แบบที่หนึ่ง คือเช่าตลอดชีพ ผู้เช่าเป็นคู่สัญญาได้หลังละ 2 คน ทั้งคู่ต้องมีอายุ 60 ปีขึ้นไป ให้เช่าในราคา 1 ล้านบาทสำหรับหลังเล็ก(1นอน1น้ำ) และ 2 ล้านบาทสำหรับหลังใหญ่(2นอน2น้ำ) อยู่ได้ตลอดชีพของทั้ง 2 คน

แบบที่สอง เช่ารายปี ไม่จำกัดอายุผู้เช่า ในราคา 1.2 แสนบาทต่อปีสำหรับหลังเล็ก และ 2.4 แสนบาทต่อปีสำหรับหลังใหญ่

ผู้เช่าทั้งสองแบบต้องจ่ายค่าใช้จ่ายส่วนกลางเป็นรายเดือน เดือนละ 2 พันบาทสำหรับหลังเล็ก เดือนละ 3 พันบาทสำหรับหลังใหญ่ ค่าใช้จ่ายส่วนกลางเป็นค่าจัดการแลนด์สเคป สนามหญ้า ที่จอดรถทั้ง resident parking และ visitor parking สวนดอกไม้ สวนผัก รักษาความสอาด แสงสว่างนอกห้องพัก และแสงสว่างสำหรับถนนเดินออกกำลังกายรอบๆโครงการ ผู้ให้เช่าเป็นผู้บริหารจัดการการดูแลพื้นที่ส่วนกลาง

บ้านทั้งสองขนาด มีเฟอร์นิเจอร์ทั้งเตียง ตู้เสื้อผ้า โซฟารับแขก โต๊ะกินข้าว พร้อมหมดแล้ว ติดแอร์ให้แล้วทั้งห้องนอนและห้องโถง ครัวก็มีตู้เย็นมีเตาทำอาหารมีหิ้งหับให้หมดแล้ว

ตัวผู้เช่าต้องจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ ดูแลเรื่องอาหาร ซักรีด และทำความสะอาดภายในบ้านของตัวเองด้วยตัวเอง กรณีจ้างแม่บ้านของโครงการทำให้ก็ต้องจ่ายค่าจ้างทำงานนอกเวลาเอาเอง เจ้าของอนุญาตให้แม่บ้านของโครงการทำอาหารขายให้ผู้เช่าตามคำขอซื้อของผู้เช่าได้ในขอบเขตเวลาที่พวกเธอมีและเมนูที่พวกเธอทำเป็นโดยตกลงราคาซื้อขายกันเอาเอง โครงการมีเครื่องซักผ้าอบผ้าแบบหยอดกระปุกให้ผู้เช่าผลัดคิวกันใช้ โครงการนี้ไม่เปิดให้เช่ารายเดือนหรือรายวัน ยกเว้นกรณีลูกหลานมาเยี่ยมสมาชิกและต้องการค้างคืนสามารถเช่าบ้าน common house เป็นรายวันได้ในอัตราค่าเช่าวันละ 3,000 บาท

อัธยาวิลเลจเปิดให้เช่าทั้งสองแบบแล้วตั้งแต่วันที่ 1 มีค. 66 เป็นต้นไป โดยให้ priority แก่ผู้เช่าตลอดชีพก่อนผู้เช่ารายปี และจะเปิด open house day ให้ผู้สนใจเข้าชมสถานที่ในวันที่ 26 กพ. 66 (วันเดียว วันอื่นไม่เปิด)

ตัวหมอสันต์เองไม่ได้มีส่วนได้เสียอะไรกับโครงการนี้แม้แต่บาทเดียว การไม่มีส่วนเสียนี่สำคัญนะ เพราะทำโครงการแบบนี้มันสนุกดีก็จริงแต่ว่าเสียเงินแหงๆ ผมมาแจมเพราะชอบทำอะไรที่สนุกแต่ไม่อยากเสียเงินตัวเอง หิ หิ แฟนบล็อกที่สนใจจะเช่าอยู่โปรดแจ้งความจำนงที่ผมทางอีเมล chaiyodsilp@gmail.com ได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ผมจะประสานงานกับเจ้าของซึ่งจะทำสัญญากับผู้สนใจเช่าทีละคนตามลำดับก่อนหลังของการติดต่อขอจองเข้ามาทางอีเมล เมื่อเจ้าของตกลงให้เช่ากับท่านใดแล้วก็จะนัดหมายไปจดทะเบียนการเช่าและรับชำระค่าเช่ามอบกุญแจโดยไม่ต้องมีการวางเงินมัตจำก่อนการจดทะเบียนการเช่า

ปล. ในสัญญาผู้เช่าต้องตกลงจะไม่เลี้ยงสัตว์ทุกชนิดเพื่อป้องกันการมีปัญหากับเพื่อนบ้าน สนาม สวนดอกไม้ สวนผัก ของส่วนกลาง

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

30 มกราคม 2566

การตามดูพลังชีวิต (body scan) ทำอย่างไร

(ภาพวันนี้: ระเบียงหลังบ้านปลายหน้าหนาว ดอกไม้พากันให้สีสวย)

สวัสดีค่ะคุณหมอ 

หนูชื่อ นางฟ้า … ค่ะ ได้อ่านบทความอันมีประโยชน์เรื่องอัตตาของคุณหมอ หนูอ่านทุกตัวอักษร ใจหนูโล่งและเบาไม่เหลือความคิดที่รู้สึกโกรธ สับสน หรือตัวเองไร้ค่าในทันที และหนูได้คีย์แพงคือ 4 คำมหัศจรรย์ 

“ขอบคุณ ขอโทษ ให้อภัย และเมตตา”

ที่นี้ หนูอยากฝึกการวางความคิดที่คุณหมอแนะนำ 5 อย่างนี้ 1) การตามดูลมหายใจ (2) การผ่อนคลายร่างกาย (3) การสังเกตความคิด (4) การตามดูพลังชีวิตหรือ body scan และ (5) การจดจ่อสมาธิ และอันที่หนูสนใจมากที่สุดคือ การตามดูพลังชีวิต (body scan ) ค่ะ อยากให้คุณหมอช่วยแนะนำเพิ่มเติมหน่อยนะคะ ว่าทำอย่างไรคะ ขอขอบคุณในการเมตตาที่ผลิตเนื้อหาที่ดีมากแบบนี้

นางฟ้า …

………………………………………………

ตอบครับ

เราเคยพูดถึง body scan ในบล็อกนี้ไปหลายครั้งแล้ว แต่วันนี้พูดในแบบครบถ้วนกระบวนความสักครั้งก็ดีเหมือนกัน

ประเด็นที่ 1. พลังชีวิตคืออะไร

พลังชีวิตก็คือพลังงานที่ขับเคลื่อนชีวิตนี้ ซึ่งหมายความรวมทั้งร่างกายและจิตใจ ให้ดำเนินไปได้ ขึ้นชื่อว่าเป็นพลังงานย่อมไม่มีมวลสาร (mass) ให้จับต้องได้ อย่างดีก็มีแค่คลื่น (wave) ความพริ้วหรือความกระเพื่อมไหวให้อายตนะของร่างกายหรือให้ความรู้ตัวรับรู้ได้ 

ในวิชาแพทย์แผนปัจจุบันพูดถึงพลังงานของร่างกายเพียงแค่ว่ามันเริ่มที่ลมหายใจที่เข้ามา เมื่อลมเข้าไปในปอด ส่วนสำคัญที่สุดของลมซึ่งก็คือออกซิเจนจะแพร่ผ่านถุงลมในปอดเข้าไปสิงอยู่ในเม็ดเลือดแดงซึ่งไหลมาตามหลอดเลือดฝอยที่หุ้มถุงลมอยู่ จากนั้นออกซิเจนนี้จะถูกกระแสเลือดพาไปส่งให้เซลล์ทุกเซลล์ของร่างกาย เมื่อเข้าไปในเซลล์แล้ว ไมโตคอนเดรียซึ่งเปรียบเหมือนโรงไฟฟ้าในเซลล์ก็จะจับออกซิเจนนี้ไปเผาผลาญอาหารและน้ำให้กลายเป็นพลังงานขับเคลื่อนกิจกรรมต่างๆของเซลล์ขึ้นกับว่าเซลล์นั้นเป็นเซลล์ที่ทำหน้าที่อะไร เช่นหากเป็นเซลล์สมองพลังงานนี้ก็ทำให้เกิดความสามารถในการคิดอ่านหรือเชาวน์ปัญญา (intellect) หากเป็นเซลล์กล้ามเนื้อพลังงานนี้ก็ทำให้เกิดความสามารถในการเคลื่อนไหวออกแรงยกย้ายข้าวของต่างๆได้ (motor power) เป็นต้น ในส่วนที่เป็นพลังงานความร้อนสร้างความอบอุ่นให้ร่างกายนั้นจะถูกระบายออกไปสู่ภายนอกผ่านผิวหนังออกไปตลอดเวลา ดังนั้นในแง่ความรู้ทางการแพทย์แผนปัจจุบัน พลังงานที่ขับเคลื่อนชีวิตตั้งต้นที่ลมหายใจที่สูดเข้ามา ไปจบที่ไอร้อนที่แผ่กลับออกไปสู่ภายนอกผ่านผิวหนักทุกซอกหลืบของทุกรูขุมขน

ในทางจิตวิญญาณหรือ spirituality ความทุกข์ของมนุษย์ทุกชาติ ทุกภาษา ทุกยุค ทุกสมัย เหมือนกันหมด คือเป็นทุกข์เพราะความคิดที่ชงขึ้นมาโดยอหังการ์ หรืออัตตา ของตัวเอง ความคิดนั้นจะดึงดูดเอาความสนใจไปอยู่ในที่ที่ไม่มีอยู่จริง อันได้แก่อดีตและอนาคตซึ่งเป็นเพียงเรื่องราวที่แปรปรวนรวนเรควบคุมอะไรไม่ได้เลย นักปราชญ์แต่โบราณจึงหาวิธีที่จะหันเหความสนใจที่ขลุกอยู่แต่ในความคิดให้มาอยู่กับอะไรอย่างอื่นสักอย่างซึ่งเป็นของที่มีอยู่จริงจับต้องรับรู้ได้ในปัจจุบัน ที่นี่ เดี๋ยวนี้ เช่นการรับรู้การเคลื่อนไหวของร่างกาย การรับรู้ลมหายใจ และุการรับรู้การกระเพื่อมไหวของพลังชีวิต เป็นต้น เมื่อถอยออกจากความคิดมาอยู่กับสิ่งที่ปรากฎอยู่จริงๆที่เดี๋ยวนี้ได้ จิตก็จะหยุดซัดส่าย สมาธิก็จะเกิดขึ้น ซึ่งสมาธินี้จะเป็นสนามหรือบรรยากาศที่เปิดรับเอาพลังดีๆเข้ามาแทนที่ความคิดสั่วๆได้ ความทุกข์ที่เคยเกิดจากความคิดก็จะหายไป นอกจากนั้นพลังดีๆที่เข้ามา หากมาในมิติของปัญญา เราเรียกว่าปัญญาญาณ ซึ่งภาษาอังกฤษมีคำเรียกหลายคำ เช่น intuition บ้าง wisdom บ้าง insight บ้าง จะเป็นพลังสร้างสรรค์ที่ทำให้มนุษย์สร้างสรรค์อะไรดีให้แก่โลกหรือให้แก่ชีวิตอื่นที่พ้นไปจากอหังการ์ของตัวเองได้มากเกินความคาดหมาย การหันเหความสนใจจากความคิดมาตามดูพลังชีวิตหรือ body scan จึงมีคุณด้วยประการฉะนี้

ประเด็นที่ 2. วิธีตามดูพลังชีวิต (body scan) ทำอย่างไร

เมื่อมีการเคลื่อนไหวของพลังชีวิต จะเกิดคลื่นความพริ้วไหวหรือสั่นสะเทือนเล็กๆละเอียดๆขึ้นบนร่างกาย ซึ่งอายาตนะของร่างกายรับรู้ได้ เช่นความรู้สึกวูบวาบ ซู่ๆซ่าๆ จิ๊ดๆจจ๊าดๆ เจ็บๆคันๆ หรือแม้กระทั่งความรู้สึกปวด ขณะเดียวกันก็ปรากฎความพริ้วไหวเป็นความรู้สึกขึ้นในใจด้วย เช่นความรู้สึกกระดี๊กระด๊า กระตือรือล้น อิ่มเอิบ เบิกบาน มีกำลังวังชา ในทางกลับกันการลดลงของพลังงานชีวิตก็จะปรากฎในใจเป็นความรู้สึกหดหู่ เศร้าสร้อย เป็นต้น

วันนี้ผมจะพูดถึงแต่การฝึกตามดูพลังชีวิตที่ปรากฎเป็นอาการบนร่างกายเพียงอย่างเดียว ไม่พูดถึงที่ปรากฎเป็นความรู้สึกในใจ จะได้ไม่มากเรื่องเวิ่นเว้อเกินไป การฝึกต้องทำ 5 ขั้นตอน ดังนี้

ขั้นที่ 1. ต้องฝึกผ่อนคลายร่างกายก่อน พลังชีวิตปกติเราจะรับรู้ไม่ได้เพราะมันถูกกลบด้วยไฟฟ้าในเส้นประสาทที่เกิดขึ้นจากการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อซึ่งเป็นไฟฟ้าที่แรงกว่ามากโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเครียดและกล้ามเนื้อทั่วร่างกายหดตัวมาก ขณะที่ไฟฟ้าที่รายงานความรู้สึกบนผิวกายนั้นเป็นไฟฟ้าที่อ่อนกว่ามากชนิดที่สู้กันไม่ได้เลย ดังนั้นการจะทำ body scan จะต้องผ่อนคลายกล้ามเนื้อร่างกายให้เป็นก่อน ผ่อนคลายใบหน้า ยิ้มที่มุมปากได้สบายๆ ผ่อนคลายคอ บ่า ไหล่ ลำตัว แขน ขา ผ่อนคลายทั้งร่างกาย ทำอย่างนี้ให้ได้ก่อน

ขั้นที่ 2. ต้องฝึกหันเหความสนใจจากความคิดมาจดจ่ออยู่กับอะไรที่ปรากฎที่เดี๋ยวนี้แต่เป็นสิ่งที่หยาบๆเห็นได้ชัดๆก่อน เช่นลมหายใจของเราเอง ฝึกตามดูลมหายใจจนความคิดค่อยๆหมดพลังฝ่อหายไปเกือบหมด

ขั้นที่ 3. คราวนี้จึงจะเป็นการฝึกรับรู้พลังชีวิต ผ่านการรับรู้ความรู้สึกละเอียดที่ละเอียดอ่อนบนร่างกาย ซึ่งทำได้หลายวิธี เช่น

วิธีที่ 1. ลองนั่งลง ทำฝ่ามือเป็นอุ้งหงายไว้บนตัก แล้วพยายาม feel หรือรู้สึกว่าที่อุ้งมือนั้นมีความอุ่นอยู่หรือเปล่า เพราะอุณหภูมิร่างกายเราสูงกว่าข้างนอก ปกติความอุ่นจะปรากฎอยู่ตลอดเวลา หากเราไม่สนใจ เราจะรับรู้ไม่ได้ แต่หากเราสนใจ เราจะรับรู้ได้

วิธีที่ 2. ขณะนั่งอยู่ ลองตั้งใจรับรู้ความรู้สึกที่ก้น ซึ่งมีน้ำหนักตัวเรากดลงไปบนพื้นเก้าอี้ ให้รับรู้ความรู้สึกกดนั้น เช่นเดียวกันให้รับรู้ความรู้สึกที่ฝ่าเท้า ซึ่งมีน้ำหนักของเท้ากดลงไปบนพื้นรองเท้า ให้รับรู้ความรู้สึกกดนั้น หากมีความรู้สึกอย่างอื่นเกิดขึ้นและรับรู้ได้ก็รับรู้ไปด้วย

วิธีที่ 3. ลองหลับตาชูมือข้างหนึ่งขึ้น แล้วถามตัวเองว่ามือข้างนั้นอยู่ตรงไหนโดยไม่ลืมตามองและไม่ขยับนิ้วมือด้วย พยายามตอบคำถามด้วยการ feel หรือรู้สึกเอาจากความรู้สึกบนฝ่ามือ บนนิ้วมือ ซึ่งมันจะเป็นความรู้สึกอะไรก็ได้ เช่น วูบๆวาบๆ เหน็บๆชาๆ เจ็บๆคันๆ อุ่นๆ เย็นๆ หากยังรับรู้ความรู้สึกไม่ได้ก็ให้ผ่อนคลายร่างกายให้ยิ่งขึ้นไปอีก

วิธีที่ 4. เตรียมน้ำดื่มเย็นเจี๊ยบจากตู้เย็นใส่แก้วไว้ข้างๆตัวขณะนั่งสมาธิ เมื่อตามดูลมหายใจจนความคิดสงบลงถึงระดับหนึ่งแล้ว ให้ดื่มน้ำเย็นทีละอึก เมื่อดื่มได้อึกหนึ่งแล้วให้ใส่ใจรับรู้ความเย็นที่ค่อยๆเดินทางจากปากผ่านลำคอ ผ่านหน้าอก ลงไปจนถึงในท้อง

วิธีที่ 5. หลับตานั่งสมาธิเปล่งเสียงโอมแล้วตามรับรู้ความรู้สึกสั่นสะเทือนที่กระเพื่อมไปทั่วร่างกาย

ขั้นที่ 4. พอรับรู้ความรู้สึกบนร่างกายเป็นแล้ว คราวนี้ก็มาทำ body scan กันจริงๆ โดยนั่งหลับตาเหมือนนั่งสมาธิ ตามดูลมหายใจจนความคิดสงัดลงระดับหนึ่งแล้ว จากนั้นจึงสมมุติเอาความสนใจของเราเป็นไฟฉาย สาดแสงไฟส่องไปบนผิวหนังของเราทีละจุด เมื่อสาดไฟฉายของความสนใจส่องไปตรงจุดไหน ก็ให้ใส่ใจรับรู้ความรู้สึกใดๆก็ตามที่เกิดขึ้นบนผิวหนังที่จุดนั้น อาจจะเป็นความรู้สึกซู่ๆซ่าๆ เหน็บๆชาๆ เจ็บๆคันๆเหมือนมีมดไต่ ได้ทั้งนั้น เมื่อรับรู้ได้แล้วก็ให้ค่อยกวาดลำไฟฉายแห่งความสนใจให้ส่องขยายเป็นพื้นที่กว้างออกไปๆ สาดไปถึงไหนก็ตามรับรู้ความรู้สึกบนผิวกายถึงที่นั่น ทำอย่างนี้จนลาดตระเวณไปทั่วร่างกายตั้งแต่ศรีษะจรดปลายเท้า ศัพท์คำว่า body scan ได้มาจากเทคนิคนี้แหละ คำว่า scan ก็คืออาการที่เรากวาดลำไฟฉายแห่งความสนใจไปทีละตารางนิ้วของพื้นที่บนผิวหนังนั่นเอง

ขั้นที่ 5. เป็นวิธีผูกโยงเอาลมหายใจและการรับรู้ความรู้สึกบนร่างกายเข้าเป็นเรื่องเดียวกัน ก็คือตามดูพลังชีวิตตั้งแต่ต้นทางคือลมหายใจที่สูดเข้ามา ไปจนถึงปลายทางเมื่อแผ่กระจายเป็นความอุ่นออกไปทุกรูขุมขนของผิวหนัง เรียกอีกอย่างว่าเป็นการเดินลมปราณก็ว่าได้ เพราะคำว่า “ปราณ” ก็หมายถึงพลังชีวิตนั่นเอง วิธีนี้ผมเลียนแบบมาจากพระภิกษุชาวไทยท่านหนึ่ง ท่านมรณภาพไปนานแล้ว สูตรของท่านคือ “สูดลม-กองลม-กระจายลม”

สูดลม คือสูดลมหายใจเข้ามาลึกๆให้เต็มปอด ขณะสูดก็รับรู้ว่ามีพลังชีวิตเข้ามาพร้อมกับลมผ่านจมูกเข้าไปในตัว คล้ายๆกับตอนที่เรารับรู้ความเย็นเวลากลืนน้ำเย็นลงไปในท้อง

กองลม ก็คือเมื่อหายใจเข้าไปเต็มปอดแล้วก็กลั้นหายใจแบบหยุดการหายใจธรรมดาๆไม่เบ่ง จินตนาการประกอบนิดหนึ่งว่าเราเอาลมไปกองไว้ที่ไหนก่อนที่จะหายใจออก จะกองไว้ที่ไหนก็ตามถนัด ที่หัว ที่หน้าอก ที่ท้อง ได้ทั้งนั้น ในจังหวะกองลมนี้นอกจากจะกลั้นหายใจแล้ว ให้ผ่อนคลายร่างกายด้วย ยิ้มที่มุมปากนิดๆเหมือนพระพุทธรูปในโบสถ์ด้วยยิ่งดี

กระจายลม ก็คือปล่อยให้ลมหายใจออกไปสู่ภายนอกแบบสบายๆให้มันออกไปของมันเองไม่ต้องพ่นไม่ต้องไล่ จังหวะนี้ให้ผ่อนคลายร่างกายเต็มที่แล้วติดตามรับรู้หรือ feel ความรู้สึกถึงคลื่นความสั่นสะเทือนเล็กๆเมื่อพลังชีวิตกระจายออกจากจุดที่เรากองลมไว้ออกไปสู่ภายนอกผ่านทุกรูขุมขนบนผิวหนังทั่วตัวออกไปสู่ภายนอก ในรูปแบบของความรู้สึกอุ่นๆซู่ซ่า..าขนลุกขนชันกระจายออกไปทั่วตัวในขณะที่เราผ่อนคลายร่างกายเต็มที่

เทคนิค สูดลม กองลม กระจายลม นี้ เป็นเทคนิคที่ผมใช้แล้วเห็นว่าดีมากเป็นพิเศษจึงเอามาบอกต่อ คุณเอาไปทดลองทำดูนะ

ปลายทางของ body scan ก็คือการรู้สึกถึงพลังชีวิตถ้วนทั่วตัวจนแทบจะแทนความรู้สึกถึงร่างกายที่เป็นเนื้อตันๆนี้ได้เลยเชียว ยามที่หลับตาก็ยังรับรู้ได้ถึงพลังชีวิตที่เป็นคลื่นหรือหมอกควันของความอุ่นซ้อนทับร่างกายนี้อยู่ และเมื่อสนใจหมอกควันสีขาวนวลนี้ให้ลึกละเอียดลงไป ลึกละเอียดลงไปๆ ก็จะไปจบตรงที่เดียวกันกับเมื่อเราฝึกสมาธิด้วยวิธีอื่นใดทั้งหลาย คือสิ่งที่ใช้เป็นเป้าของความสนใจจะหายไป เหลือแต่ความรู้ตัวอยู่ในท่ามกลางความว่างเปล่า นอกจากความรู้ตัวแล้วไม่มีอะไรอย่างอื่นเลย แม้แต่ร่างกายก็ดูเหมือนจะไม่มีแล้วในขณะนั้น มีแต่ความรู้ตัวโดดเด่นอยู่ ตรงนี้แหละเป็นจุดลึกที่สุดที่เราควรจะเข้ามาตั้งหลักให้ได้หรือให้เป็นก่อน ก่อนที่จะฝึกถอยออกจากตรงนี้เพื่อเปิดรับหรือสัมผัสกับการเข้ามาของพลังงานดีๆที่เรียกว่าปัญญาญาณต่อไป

ในการฝึก body scan หน้าที่ของเราคือตามดูเฉยๆ ไม่ต้องไปพยายามบูสท์หรือเพิ่มพลังชีวิต เพราะธรรมชาติของสิ่งต่างๆในชีวิตเรานี้ อะไรก็ตามที่เราเอาความสนใจไปตามดูมัน มันจะยิ่งใหญ่ขึ้นมาเอง ไม่ต้องไปพยายามทำให้มันใหญ่ดอก อย่างทุกวันนี้เราเอาความสนใจของเราไปขลุกอยู่ในความคิด ความคิดมันจึงยิ่งใหญ่คับฟ้าจนเรากลายเป็นทาสของมันไปโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นแค่เราถอยความสนใจออกจากความคิดมาตามดูพลังชีวิต ชีวิตเราก็จะมีพลังขึ้นมาเองไม่ต้องไปใช้ความคิดลุ้นช่วย เพราะเมื่อความสนใจมาตามดูพลังชีวิต ความคิดจะด้อยค่าไปเอง อย่าไปหลงกลใช้บริการความคิดอีก

คุณลองฝึกทำเองดูก่อนนะ เวลาทำงานก็ฝึกขณะนั่ง ยืน เดิน ทำกิจการงาน ก่อนนอนก็ฝึกในรูปแบบของการนั่งสมาธิ ฝึอกย่างนี้ทุกวัน ชีวิตก็จะสงบเย็น เบิกบาน และเต็มไปด้วยพลังสร้างสรรค์ หากฝึกแล้วไม่ก้าวหน้า ให้หาเวลามาเข้า spiritual retreat

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

29 มกราคม 2566

กินยาลดไขมันมา 20 ปีแล้วปวดข้อ

(ภาพวันนี้: ใบของต้นคริสต์มาส ยามแล้ง..ง)

เรียนคุณหมอสันต์ที่นับถือ

ผมเป็นโรคหัวใจ ทำบอลลูนใส่ขดลวดไปแล้วเมื่อ 20 ปีก่อน กินยาลดไขมันเริ่มด้วย atovarstatin และเปลี่ยนชนิดยาเรื่อยมา แต่ไม่เคยหยุดยาลดไขมันเลยตลอด 20 ปี ผมเป็นโรคเก้าท์เมื่อราว 15 ปีมาแล้ว ตอนนั้นกรดยูริก 7.4 กินยาลดกรดยูริกทุกวันมาสิบกว่าปี ตอนนี้กรดยูริก 5.4 ผมระวังอาหารที่เขาบอกว่าคนเป็นเก้าท์กินไม่ได้ ผมระวังมาก อย่างยอดผักและสัตว์ปีกไม่แตะเลย แต่ระยะหลังมานี้อาการปวดรอบๆข้อเท้าเวลาลงน้ำหนักเป็นบ่อยขึ้นมาก ไม่มีอาการบวมแดง บางครั้งเป็นมากจนผมไปไหนไม่ได้หลายวันทั้งๆที่กินยาแก้อักเสบและยาลดกรดยูริกตลอด บางครั้งผมแอบลดยาลดไขมันลงเพราะกลัวว่ายาลดไขมันจะทำให้ผมเกิดข้ออักเสบหรือปวดรอบๆข้อ ที่ผมอยากถามคุณหมอก็คือยาลดไขมัน statin นี้ทำให้เกิดข้ออักเสบและปวดข้อลงน้ำหนักไม่ได้ได้หรือไม่ครับ เป็นไปได้ไหมว่าผมไม่ได้เป็นโรคเก้าท์แต่ปวดข้อเท้าเพราะยาลดไขมัน ทุกวันนี้ผมรักษากับหมอโรคข้อซึ่งบอกว่าผมเป็นเก้าท์ บอกมาตั้ง 15 ปีมาแล้ว ผมเคยอ่านคุณหมอสันต์บอกว่าการวินิจฉัยโรคเก้าท์ต้องเจาะเอาน้ำในข้อไปตรวจจึงจะวินิจฉัยได้ แต่ผมไม่เห็นหมอเจาะเอาน้ำในข้อผมไปตรวจสักครั้งเลย ส่วนหมอหัวใจก็คอยแต่จี้ให้ผมเพิ่มยาลดไขมัน (ในความเป็นจริงผมแอบลดยาทุกครั้งที่ปวดข้อเท้ามาก)

ขอบคุณครับ

…………………………………………………………

ตอบครับ

1.. ถามว่าปวดรอบๆข้อเท้าเวลาลงน้ำหนัก แต่ไม่มีข้อบวมแดงร้อนให้เห็น ทั้งๆที่กินยาลดกรดยูริกจนกรดยูริกเหลือแค่ 5.4 เป็นไปได้ไหมว่ามันไม่ใช่โรคเก้าท์ ตอบว่าเป็นไปได้ครับ เพราะการวินิจฉัยว่าใครเป็นโรคเก้าท์โดยไม่เห็นหลักฐานว่ามีข้ออักเสบ (บวมแดงร้อน) ไม่ได้เจาะน้ำในข้อมาตรวจดูว่ามีผลึกกรดยูริกหรือไม่ อาศัยแค่มีอาการปวดข้อร่วมกับกรดยูริกเกิน 7 ก็วินิจฉัยว่าเป็นเก้าท์เลย มีโอกาสวินิจฉัยผิดมากกว่าวินิจฉัยถูกอยู่แล้วครับ เพราะสาเหตุของการปวดข้อโดยไม่มีหลักฐานการเกิดข้ออักเสบให้เห็นนั้นมีสาเหตุได้เยอะแยะแป๊ะตราไก่

2.. ถามว่ายาลดไขมัน statin ทำให้เกิดปวดข้อ ข้ออักเสบได้หรือไม่ ก่อนตอบคำถามนี้ผมอยากจะให้คุณเข้าใจอาการปวดสองแบบก่อน คือ

1.1 ปวดข้อจากข้ออักเสบ (arthritic joint pain) หมายถึงว่ามีการอักเสบของข้อชัดเจนขึ้นมาก่อน กล่าวคือมีข้อบวม ร้อน แดง ปวด ลงน้ำหนักไม่ได้ อาจมีไข้ด้วย เมื่อเจาะน้ำในข้อออกมาดูก็พบว่ามีสารที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบอยู่ในนั้น อาจพบผลึกที่ทำให้เกิดอักเสบด้วยเช่นผลึกของกรดยูริกในโรคเก้าท์ หรือผลึกของแคลเซียมในโรคเก้าท์เทียม หรือพบแต่การอักเสบโดยไม่มีผลึกเช่นกรณีข้ออักเสบจากโรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเองแบบต่างๆ หรือพบเชื้อแบคทีเรียกรณีติดเชื้อในข้อ เป็นต้น

1.2 ปวดระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ (musculoskeletal pain) โดยไม่เกี่ยวกับข้ออักเสบ อาจมีอาการปวดที่ข้อหรือรอบๆข้อเหมือนกัน ลงน้ำหนักแล้วก็อาจจะเจ็บได้เหมือนกัน แต่ไม่มีการอักเสบคือบวมแดงร้อนที่ข้อให้เห็น เจาะน้ำในข้อออกมาตรวจดูก็ไม่พบร่องรอยของการอักเสบ

ทั้งสองแบบนี้ หากเป็นแบบแรก คือ arthritic joint pain งานวิจัยพบว่าไม่มีความสัมพันธ์อะไรกับยาลดไขมันสะแตติน

แต่หากเป็นแบบที่สองคือปวดระบบกระดูกและกล้ามเนื้อแบบไม่จำเพาะเจาะจง (musculoskeletal pain) นั้นมีความสัมพันธ์กับยาลดไขมันสะแตตินอย่างแน่นอน ในงานวิจัยทั่วไปจะพบการปวดระบบกระดูกและกล้ามเนื้อแบบหลังนี้ถึง 23% ของผู้ใช้ลดไขมันทั้งหมด

ในกรณีที่ไม่มีข้อบวมแดงร้อนให้เห็น การวินิจฉัยแยกสองอย่างนี้ออกจากกันทำได้ยาก จำเป็นจะต้องเจาะเอาน้ำในข้อออกมาตรวจดูจึงจะวินิจฉัยแยกได้ว่ามีข้ออักเสบอยู่จริง หรือว่าแค่ปวดระบบกระดูกและกล้ามเนื้อเฉยๆ

ในกรณีของคุณก่อนที่จะไปถึงขั้นเจาะน้ำในข้อออกมาตรวจ ผมแนะนำให้หยุดยาลดไขมันสะแตตินไปก่อนสัก 3 เดือน แล้วสังเกตดูอาการปวดเวลาลงน้ำหนักว่ามันดีขึ้นหรือหายไปหรือไม่ ถ้ามันไม่หายไปก็แสดงว่ามันไม่เกี่ยวกับยาลดไขมัน ถ้ามันหายไปก็ต้องสงสัยไว้ก่อนว่ามันเกี่ยวกับยาลดไขมัน ในกรณีที่การกินยาลดไขมันแล้วก่ออาการปวดระบบกระดูกและกล้ามเนื้อจนรบกวนคุณภาพชีวิตมากขนาดนี้ ผมแนะนำให้เลิกกินยาลดไขมันไปเลย หันไปโฟกัสที่การปรับอาหารเพื่อลดไขมันในเลือดแทน โดยเปลี่ยนไปกินอาหารแบบกินพืชเป็นหลักโดยไม่ใช้น้ำมันปรุง (low fat plant based diet) ซึ่งงานวิจัยกลุ่มคนที่กินอาหารพืชเป็นหลักแบบต่างๆพบว่าพวกกินทั้งพืชและสัตว์มีไขมัน LDL เฉลี่ย 123.43 มก./ดล. พวกมังสะวิรัติแบบกินนมกินไข่ด้วยมี LDL 101.47 มก./ดล. พวกมังสะวิรัติกินนมไม่กินไข่มี LDL 87.71 มก./ดล. พวกมังสะวิรัติแบบวีแกนมี LDL 69.28 มก./ดล. ดังนั้นปัญหาไขมันในเลือดสูงสามารถแก้ได้ด้วยการปรับเปลี่ยนอาหารโดยไม่ต้องใช้ยาลดไขมันเลยก็ยังได้

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในกรณีที่ยาลดไขมันก่อผลข้างเคียงมาก เมื่อชั่งน้ำหนักแล้วประโยชน์ที่จะได้จากยาลดไขมันมีน้อยกว่าโทษที่เกิดจากยาลดไขมัน ก็ไม่ควรที่จะทู่ซี้กินยาลดไขมันต่อไป

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม

  1. Buettner C, Rippberger MJ, Smith JK, Leveille SG, Davis RB, Mittleman MA. Statin use and musculoskeletal pain among adults with and without arthritis. Am J Med. 2012 Feb;125(2):176-82. doi: 10.1016/j.amjmed.2011.08.007. PMID: 22269621; PMCID: PMC3266514.
  2. De Biase SG, Fernandes SF, Gianini RJ, Duarte JL. Vegetarian diet and cholesterol and triglycerides levels. Arq Bras Cardiol. 2007 Jan;88(1):35-9. English, Portuguese. doi: 10.1590/s0066-782×2007000100006. PMID: 17364116.
[อ่านต่อ...]

28 มกราคม 2566

กินถั่วและนัทแล้วมีลมในท้องมากจะแก้ไขอย่างไร

ภาพวันนี้: โสกเหลือง (ศรียะลา)

ส่งจาก iPad ของฉัน
สวัสดีค่ะ อาจารย์

รบกวนถามนิดเดียว พยายามกินถั่ว กินนัท เป็นของว่างระหว่างวัน แต่ปัญหาคือ ผายลมปู๊ดป๊าด และมีลมในท้องเยอะ แก้ไขยังไงดี และ ถั่วกับนัท ความหมาย มันต่างกันยังไง คนละชนิดรึเปล่าคะ

ขอบพระคุณสำหรับคำตอบ
ด้วยความเคารพนับถือยิ่ง

…………………………………………………………….

ตอบครับ

1.. ถามว่ากินถั่วกินนัทแล้วมีลมในท้องแยะ จะแก้ไขอย่างไรดี ตอบว่า คนที่ไม่เคยกินถั่ว เมื่อเริ่มกินใหม่ๆจะรู้สึกแน่นท้องและมีลมในท้องแยะ ทั้งนี้เป็นเพราะในถั่วมีโลเลกุลแป้งชนิดหนึ่งซึ่งเรียกง่ายๆว่าแป้งย่อยยาก เช่นโอลิโกแซคคาไรด์ (oligosaccharide) ซึ่งร่างกายมนุษย์ไม่มีเอ็นไซม์ที่จะย่อยมันได้ ต้องอาศัยจุลินทรีย์ในลำไส้เป็นผู้ย่อยให้ แต่คนที่ไม่ค่อยได้กินถั่ว จุลินทรีย์ที่จะย่อยแป้งย่อยยากก็มีน้อย หากกินถั่วเข้าไปพรวดพราดถั่วที่ย่อยไม่ทันก็จะค้างอยู่ในท้องทำให้แน่นท้อง วิธีแก้คือการจะเริ่มหันมากินถั่วกินนัทต้องค่อยๆฝึกกินไปทีละนิดแล้วค่อยๆเพิ่มจำนวนขึ้น ใช้เวลาฝึกนาน 3-6 เดือนจึงจะเกิดจุลินทรีย์ในลำไส้มากและหลากหลายพอที่จะย่อยถั่วย่อยนัทได้อย่างสบายๆ

นอกจากการฝึกกินแล้ว ยังต้องคำนึงถึงปัจจัยอื่นที่ทำให้ลมค้างอยู่ในระบบกระเพาะอาหารและลำไส้ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งลมที่เรากลืนเข้าไป จะไม่ไปไหน ถ้าไม่ขังอยู่ในกระเพาะอาหารก็ลงไปอยู่ในลำไส้ กลไกการกลืนลมมักเกิดจากหลายสาเหตุ ต้องแก้ไขไปให้หมดทุกสาเหตุด้วย เช่น

  • เวลาเคี้ยวหมากฝรั่งเราจะกลืนน้ำลายบ่อยซึ่งแต่ละครั้งก็กลืนลมเข้าไปด้วย จึงควรเลิกนิสัยเคี้ยวหมากฝรั่งจั๊บ จั๊บ จั๊บ เสีย
  • การใช้หลอดดูดดูดดื่มเครื่องดื่มเย็นๆทั้งหลาย ทุกครั้งที่เราดูด เราก็จะดูดลมที่ค้างอยู่ในหลอดเข้าไปก่อน ยิ่งดูดไปคำหนึ่งสลับกับคุยกันไปสองสามคำ ก็ยิ่งได้ลมเข้าไปมากกว่าจะดูดหมดแก้ว
  • การกินอาหารแบบกินเร็ว กลืนเร็ว กลืนคำโตๆ แบบที่คนแก่สมัยก่อนเรียกว่า “สวาปาม” การกลืนแต่ละครั้งจะได้ลมเข้าไปมากกว่าการเคี้ยวอาหารจนเป็นสภาพกึ่งเหลวแล้วค่อยๆบรรจงกลืนเป็นคำเล็กๆ
  • ถ้าเราท้องผูก ลมที่เข้าไปแล้วจะออกไปข้างล่างลำบากเพราะมีอุจจาระขวางอยู่ ก็จะทำให้ลมค้างรอที่จะกลับออกมาข้างบนด้วยการเรออย่างเดียว
  • ถ้าเราไม่ได้เคลื่อนไหวร่างกายหรือออกกำลังกายให้มากพอ กลไกการรีดตัวเองของลำไส้ (peristalsis) จะไม่มีประสิทธิภาพเพราะกระเพาะลำไส้มันอยู่นิ่งไม่่มีการเขย่า รีดเท่าไหร่ลมก็ไม่ไปไหน จะลงล่างก็ไม่ลง จะขึ้นบนก็ไม่ขึ้น
  • ถ้าเรากินอาหารไขมันมาก งานวิจัยพบว่าจะทำให้ท้องอืดมาก เพราะอาหารไขมันมีสิทธิพิเศษสามารถสั่งการผ่านฮอร์โมน cholecystokinin ให้กระเพาะลำไส้ชลอการเคลื่อนไหวลง
  • ถ้าเราเผลอไปทำลายปริมาณและความหลากหลายของจุลินทรีย์ในลำไส้ของเราเอง ด้วยการกินยาปฏิชีวนะมากๆนานๆ หรือกินอาหารบรรจุเสร็จที่ใช้วิธีทางอุตสาหกรรมในการผลิตมาก (ultra-processed food) ซึ่งมักมีสารกันบูด (preservatives) สารแต่งสี่แต่งรสแต่งกลิ่น (additivies) และสารทดแทนความหวาน (sugar substitutes) สารพวกนี้ทั้งหมดพบว่าจะไปลดปริมาณและความหลากหลายของจุลินทรีย์ในลำไส้ลง ก็เท่ากับว่าเราไปทำให้อาหารกากที่เรากินเข้าไปย่อยยากขึ้น ท้องก็จะแน่นขึ้นคนที่แน่นท้องด้วยเหตุจุลินนทรีย์ลดปริมาณและเสียความหลากหลายไปแล้วนี้ บางครั้งการแก้ปัญหาต้องถึงกับหยุดกินเนื้อสัตว์อย่างสิ้นเชิงกินแต่พืชล้วนๆไประยะหนึ่งเช่น 3-6 เดือน หรือไม่ก็ต้องเอาอุจจาระของคนอื่นมาปลูกถ่ายใส่ลำไส้ จึงจะฟื้นฟูปริมาณและความหลากหลายให้กลับมาได้

2,, ถามว่าถั่ว นัท ธัญญพืช ต่างกันอย่างไร ตอบว่าส่วนที่เหมือนกันคือมันเป็นเมล็ดพืช ซึ่งเป็นส่วนที่อุดมด้วยธาตุอาหารมากที่สุดของพืช เพราะมันเป็นที่เตรียมให้พืชรุ่นใหม่ที่จะงอกขึ้นใช้เป็นอาหาร ส่วนความแตกต่างกันนั้นอยู่ที่

  • ถั่ว เป็นเมล็ดของพืชสกุล leguminosae ซึ่งมีปมที่รากไว้เลี้ยงแบคทีเรียที่สามารถดึงไนโตรเจนจากอากาศทำให้ถั่วดูดไนโตรเจนขึ้นไปสร้างเป็นโมเลกุลโปรตีนได้ ถั่วจึงจัดเป็นอาหารอุดมโปรตีน แต่ขณะเดียวกันก็มีไขมันดี และแป้งชนิดย่อยยากซึ่งเป็นกากที่ร่างกายใช้ไม่ได้แต่แบคทีเรียใช้ได้อยู่มาก ถั่วจึงจัดเป็นอาหาร prebiotic ที่ช่วยเพิ่มจำนวนและความหลากหลายของแบคทีเรียในลำไส้ กลุ่มคนบางชาติพันธ์ยังมีวัฒนธรรมสร้างอาหารหมักขึ้นจากถั่วเช่น เทมเป้ ถั่วเหลือง เต้าหู เต้าเจี้ยว ถั่วเน่า เป็นการเอาถั่วมาสร้างสรรค์ให้เป็นอาหารที่มีตัวแบคทีเรียที่มีประโยชน์อยู่ในอาหารนั้นด้วย (probiotic)
  • นัท เป็นเมล็ดพืชขนาดโตที่มีเปลือกแข็ง เปลือกนั้นประกอบขึ้นจากเซลหิน (stone cell) ซึ่งต้องทุบให้แตกหรือแกะด้วยกำลังจึงจะกินเนื้อข้างในได้ เปลือกแข็งนี้ธรรมชาติออกแบบไว้คุ้มกันไขมันดีซึ่งประกอบเป็นส่วนใหญ่ของเนื้อในของนัท นัทจึงมีเอกลักษณ์ที่อุดมด้วยไขมันดี การมีไขมันช่วยให้วิตามินที่ละลายในไขมันถูกดูดซึมสู่ร่างกายได้ง่ายขึ้น แต่ท้้งๆที่เป็นอาหารไขมันสูงนัทยังนิยมใช้เป็นอาหารลดน้ำหนักด้วยเพราะนัทมีกากมากซึ่งช่วยชลอการดูดซึมไขมันเข้าสู่ร่างกายได้มาก สารอาหารส่วนอื่นในนัทมีความคล้ายคลึงกับถั่ว และถือว่าเป็นอาหาร prebiotic ที่ดีเช่นเดียวกับถั่ว
  • ธัญพืช เป็นเมล็ดพืชขนาดเล็กซึ่งมีความโดดเด่นที่เป็นแหล่งของแป้งและน้ำตาลซึ่งเป็นแหล่งพลังงานแบบใช้งานได้เร็ว ผิวของธัญพืชที่อยู่ชั้นถัดเข้าไปจากเปลือกเป็นส่วนที่อุดมด้วยกากและสารอาหารต่างๆเช่นวิตามิน แร่ธาตุ ทำให้ธัญพืชไม่ขัดสีเช่นข้างกล้อง ขนมปังโฮลวีต เป็นอาหารสุขภาพอย่างหนึ่งเพราะเป็นทั้งแหล่งพลังงานและอุดมด้วยกากซึ่งจำเป็นสำหรับแบคทีเรียในลำไส้ ขณะที่ธัญพืชขัดสีเช่นข้าวขาวหรือขนมปังขาวมีกากน้อยมีแป้งขัดขาวมากถูกจัดเป็นอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพเพราะหากกินมากจะมีความสัมพันธ์กับโรคเช่นโรคอ้วน โรคเบาหวาน ธัญพืชบางชนิดเช่น แฟล็กซีด คีนัวร์ มีสัดส่วนของโปรตีนสูงมากเป็นพิเศษ

กล่าวโดยสรุป ถั่ว นัท ธัญพืชไม่ขัดสี ล้วนเป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพ รูปแบบการกินอาหารของมนุษย์ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าดีต่อสุขภาพเช่นอาหารมังสวิรัติ อาหารเมดิเตอเรเนียน อาหารแด็ช (DASH diet) ล้วนมี ถั่ว นัท และธัญพืชไม่ขัดสีเป็นส่วนประกอบสำคัญ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

27 มกราคม 2566

ชีวิตเครียดเพราะถูกโกงจากการไปซื้อที่ดิน

(ภาพวันนี้: ดวงยิหวา)

กราบเรียนคุณหมอสันต์ที่เคารพยิ่ง
       คุณหมอคะดิฉันกับสามีเกษียณแล้ว  ตอนนี้ชีวิตมีเรื่องเครียดเพราะถูกโกงจากการไปซื้อที่ดินที่ปากช่อง ด้วยเงินที่เก็บหอมรอมริบมาเพื่อที่อยู่อาศัยสำหรับชีวิตหลังเกษียณ เวลานี้ยังอยู่ในขบวนการติดตามทวงถามตามขั้นตอนอยู่ค่ะ และคาดว่าคงจะลากกันยาวอีกนานไม่จบดีแน่แท้แล้ว
        ทุกๆวันดิฉันพยายามทบทวนคำสอนต่างๆของคุณหมอเพื่อให้ดับความเครียดลงบ้าง และปล่อยวางไปบ้าง  แต่ก็ดูแล้วว่าไม่ได้ง่ายเหมือนเรื่องที่เคยทำได้หลายๆเรื่อง จึงอยากรบกวนขอคาถาเด็ดจากคุณหมออีกสักเรื่องนึงนะคะ(ดิฉันกับสามียกให้คุณหมอเป็นปรมาจารย์แห่งชีวิตทั้งด้านกายและใจค่ะ)

กราบขอบพระคุณค่ะ

……………………………………………………………

ตอบครับ

1.. ถามว่าถูกเขาโกงเงินที่เก็บมาตลอดชีวิตไปหมด มีคาถาเด็ดจะช่วยได้ไหม ตอบว่าให้แยกเป็นสองส่วน ส่วนแรกคือการทำสิ่งที่พึงทำในทางโลก ก็คือการแต่งทนายฟ้อง จ้างตำรวจติดตาม อะไรทำนองนั้น ส่วนนั้นก็ต้องทำไป ส่วนนั้นเรียกว่าสถานะการณ์ในชีวิต ซึ่งคนเราก็ต้องตอบสนองไปตามครรลองของมัน ซึ่งผมเข้าใจว่าคุณก็กำลังทำอยู่แล้ว

ส่วนที่สองคือทำอย่างไรจึงจะไม่ทุกข์เมื่อเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้น คาถาเด็ดที่คุณถามถึงก็คือคำที่คุณพูดออกมาเองแล้วว่า “ปล่อยวาง” นั่นไง คุณก็รู้เองแล้วและพูดออกมาเองแล้ว แต่คุณทำไม่ได้ นั่นแหละเป็นประเด็น คือ รู้..แต่ทำไม่ได้

2. การจะปล่อยวางให้ได้ในชีวิตจริงมันมีสองระดับนะ คือระดับหลักคิดหรือคอนเซ็พท์ซึ่งเป็นเข็มทิศชี้นำ กับระดับลงมือปฏิบัติซึ่งเป็นเครื่องจักรพารถวิ่งไปตามเข็มทิศ ทั้งสองอันนี้ต้องไปทางเดียวกันมันจึงจะสำเร็จ

3.. ในระดับคอนเซ็พท์ ผมขอแยกออกเป็นสองชั้นนะ

ในระดับคอนเซ็พท์ตื้นๆ คือเราจะสนองตอบต่อสิ่งเร้าภายนอกที่เข้ามาหาเราอย่างไร ผมแชร์จากประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมาจนอายุเจ็ดสิบนะ ว่า.. การสนองตอบด้วยความเกลียดก็ดี ความแค้นก็ดี ความอิจฉาตาร้อนหรืออาฆาตมาดร้ายก็ดี ความอยากเอาชนะคะคานก็ดี ความเสียใจน้อยใจสงสารตัวเองที่เสียเปรียบหรือถูกเอาเปรียบก็ดี หรือแม้แต่ความกลัวก็ดี มันเป็นวิธีใช้ชีวิตที่ลำบากลำบนมาก คนเราเกิดมามันไม่มีเหตุผลเลยที่จะต้องไปลำบากลำบนกับชีวิตถึงขนาดนั้น ขณะที่การสนองตอบแบบให้อภัย เผื่อแผ่ความรักและเมตตาธรรม ยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิตแล้วว่ามันเกิดขึ้นแล้วอย่างเบิกบาน มันเป็นวิธีใช้ชีวิตที่ง่ายกว่ามาก แล้วสิ่งที่ผมเรียกว่าการสนองตอบหรือการใช้ชีวิตเนี่ย มันเกิดขึ้นที่เดี๋ยวนี้เท่านั้นนะ เดี๋ยวนี้ หรือลมหายใจนี้ คุณมีสิทธิ 100% ที่จะเลือกใช้ชีวิตอย่างไร คุณเลือกได้นะ จะเอาแบบลำบากลำบน หรือจะเอาแบบง่าย คุณเลือกเองได้

ในระดับคอนเซ็พท์ลึกๆ

ถ้าคุณเป็นชาวพุทธก็เอาตามที่พระพุทธเจ้าสอนไว้เลย ผมขออนุญาตถ่ายทอดคำสอนที่มีคนเอามาเขียนไว้ในพระไตรปิฎกนะ ว่ามันมีกลไกขับเคลื่อนสามกลไก คืออนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

อนิจจัง ก็คือทุกอย่างเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ความพยายามที่จะเอาหลักคิดหรือกฎเกณฑ์ใดๆไปครอบนั้นทำได้แค่ชั่วครั้งชั่วคราว นานไปมันก็ครอบไม่อยู่ เพราะมันมีธรรมชาติต้องเปลี่ยนของมันตลอดเวลา

ทุกขัง ก็คือเมื่อคุณพยายามไปตรึงสิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงไม่ให้เปลี่ยนแปลง หรือไปพยายามทำสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปแล้วให้กลับมาอยู่ที่เดิม มันอาจไม่สำเร็จ แล้วคุณก็จะเป็นทุกข์เปล่าๆ

อนัตตา ก็คือความเป็นบุคคลของเราซึ่งผลักดันให้เราอยากได้อย่างนั้นอย่างนี้นี้มันเป็นแค่เรื่องที่ใจเราสมมุติขึ้น ไม่ใช่ความจริงที่ถาวร แม้ร่างกายของเราก็ไม่ใช่ความจริงที่ถาวร ยิ่งความคิดหรือคอนเซ็พท์ที่ผู้คนพยายามยกเมฆขึ้นมาแล้วยึดถือร่วมกันเช่น กฎหมาย ความซื่อสัตย์ ความเป็นเจ้าของ โฉนดที่ดิน ความเป็นเจ้าหนี้ลูกหนี้ มันยิ่งไม่ถาวรใหญ่ หากคุณเผลอไปยึดถือ (attachment) ว่ามันเป็นสิ่งถาวร คุณก็เป็นทุกข์

อีกเรื่องหนึ่งที่พระพุทธเจ้าสอนไว้คือเรื่องกลไกการเกิดการดับของความคิด ในบทสวดที่ชื่อปฏิจจสมุปบาท ซึ่งมีสาระโดยย่อตามการตีความของผมเองว่า การที่เราใช้ชีวิตโดยสำคัญผิด (อวิชชา) ว่าความเป็นบุคคลของเราเป็นของจริง มันทำให้เกิดชุดของความคิดหรือคอนเซ็พท์ (สังขาร) ผูกโยงลำดับร้อยเรียงเป็นภาษาเป็นนิยาม เช่น เรื่องราว ชื่อ รูปร่าง (นามรูป) อยู่ในใจหรือในความจำของเรา เมื่อบวกกับธรรมชาติของชีวิตที่มีความตื่นและความสามารถรับรู้ (วิญญาณ) และมีกลไกอวัยวะรับรู้สิ่งเร้า (อายตนะ) ก็ทำให้ชีวิตเรากลายเป็นกลไกสนองตอบต่อสิ่งเร้าจากภายนอกได้แบบอัตโนมัติทันที กล่าวคือ

เมื่อมีสิ่งเร้าผ่านเข้ามาในรูปของ ภาพ เสียง กลิ่น รส สัมผัส และความคิด ทั้งสามองค์ประกอบที่มีอยู่แล้วข้างต้นก็จะทำงานร่วมกันโดยอัตโนมัติ ทำให้เกิด contact หรือการตกกระทบ (ผัสสะ) ของสิ่งเร้าลงไปบนตัวชีวิตหรือสิ่งที่เราเรียกว่าเป็น “ฉัน” ตัวนี้ แล้วถูกตีความหมายทันทีด้วยความเร็วระดับสายฟ้าแล่บว่าสิ่งนี้คืออะไร ชื่ออะไร รูปร่างอย่างไร มาดีหรือมาร้าย

ติดตามกันมาแทบจะทันที “ฉัน” ก็จะเกิดมี feeling หรือความรู้สึก (เวทนา) ขึ้นบนร่างกายและในใจ เกิดขึ้นบนร่างกายก็เป็นอาการทางร่างกาย เช่นใจสั่น หายใจฟืดฟาด มือเย็นเฉียบ เกิดขึ้นในใจก็เป็นความรู้สึกชอบไม่ชอบในใจ ความรู้สึกจะชักนำให้เกิดความอยาก (ตัณหา) กล่าวคือรู้สึกชอบก็อยากได้ รู้สึกไม่ชอบก็อยากหนี ความอยากนี้จะฟอร์มตัวเป็นชุดของความคิดประจำใจเราต่อเรื่องนั้นๆ (อุปาทาน) ซึ่งก็คือชุดของความคิดในแนวยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่คุณอยากได้อยากหนี เรื่องราวต่อจากนี้คุณก็คาดเดาได้แล้วว่าทุกข์ของคุณมันจะเกิดต่อเนื่องไปได้อย่างไรหากอุปาทานของคุณมันไม่ตรงกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ

การจะหลุดพ้นไปจากความคิดของคุณเองก็ต้องตัดตอนแก้ต้นทาง เพื่อไม่ให้ความคิดที่ปลายทางเกิดขึ้น หากไปแก้ถึงต้นรากของมันโน่นได้ยิ่งดี รากของมันก็คือความไม่รู้ว่าความเป็นบุคคลหรืออัตตาของเรานี้แท้จริงมันเป็นสิ่งที่เราสมมุติขึ้น หรือพูดง่ายๆว่าต้องไปทุบอัตตาทิ้ง วิธีทุบอัตตาทิ้งในทางปฏิบัติก็คือวางความคิดทั้งหลายที่อัตตาชงขึ้นมาลงไปให้หมด ซึ่งจะทำได้คุณต้องฝึกใช้เครื่องมือวางความคิด

อนึ่ง ในการใช้ประโยชน์จากคำสอนไม่ว่าของศาสนาใดคุณอย่าใช้เป็นเกณฑ์อ้างอิงหรือใช้เป็น reference เพราะคำสอนเป็นเพียงเรื่องเล่าสืบทอดกันมามันใช้เป็น reference ไม่ได้ดอกมีแต่จะทำให้เกิดการทะเลาะถกเถียงกันหรือทำสงครามกันเปล่าๆ ผมแนะนำให้คุณใช้คำสอนศาสนาเป็นเครื่องมือทดลองนำมาปฏิบัติ ดีก็เก็บไว้ ไม่ดีก็ทิ้งไป ดังนั้นหัวใจของการใช้คำสอนทางศาสนาคือการทดลองปฏิบัติตาม

4.. ในระดับลงมือปฏิบัติ คุณก็แยกสถานะการณ์ในชีวิตก็คือการที่ถูกเขาโกงออกจากการใช้ชีวิตซึ่งก็คือการหายใจเข้าออกทีละโมเมนต์ตรงนี้ แยกออกจากกันก่อน ส่วนสถานะการณ์ในชีวิตนั้นคุณก็ทำเท่าที่คนธรรมดาคนหนึ่งควรทำ แจ้งความตำรวจ แต่งทนายไปฟ้อง ส่วนนั้นก็ทำไป แต่ไม่โฟกัสตรงนั้น ให้หันมาโฟกัสที่การใช้ชีวิตในทีละโมเมนต์ มันถึงจะเริ่มต้นได้

เมื่อแยกสถานะการณ์ในชีวิตออกจากการใช้ชีวิตแล้ว คุณก็มาโฟกัสที่การใช้ชีวิต ซึ่งก็คือเดี๋ยวนี้ ลมหายใจนี้ ที่คุณกำลังหายใจเข้า กำลังหายใจออกอยู่นี่ ให้คุณลงมือใช้เครื่องมือวางความคิด ซึ่งผมเขียนไปแล้วบ่อยมาก บ่อยจนผมกลายเป็นมิสเตอร์ซ้ำซากไปแล้ว คุณไปหาอ่านเอาเองนะครับ มีเครื่องมือที่ผมพูดถึงบ่อยอยู่ 6-7 ชิ้น คือ ลมหายใจ (breathing) การผ่อนคลายร่างกาย (relaxation) การรับรู้ถึงพลังชีวิตบนร่างกาย (body scan) การสังเกตความคิด (observation) การจดจ่อสมาธิ (concentration) การกระตุ้นตัวเองให้ตื่น (alertness) เป็นต้น อ่านแล้วก็ทดลองเอามาใช้ที่เดี๋ยวนี้ ใช้ทุกขณะที่คุณตื่นอยู่ ถ้าคุณไม่เอามาฝึกใช้ เอาแต่อ่านบล็อกหมอสันต์ มันก็เหมือนคุณอ่านวิธีว่ายน้ำ อ่านให้ตายคุณก็ยังว่ายน้ำไม่ได้อยู่ดี

ตอนที่กำลังมีความคิดวกวนซ้ำซากเรื่องถูกเขาโกงนี่แหละเป็นเวลาที่เหมาะที่จะฝึกใช้เครื่องมือวางความคิดดีนัก เพราะความย้ำคิดที่คุณอยากจะวางลงมันกำลังวนเวียนอยู่ในหัวรอให้คุณวางมันอยู่แล้ว ให้ลงมือฝึกปฏิบัติตอนนี้เลย

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

26 มกราคม 2566

Sugar dip น้ำตาลในเลือดต่ำทั้งที่เพิ่งกินอาหารไปหยกๆ

(ภาพวันนี้: Gallery Hut กระท่อมวาดรูป)

เรียนคุณหมอสันต์

ดิฉันอายุ 61 เพิ่งเกษียณมา แต่ยังไปทำงานช่วยเขาในที่ทำงานใหม่สัปดาห์ละ 4 วัน ต้องขับรถไปเอง ไปกินมื้อเช้าแบบกาแฟหรือช็อกโกแลตร้อนกับคุ้กกี้ที่ที่ทำงานเพื่อให้ทันทำงาน 9.00 น. ตั้งแต่เกษียณมานี้ดิฉันมีอาการป่วยคือพอประมาณ 10 โมงเช้ามักจะมีอาการ คือไม่สบายเหมือนหิวข้าวใจสั่น หงุดหงิด ปวดหัว จดจ่อสมาธิไม่ได้เลย มีอยู่วันหนึ่งถึงกับเหงื่อแตกจะเป็นลมเอา น้องๆไปหาน้ำหวานเย็นๆมาให้ดูดจึงค่อยยังชั่ว บางวันเพลียไปทั้งวัน ถามใครๆก็บอกว่าเป็นน้ำตาลในเลือดต่ำ ดิฉันจึงต้องคอยพกลูกอมหวานๆไว้ในกระเป๋าเพราะกลัวเป็นลมหมดสติ ไปเจาะเลือดตรวจหมอก็ไม่พบอะไรผิดปกติ แม้ตั้งใจกินมื้อเช้ามากเป็นพิเศษก็ยังเป็น ผลเลือดน้ำตาลก็ปกติดีไม่ต่ำไม่สูง ดิฉันส่งผลเลือดมาด้วย ครอบครัวดิฉันไม่มีใครเป็นเบาหวาน

อยากปรึกษาคุณหมอว่าดิฉันเป็นโรคอะไร ควรไปตรวจอะไรเพิ่มเติมนอกจากตรวจเลือดดูน้ำตาลดูไขมันทั่วๆไปแล้ว ดิฉันเครียดจากงานใหม่หรือเปล่า ควรจะเลิกทำงานไปเสียเลยดีไหม ความจริงก็ไม่มีความจำเป็นอะไรทางการเงินแต่ทำเพราะกลัวอยู่บ้านแล้วเหงา

ขอบพระคุณค่ะ

…………………………………………………………………………….

ตอบครับ

อาการที่คุณเป็นนี้เขาเรียกว่า sugar dip หรือบางทีก็เรียกว่า sugar crash ภาษไทยก็คือน้ำตาลในเลือดต่ำนั่นแหละ ตรงไปตรงมา แปลว่าหลังการกินอาหารให้พลังงานสูงชนิดที่ดูดซึมได้เร็ว เช่นน้ำตาล ขนม น้ำหวาน ไอศครีม หรือธัญพืชขัดสีเช่นพิซซ่า พาสต้า แล้วหลังจากนั้นไม่นานก็มีอาการพลังงานหมด หิว หงุดหงิด สั่น เปลี้ยล้า ไม่สบาย กังวล ปวดหัว จดจ่อสมาธิไม่ได้ เหงื่อแตก วิงเวียน ชนิดที่อาจทำให้วันนั้นทั้งวันเสียไปเลยไม่อยากทำอะไรอีก

งานวิจัยหนึ่งชื่อ PREDICT ได้ทำวิจัยคนไข้แบบนี้ด้วยการติดเครื่องวัดระดับน้ำตาลในเลือดแบบต่อเนื่อง (CGM) พบว่านอกจาก sugar dip จะทำให้คุณภาพชีวิตในวันนั้นเสียไปแล้วยังสัมพันธ์กับการกินอาหารในมื้อถัดไปเร็วขึ้นและกินมากเกินความต้องการของร่างกายยิ่งขึ้น ซึ่งจะส่งผลต่อไปถึงทำให้เป็นโรคอ้วน โรคเบาหวาน และโรคไขมันในเลือดสูงได้ง่ายขึ้น

กลไกการเกิด sugar dip

งานวิจัยกลไกการเกิดน้ำตาลในเลือดต่ำหลังกินอาหารพบว่าเกิดจากอาหารที่กินเป็นอาหารชนิดที่น้ำตาลในอาหารถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายอย่างเร็วในปริมาณมากๆ โดยไม่มีกากหรือเส้นใยเป็นตัวชลอการดูดซึม ไม่มีไขมันเป็นตัวชลอการเคลื่อนไหวของกระเพาะอาหารและลำไส้ เมื่อระดับน้ำตาลในเลือดขึ้นสูงในทันที ตับอ่อนจะหลังฮอร์โมนอินสุลินออกมามากๆในทันที ทำให้น้ำตาลในเลือดถูกอินสุลินนำเข้าเซลอย่างรวดเร็วจนน้ำตาลในเลือดลดระดับลงจนทำให้เกิดอาการน้ำตาลในเลือดต่ำได้

วิธีป้องกัน sugar dip

ตัวปัญหาคืออาหารมื้อที่กินก่อนจะเกิดอาการ sugar dip มักจะเป็นอาหารกากน้อย มีน้ำตาลหรือแป้งขัดสีมาก การแก้ไขต้องเปลี่ยนอาหารมื้อนั้นให้เป็นอาหารที่มีความหลากหลาย มีส่วนประกอบของพืชที่มีกากอยู่ด้วย เช่นหากกินแป้งหรือธัญพืชก็ควรเป็นชนิดไม่ขัดสี กรณีของคุณนี้สิ่งที่ต้องเปลี่ยนก็ตั้งแต่สิ่งที่คุณดื่มในมื้อเช้า อย่างเช่นช็อกโกแลตร้อนเนี่ยคุณทราบไหมว่ามีน้ำตาลอยู่ 60% ของน้ำหนักรวม กาแฟก็เปลี่ยนเป็นไม่ใส่น้ำตาล คุ้กกี้ก็ควรเปลี่ยนเป็นผลไม้หรือนัทแทน หรือใช้คุ้กกี้ที่ทำจากถั่วงานัทและแป้งโฮลวีต 100% หากเพิ่มสลัดเล็กๆสักหนึ่งจานนอกเหนือไปจากกาแฟคุ้กกี้ก็จะดีไม่น้อย เพราะกากเส้นใยจะเป็นตัวชลอการดูดซึมน้ำตาลเข้าสู่ร่างกายให้ช้าลงและมีผลบำบัดอาการ sugar dip ได้โดยตรง กรณีชอบกินแป้งมากก็ควรเป็นแป้งชนิดไม่ขัดสี เช่นข้าวกล้องแทนข้าวขาว ขนมปังโฮลวีต 100% แทนขนมปังขาว เป็นต้น ควรกินให้หลากหลาย หมายความว่าอย่าไปกินอาหารแบบจู้จี้และเลือกกินแต่ของเดิมซ้ำๆซากๆ โน่นไม่กิน นี่ไม่กิน ทำให้เหลืออาหารที่กินได้อยู่ไม่กี่ชนิด ถ้าจะกินน้ำตาลบ้างก็ควรกินควบกับอาหารอื่นๆที่หลากหลายและมีกากมาก คำว่าน้ำตาลนี้รวมถึงเครื่องดื่มใส่น้ำตาลทุกชนิด น้ำผลไม้ทิ้งกาก ไอศครีม คุ้กกี้แป้งขัดขาว และขนมหวานต่างๆด้วย

วิธีบำบัดอาการ sugar dip

ในระยะสั้น อย่าหวังพึ่งแต่เทคนิคพกลูกอมหวานๆกินบรรเทาอาการ เพราะนั่นเป็นการบำบัดอาการเฉพาะหน้าแบบที่จะยิ่งทำให้ติดนิสัยกินน้ำตาลหรือเสพย์ติดรสหวานมากขึ้น ซึ่งจะทำให้เกิด sugar dip บ่อยมากยิ่งขึ้น ผมแนะนำว่าอาหารที่เลือกมาบรรเทาอาการเฉพาะหน้าควรเป็นอาหารอะไรก็ได้ที่ให้แคลอรี่ได้ เช่น ผลไม้ต่างๆ กล้วย องุ่น สับประรด ถั่ว นัท ก็ล้วนใช้ได้ทั้งนั้น ถ้าเคี้ยวลำบากก็ดื่มน้ำผลไม้ปั่นแบบไม่ทิ้งกากแก้ขัดก็ได้

ในระยะยาว ควรมุ่งเปลี่ยนอาหารมื้อหลักที่กินอยู่ประจำซ้ำซากไปเป็นอาหารที่หลากหลายยิ่งขึ้น เพราะการเกิดน้ำตาลในเลือดต่ำหลังมื้ออาหารแสดงว่าอาหารในมื้อนั้นขาดความหลากหลาย มีน้ำตาลหรือแป้งไม่ขัดสีเป็นสัดส่วนที่มากเกินไปโดยที่ไม่มีกากมาช่วยชลอการดูดซึมน้ำตาลมากพอ ถ้าเป็นคนชอบกินอาหารฟาสต์ฟู้ดซึ่งมักมีแต่แป้งขัดขาวก็ควรเพิ่มการกินพืชผักผลไม้ถั่วนัทเช่นในรูปของสลัดเพื่อให้ได้กากมากขึ้น เพราะกากที่มากเพียงพอจะชลอการดูดซึมน้ำตาลเข้าสู่ร่างกายไม่ให้เร็วเกินไป ถ้าเป็นคนที่กินอาหารแบบมังสวิรัติหรือวีแกน ก็ควรกิน ถั่ว งา นัท อะโวกาโด ควบคู่ไปในมื้ออาหารด้วยเพื่อให้มีไขมันช่วยชลอการบีบตัวของกระเพาะและลำไส้อันจะทำให้น้ำตาลถูกดูดซึมเข้าลำไส้ได้ช้าลง

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม

  1. Sarah Berry, Patrick Wyatt, Paul Franks, John Blundell, Ruairi O’Driscoll, Jonathan Wolf, George Hadjigeorgiou, David Drew, Andrew Chan, Tim Spector, Ana Valdes, Effect of Postprandial Glucose Dips on Hunger and Energy Intake in 1102 Subjects in US and UK: The PREDICT 1 Study, Current Developments in Nutrition, Volume 4, Issue Supplement_2, June 2020, Page 1611, https://doi.org/10.1093/cdn/nzaa063_009

[อ่านต่อ...]

25 มกราคม 2566

หมอสันต์พาฝึกสมาธิแบบตามดูลมหายใจ สำหรับผู้มีประสบการณ์มามากพอควรแล้ว

(ภาพวันนี้: พยอม หอมไกล ออกดอกแล้ว)

นพ. สันต์สอนสมาชิกแค้มป์ฝึกสมาธิแบบตามดูลมหายใจ สำหรับผู้มีประสบการณ์มามากพอควรแล้ว

คุณจะนั่งยังไงก็ได้นะ ขอแค่ให้หลังตรงไว้

หลับตาหรือลืมตาก็ได้ เอาตามถนัด

วิธีที่เราจะทำกันต่อไปนี้ผมเรียกง่ายๆว่า breathing meditation มันใช้หลายเทคนิคผสมปนเปกันไป คนนั้นแนะนำอย่างนี้ คนนี้แนะนำอย่างนั้น ผมก็จับมาทดลองทำเองดูหมด ที่ไม่เข้าท่าก็ทิ้งไป ที่เข้าท่าก็เก็บไว้ใช้ต่อ คุณอย่าไปใส่ใจเลยว่าตรงไหนเป็นของใครสอนไว้ ผมแค่อยากจะให้คุณรู้จัก meditation อย่างที่ประสบการณ์ของผมเคยรู้จัก คือเป็นแค่การแชร์ประสบการณ์ของคนคนเดียวเท่านั้น

เราจะเริ่มต้นด้วยการให้ความสนใจลมหายใจ รู้ตัวว่าเรากำลังนั่งอยู่ที่นี่ กำลังหายใจเข้า กำลังหายใจออก แค่ตามมันไป มันยาวก็ตามมันไป มันสั้นก็ตามมันไป ถ้ามีความคิดก็อย่าไปสนใจ หันหลังให้ สนใจแต่ลมหายใจ

เมื่อเราหายใจเข้าไปจนเต็ม ลองขังลมไว้ในตัวสักพักแล้วจึงค่อยปล่อยให้หายใจออก ขณะเดียวกันก็สนใจความรู้สึก (feeling) ที่ลมหรือพลังงานในตัวมันแผ่สร้านซู่ซ่าหรือสั่นสะเทือนเล็กๆจากกลางลำตัวไปสู่ทุกรูขุมขน จะใช้จินตนภาพช่วยนิดหน่อยก็ได้ในช่วงแรก ว่าเราหายใจเข้าเอาลมและพลังชีวิตเข้ามา กลั้นไว้สักพักขังลมและพลังนี้ไว้ในตัว แล้วปล่อยลมหายใจออก พร้อมกับรับรู้ว่าลมและพลังชีวิตมันสั่นสะเทือนแผ่สร้างซู่ซ่าทั่วร่างกายผ่านทุกรูขุมขนออกไป การรับรู้พลังชีวิตที่แผ่สร้านไปทัวตัวอย่างนี้ฝรั่งเรียกว่า body scan มันเป็นลูกเล่นเสริมอย่างหนึ่งที่ช่วยให้เรากีดกันไม่ให้ความคิดเข้ามารบกวนได้ง่ายขึ้น

ขณะเดียวกันให้ผ่อนคลายร่างกายไปด้วย ร่างกายนี้เราสั่งได้ สั่งให้มันผ่อนคลายได้ ผ่อนคลายใบหน้า ยิ้มนิดๆที่มุมปาก ยิ้มแบบพระพุทธรูปในโบสถ์ ผ่อนคลายคอ บ่า ไหล่ ผ่อนคลายลำตัว แขน ขา ผสานการผ่อนคลายร่างกายเข้ากับการรับรู้พลังชีวิตและการหายใจเข้าออก ผสานให้เป็นเนื้อเดียวกันไปพร้อมๆกันแบบ “สามผสาน” หากทำสามผสานได้สำเร็จ เมื่อใดก็ตามที่เราตามดูลมหายใจ เราจะรู้สึกสบาย สบายกาย สบายใจ

ถ้าความคิดมันตอแยคุณมาก ให้คุณแอบสังเกตดูความคิด แอบดูเหมือนเวลาคุณทำครัวแล้วทิ้งลูกน้อยให้นั่งเล่นอยู่บนพื้น นานๆคุณก็แอบมองดูลูกทีหนึ่งว่าลูกยังอยู่ดีหรือเปล่า ดูแว้บเดียวแล้วก็หันมาทำครัวหั่นหอมหั่นกระเทียมของคุณต่อไปใหม่ ฉันใดก็ฉันนั้น คุณอยู่กับลมหายใจ นานๆแว้บดูความคิดนิดหนึ่ง เมื่อตะกี้คิดอะไรอยู่ จับแต่หัวเรื่องแล้วก็รีบกลับมาอยู่กับลมหายใจ ทำแบบนี้นานๆครั้ง ก็จะลดความใจลอยขณะนั่งสมาธิลงไปได้ เพราะความคิดมีธรรมชาติจะฝ่อหายไปหากมันถูกเราแอบดูมัน

ตามดูลมหายใจ รับรู้พลังชีวิตที่แผ่สร้างไปทั่วตัวไปในแต่ละรอบลมหายใจ รับรู้ความผ่อนคลาย สบายกาย แล้วความสงบจะเกิดขึ้น ความคิดจะค่อยๆลดลง จนไม่มีความคิดเหลือ ลมหายใจจะปรากฎเด่นชัดขึ้นเพราะมันเป็นสิ่งเดียวที่เหลือโดดเด่นอยู่ในความรับรู้ของเราตอนนี้

เมื่อความคิดหมดก็จะง่วง ใครที่ง่วงก็ช่างมัน ง่วงไป นั่งโงกไป หลับไป ไม่เป็นไร เมื่อความรู้ตัวชัดขึ้น ความง่วงมันจะแผ่วหรือหมดพลังไปเอง

ในที่สุดเราจะมาถึงจุดที่สงบนิ่ง ดำมืด ว่างเปล่า มีแต่ความรู้ตัวอยู่ ต่อไปจะมีความสว่างเล็กๆปรากฎขึ้น ร่างกายยังปรากฎให้รับรู้ได้อยู่ ความสนใจยังเกาะอยู่กับลมหายใจซึ่งแผ่วเบา กายสงบ จิตสงบ ช่วงนี้อาจมีอาการแปลกๆจากระบบประสาทอัตโนมัติออกอาการเพี้ยนๆเพราะมันเองก็ต้องปรับตัวกับดุลยภาพใหม่เมื่อไม่มีความคิด ดังนั้นอาจมีอาการน้ำลายไหล น้ำตาไหล ขนลุก ให้รับรู้อาการเพี้ยนๆเหล่านี้แบบรับรู้เฉยๆ แล้วเราก็จะได้อยู่ในความนิ่งที่ไม่มีอะไรเลยนอกจากความตื่นและรู้ตัวอยู่

จากจุดนี้หากเราเจาะจงใส่ใจจดจ่อรับรู้ (selectively focus) ความว่างเปล่านี้ให้ลึกละเอียดลงไป ลึกละเอียดลงไป ท้ายที่สุดจะเหลืออยู่แต่ความรู้ตัวอย่างเดียวในรูปของความสว่างไสว ลมหายใจอาจหายไป ร่างกายอาจหายไป ณ จุดนี้อย่าไปแตกตื่น ให้สงบนิ่งไว้ เกิดอะไรขึ้นก็แค่รับรู้ ตรงนี้แหละคือสมาธิ ไม่มีความคิดใดๆ ความรู้ตัวที่ดำรงอยู่ได้แม้ไม่มีร่างกายก็รู้เห็นทุกอย่างได้นี้ มันก็เหมือนกับเราเป็นคนใบ้นั่นแหละ แค่พูดและทำอะไรไม่ได้ แต่ยังบันทึกรับรู้สิ่งที่รู้เห็นได้ คุณจะแช่อยู่ในสมาธิตรงนี้นานเท่าใดก็ได้เท่าที่คุณพอใจ เพราะยิ่งฝึกอยู่ตรงนี้ได้นานก็ยิ่งมีพลังสมาธิกล้าแข็ง การจะธำรงรักษาสมาธินี้ให้อยู่ได้ก็ด้วยวิธีจดจ่อ จดจ่อ จดจ่อ แต่ว่าจดจ่อแบบสบายๆ selectively focus ไม่เพ่ง หรือไม่เคร่งเครียด ยิ่งอยู่ในสมาธินาน สมาธิก็จะยิ่งมีพลังซึ่งแสดงออกต่อเราได้หลายรูปแบบ รูปแบบของพลังงานที่เราจะได้ประโยชน์มากเมื่อเข้าถึงสมาธิแล้วก็คือ “ปัญญาญาณ”

เมื่ออยู่ในสมาธิเป็นแล้ว จะอยู่นานเท่าไหร่ก็อยู่ได้แล้ว จะเข้าจะออกเมื่อใดก็เข้าออกได้แล้ว ขั้นต่อไปผมแนะนำให้ฝึกถอยออกมาจากการจดจ่อสมาธิ แต่เป็นการถอยอย่างมีชั้นเชิงเพื่อเปิดให้ความคิดเกิดขึ้น ที่ว่าถอยอย่างมีชั้นเชิงคือเลิกจดจ่อไปเสียก่อน เลิก selectively focus แต่ว่าให้ทำตัวเป็น “อีแอบ” คือยังแอบรับรู้ลมหายใจ แอบรับรู้ความเคลื่อนไหวของพลังชีวิต แอบรับรู้ความผ่อนคลายของร่างกายเป็นระยะๆ และที่สำคัญ..แอบสังเกตดูความคิด มีความคิดเกิดขึ้น รับรู้ ปล่อยมันไปไม่สนใจ มีความคิดเกิดขึ้น รับรู้ ปล่อยมันไปไม่สนใจ โดยช่วงที่รับรู้ความคิดอาจจะค่อยๆยาวขึ้นๆ จนกลายเป็นการเฝ้าดูการสลายตัวของความคิด หากมันยังไม่สลาย หากมันยังอยู่ ก็เฝ้าดูมันไปแบบดูเฉยๆ ไม่เข้าไปยุ่งหรือตอแยด้วย

ความคิดที่เกิดขึ้นในช่วงกำลังถอยอย่างมีชั้นเชิงนี้ อาจมีทั้งความคิด “ขี้หมา” ซึ่งรบกวนเราเป็นประจำ แต่ก็อาจมีความคิดที่ไม่เคยเกิด ซึ่งผมเรียกง่ายๆว่าเป็น”ปัญญาญาณ” รูปแบบของการเกิดความคิดในช่วงนี้ก็จะมีทั้งที่เป็นเรื่องราวในใจ เป็นภาพนิ่ง เป็นเสียง หรือเป็นภาพยนตร์ฉายให้ดู ให้คุณปักหลักเป็นอีแอบ แอบดูความคิดเหล่านั้นแบบนิ่งๆ แอบดูเฉยๆ ถ้าภาพยนตร์นั้นตื่นเต้นเร้าใจมากจนแทบจะอดใจเข้าไปร่วมเล่นด้วยไม่ไหว หรือบางทีก็ปรากฎเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือคนที่ศักดิ์สิทธิ์เหลือเกินจนน่าจะก้มลงกราบเท้า ให้นิ่งไว้ ให้ท่องคาถาไว้ ว่า

“มันเป็นแค่ความคิด มันเป็นแค่ความคิด”

หรือจะให้หนักแน่นกว่านั้นก็

มันเป็นแค่ประสาทหลอน มันเป็นแค่ประสาทหลอน”

ท้ายที่สุดความคิดเหล่านั้นเมื่อเกิดขึ้นมาแล้ว ก็จะจบด้วยการดับหายไปเอง เพราะการนั่งมองความคิดแบบอีแอบนี้ความคิดมันจะแค่เกิดดับ เกิดดับ ให้เราเห็น ตราบใดที่เรายังทำตัวเป็นผู้ชมที่ดี ไม่เข้าไปแจมด้วยจนเกินงาม ไม่ว่าสิ่งที่นำเสนอจะเป็นเรื่องของเราเองหรือเป็นเรื่องของชาวบ้าน เราก็จะมีแต่ได้กับได้ไม่มีเสีย แต่ถ้าเราเผลอเข้าไปแจมด้วยจนเกินงาม เราอาจจะกลายเป็นร่างทรงมนุษย์ต่างดาวไปเสียฉิบ หรือหนักกว่านั้นคือ..เป็นบ้า

พูดถึงประสาทหลอน เมื่อสมาธิไปถึงจุดที่นิ่งมากจนร่างกายหายไป อาจจะมีประสบการณ์อีกแบบหนึ่งเกิดขึ้น คือความรู้ตัวของเราออกมาอยู่นอกร่างกาย มองกลับไปเห็นร่างกายตนเองจากข้างนอก แถมเห็นแบบไม่อินังขังขอบไม่อาลัยอาวรณ์เหมือนในความฝันแต่ยังรู้ตัวชัดเจนอยู่ แล้วตอนที่ความรู้ตัวจะกลับเข้ามาอยู่กับร่างกายนี้อีกครั้งอาจจะเกิดความรู้สึกทางร่างกายขึ้นอย่างรุนแรงเช่นเกิดความซู่ซ่าทั่วร่างกาย ให้ตั้งสติให้ดี อย่าตกใจ ให้ท่องไว้ว่า

“มันเป็นแค่ประสาทหลอน มันเป็นแค่ประสาทหลอน”

ที่ผมจงใจให้ถอยจากสมาธิหรือเปิดให้ความคิดเกิดขึ้นหลังจากมีสมาธิดีแล้วนี้ ก็เพื่อเปิดรับ “ปัญญาญาณ (intuition)” ให้มีโอกาสโผล่ขึ้นมาสอนแสดงแง่มุมลึกซึ้งของปัญหาชีวิตซึ่งเราไม่มีปัญญาขบให้แตกได้เองในภาวะตื่นอยู่ตามปกติ เพราะความคิดของเรามันกำกับโดยอีโก้หรืออัตตาซึ่งเป็นตัวกันท่าไม่ให้เรารู้เห็นอะไรพ้นไปจากที่มันอยากให้เรารู้อยากให้เราเห็น เราต้องคอยทดลองหยิบทดลองเลือกสิ่งที่เราเข้าใจว่าเป็นปัญญาญาณ เพราะเราไม่อาจรู้ได้ว่าอันใดเป็นความคิดขี้หมา อันใดเป็นปัญญาญาณของจริง ดังนั้นใหม่ๆเป็นธรรมดาที่เราจะไม่มั่นใจที่จะเลือกจะหยิบ แต่นานๆไปก็จะมั่นใจ เพราะปัญญาญาณมีเอกลักษณ์ว่าจะโผล่มานำเสนอในประเด็นที่เราอยากรู้อย่างแท้จริงพอดี ในยามที่เราต้องการอย่างยิ่งพอดี และปัญญาญาณมักมาพร้อมกับความรู้สึกถึงพลังชีวิตที่เพิ่มขึ้นมากกว่าปกติ ซึ่งการสังเกตซ้ำซากก็จะจับสัญญาณนี้ได้ง่ายขึ้น

กล่าวโดยสรุป บนเส้นทางนี้ในภาพใหญ่มันมีสามขั้น

ขั้นที่ 1. เราเริ่มด้วยการหันเหความสนใจออกจากความคิดซึ่งถูกชงขึ้นมาโดยความยึดมั่นถือมั่นในอัตตาที่มักจะพาเราเป็นทุกข์เหมือนเราเล่นหนังอยู่แต่ไม่รู้ว่ามันเป็นแค่หนังจึงเผลอเอาเป็นเอาตายกับมันมากเกินไป เราหันเหเอาความสนใจมาอยู่กับลมหายใจแทน

ขั้นที่ 2. เรามุ่งมาจดจ่อกับลมหายใจจนสงัดจากความคิด เกิดสมาธิ แล้วท้ายที่สุด

ขั้นที่ 3. เราก็กลับมายกเลิกการจดจ่อสมาธิเพื่อเปิดให้ความคิดเกิดขึ้นอีก โดยที่ความคิดในรอบหลังนี้เป็นความคิดแบบใหม่ที่แม้จะโผล่ขึ้นมาอย่างพร่างพรูแบบภาพยนตร์แต่เราก็เป็นแค่คนนั่งดูหนังไม่ใช่ผู้เล่นอีกต่อไปแล้ว ซึ่งหากเราดูให้เป็นไม่เผลอกลับเข้าไปเล่นด้วย ภาพยนตร์จะชี้นำเราให้เกิดปัญญาชี้นำให้เราหลุดพ้นจากความยึดมั่นถือมั่นในอัตตาของเราเองได้ในที่สุด

ทั้งนี้อย่าลืมว่าอิสระภาพ หรือการหลุดพ้นจากกรงของความคิดที่ชงขึ้นมาโดยสำนึกว่าเป็นบุคคลหรืออัตตาของเราเองนี่แหละ ที่เป็นเป้าหมายปลายทางที่แท้จริงของการฝึกสมาธิ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

24 มกราคม 2566

ปรึกษาเรื่องความทุกข์จากการโดนนอกใจ

(ภาพวันนี้: โครงการเกษตรหลังตรง)

เรียน คุณหมอสันต์ ที่เคารพ

         ผมประสบความทุกข์ใจากภรรยาที่แต่งงานกันมา  20 ปี หมดใจและไปคบกับรุ่นน้องที่ทำงานที่อายุห่างกัน 16 ปี ผมได้ขอร้องให้เห็นแก่ลูกสาวทั้งสองคนที่ยังเรียนอยู่แค่ระดับมัธยมปลายและต้น
        หลังจากเขาคบกันได้ประมาณ 9 เดือน ผมเพิ่งจะทราบและขอร้องเขา ตอนนี้ผ่านมา 3 เดือน เธอขอหย่าผมแต่ผมยังขอร้องอยู่ เธอบอกว่าผมมีความสุขกับสถานะอย่างนี้เหรอ ผมขออนุญาตเรียนถามคุณหมอสันต์ดังนี้นะครับ

1.  ผมอยากทราบว่าผมตัดสินใจถูกหรือไม่ที่ขอยื้อเธอไว้ให้ได้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้  เพราะผมไม่อยากให้ลูกมีปม เพราะเด็กทั้ง 2 คน พื้นฐานเป็นคนไม่ค่อยสุงสิงกับภายนอก ผมกลัวเด็กๆจะรับไม่ไหว

2 . ผมต้องใช้ยานอนหลับเพื่อให้นอนได้ในช่วงแรก  ตอนนี้ผมคิดว่าโชคดีที่ได้เปิดเจอเพจคุณหมอสันต์  ได้มีโอกาสอ่านเรื่อง  spirituality และการทำ  meditation ซึ่งช่วยให้เอาหลักการมาฝึกปฏิบัติ เพื่อให้สามารถนอนหลับได้เองบ้าง  เลยมีคำถามในด้านนี้ว่าถ้าเราปล่อยวางและเข้าถึงความไม่ยึดตัวตนของเราแล้ว  เป้าหมายในการมีชีวิตอยู่ต่อของมนุษย์เราคืออะไรครับ  อะไรที่จะเป็นตัวผลักดันให้เรายังต้องทำงานภายใต้สภาวะสังคมที่มีการแข่งขันอย่างรุนแรงกันอยู่ครับ

           กราบขอบพระคุณคุณหมอสันต์เป็นอย่างสูง

ส่งจาก iPhone ของฉัน

………………………………………………………………..

ตอบครับ

1.. ถามว่าเมียขอหย่าแต่ตัวเองขอยื้อไว้เป็นการตัดสินใจถูกหรือผิด ตอบว่าเรื่องแบบนี้ไม่มีถูกไม่มีผิดครับ

ถ้าเป็นผู้ชายทั่วไปเมื่อเมียเสนอออกวีซ่าตลอดชีพให้อย่างนี้ก็ต้องรีบคว้ามับทันที หิ หิ

แต่คนที่ยึดมั่นอยู่กับคอนเซ็พท์ชั่วดีถี่ห่างอย่างคุณนี้ก็จะคิดห่วงลูกห่วงเต้าก่อนเรื่องอื่น

ดังนั้นเรื่องนี้ถูกผิดไม่มี คุณต้องตัดสินใจะเอาเอง ผมทำได้อย่างมากแค่แชร์ประสบการณ์ของชายแก่อายุเจ็ดสิบ ดังนี้

  • พังเพยโบราณมีว่าคนอยากแต่งงานหรืออยากจะหย่า พระอยากจะสึก อย่าไปขวาง เพราะยังไงก็ขวางไม่อยู่ ไม่เล็ดออกไปทางใดก็ต้องเล็ดออกไปทางหนึ่งจนได้ นั่นประการหนึ่ง
  • การหย่าร้างเป็นชีวิตจริงของคู่สมรสราว 53% ทั่วโลก พูดง่ายๆว่าสมัยนี้คู่สมรสที่จบลงด้วยการหย่าร้างจะกลายเป็นส่วนใหญ่ไปเสียแล้ว ดังนั้นคุณไม่ควรตื่นเต้ลล์ นั่นอีกประการหนึ่ง
  • การแต่งงานกัน ในแง่กฎหมายคือการมีเจตนาตรงกันของคนสองคน เมื่อเจตนาไม่ตรงกันเมื่อใด ว่ากันตามตัวบท สัญญาอันนั้นเป็นโมฆียะไปแล้วเรียบร้อย ขึ้นศาลไหนฝ่ายจะเลิกก็จะเป็นฝ่ายชนะทุกที นั่นอีกประการหนึ่ง ถึงคุณจะอ้างกับศาลว่าคุณเป็นคนดี แต่ศาลก็ไม่นับ เพราะการพิจารณาความละเมิดสัญญา จะพิจารณากันแต่ประเด็นเจตนาตรงกันหรือไม่ตรงกันเป็นหลัก ยิ่งไปกว่านั้น บางครั้งการเป็นคนดีกลับจะเป็นข้อให้อีกฝ่ายหนึ่งถือเป็นข้อชิงชังรังเกียจเสียอีก ตัวอย่างหนึ่งในชีวิตจริง สมัยผมเป็นแพทย์ฝึกหัด ผมลุ้นเพื่อนซึ่งเป็นพยาบาลห้องฉุกเฉินให้ญาติดีกับหมอรุ่นพี่ที่เขามาหลงรักเธอหัวปักหัวปำ เธอส่ายหน้าไม่เอาโดยอธิบายว่า

“..พี่เขาดีเกินไป”

ฮ่า ฮ่า ฮ่า ตะแล้น ตะแล้น ตะแล้น

2.. ถามว่าการเป็นห่วงลูกน้อยห้อยแข้งเป็นความห่วงใยโดยชอบไหม ตอบว่าชอบอย่างยิ่งครับ ตรงนี้ผมขอชมว่าคุณเป็นพ่อที่ดีมีความรับผิดชอบ แต่ผมให้ข้อมูลคุณเพิ่มเติมอีกนิดหนึ่งในฐานะคนแก่อาบน้ำร้อนมาก่อนในสองประเด็น

ประเด็นที่ 1. คุณไม่ต้องห่วงลูกสาวมากเกินไปว่าพวกเธอจะช็อค เพราะเด็กสมัยนี้เขาเรียนรู้ความจริงของชีวิตเร็วกว่าสมัยคุณเป็นเด็กแยะเพียงแต่พวกเธอไม่ได้เล่าให้คุณฟังเท่านั้น งานวิจัยชิ้นหนึ่งในเด็กหญิงไทยพบว่าโดยเฉลี่ยเมื่อขึ้นชั้น ม.2 เทอมที่ 2 พวกเธอก็เจนจบความลับผู้ใหญ่เขารู้และปกปิดกระมิดกระเมี้ยนกันหมดแล้ว การหย่าร้างของพ่อแม่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับพวกเธอ เพราะเพื่อนๆในชั้นก็เจอปัญหาแบบเดียวกัน

ประเด็นที่ 2. คุณควรจะเลิกเลี้ยงลูกแบบปกป้องลูกไม่ให้รับรู้ชีวิตจริงเสียที เพราะไม่ว่าต่อไปลูกจะไปอยู่กับ Solo Mum หรือ Solo Dad พวกเธอก็ต้องปรับตัวกับชีวิตจริงอยู่ดี ต้องหัดตักน้ำ ผ่าฟืน หุงข้าวต้มแกง ดังนั้นมีอะไรเกิดขึ้นในชีวิตคุณควรคุยกับลูกตรงๆ บอกลูกๆว่าชีวิตมาถึงจุดเปลี่ยน ต้องปรับตัว ขอแค่คุณบอกลูกๆว่าหัวใจของพ่อเปิดไว้สำหรับลูกๆเสมอ แค่นี้ลูกๆเขาจะรับความเปลี่ยนแปลงในชีวิตได้ดีกว่าที่คุณคิด

3.. ถามว่าหากเชื่อหมอสันต์ ปล่อยวางและเข้าถึงความไม่ยึดตัวตนแล้ว  เป้าหมายในการมีชีวิตอยู่ต่อคืออะไร ทำไมจะต้องทนทำงานภายใต้สภาวะสังคมที่มีการแข่งขันอย่างรุนแรงกันอยู่ ตอบว่าเป้าหมายของชีวิตมนุษย์ที่เกิดมาแล้วก็คือเพื่อใช้ชีวิตให้เต็มศักยภาพที่ตัวเองมี ซึ่งแน่นอนว่าเราจะทำได้ดีที่สุดเมื่อเราไม่หลงยึดถือหรือมุ่งปกป้องตัวตนของเรา ส่วนข้อที่ว่าคนเราต้องทนทำงานภายใต้การถูกบีบให้แข่งขันถูกกดดันนั้น คุณมองให้ดีนะ ใครกันนะที่ถูกบีบ ใครกันนะที่ถูกกดดัน ตัวตนของเรานั่นแหละที่รู้สึกว่าตัวเองถูกบีบถูกกดดันเพื่อปกป้องและเชิดชูตัวตนนี้ให้ปลอดภัยและสูงเด่น หากตัวตนไม่มี ก็ไม่มีใครถูกบีบ ไม่มีใครถูกกดดัน ชีวิตก็จะสามารถทำงานสร้างสรรค์ประโยชน์แก่ชีวิตอื่นและแก่โลกได้เต็มศักยภาพที่มี โดยที่มีความสุขด้วย

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

23 มกราคม 2566

ต่อมลูกหมากโตอย่าเพิ่งใจร้อนไปผ่าตัด ให้รอดูเทคโนโลยี..นึ่งต่อมลูกหมากด้วยไอน้ำร้อน

(ภาพวันนี้: สร้อยอินทนิลขาว เล้าไก่ และไก่ปลอม)

ผมขอปรึกษาคุณหมอเรื่องสุขภาพครับ

ผมอายุ 64 ปี นน.72 กก. สูง 172 ซม. ผมเป็นโรคความดันโลหิตสูง ตั้งแต่อายุ45ปี และเป็นโรคต่อมลูกหมากโตตั้งแต่อายุ 55ปี และเป็นโรคไวรัสตับบี(ติดจากมารดา)เริ่มรักษาอายุ 46 ปี ปัจจุบันมียาดังนี้ 1.coversyl arginine 10 mg. 1 เม็ด เช้า 2.xarator atorvastatin 10 mg  ครึ่งเม็ด ก่อนนอน 3.cardura doxazosin 4 mg. 1 เม็ด ก่อนนอน 4. baraclude (entecavir) 0.5 mg. 1 เม็ด ก่อนนอน
ผลเลือด  glucose(NaF)  102 mg/dl Hb A1C 5.8% BUN 12.5 mg/dl Creatinine 1.08 mg/dl eGFR(CKD-EPI equation) 72.66 Potassium(k+) 4.0 mmol/L Direct LDL-CHOL 74 mg/dl AST (SGOT) 26 u/L       ALT (SGPT) 30 U/L CPK 276 U/L Wbc count 4.03×10*3 /ul Total PSA Result 9.0 ng/ml

เมื่อ 4 เดือนก่อน ผมได้ตรวจสุขภาพ ได้พบเนื้องอกที่ต่อมไทรอยและเป็นมะเร็งระยะที่ 0 และได้ผ่าต่อมไทรอยออกไปครึ่งหนึ่ง ยังคงเหลืออีกครึ่งหนึ่งที่ก็มีเนื้องอกแต่ไม่เป็นมะเร็ง  โดยต้องติดตามทุก 6 เดือนโดยไม่ต้องกินยา  นอกจากนี้การตรวจสุขภาพครั้งนั้นยังเจอตาเป็นต้อหิน ชนิดมุมเปิด-ความดันตาปกติ (ntg) โดยมีความดันตา 14 มม.ปรอท และการสูญเสียของจอประมาณ 15 %
สิ่งที่จะปรึกษาคุณหมอคือ
(1.) ผมอ่านเจอบทความว่า โรค ntg มีความเสี่ยงเป็นโรคอัลไซเมอร์ถึง 50 % https://www.medscape.com/viewarticle/981976 ผมจะทำอย่างไรเพื่อไม่เป็นโรคอัลไซเมอร์ในอนาคต (2) ต่อมลูกหมาก ค่า psa สูง หมอให้ทำ mri แล้ว บอกว่าไม่เป็นมะเร็ง (ไม่ได้เจาะชิ้นเนื้อ) ผมควรจะขูดท่อปัสสาวะเพื่อจะได้ไม่ต้องกินยารักษาต่อมลูกหมาก เพื่อจะลดการกินยาลงดีหรือไม่ครับ (3) ผมมีโอกาสเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากขนาดไหนครับ และทางป้องกันได้หรือไม่ครับ (4) จะมีวิธีใดที่ดูแลสุขภาพไม่ให้เป็นมะเร็งเพิ่มขึ้นอีก สุดท้ายนี้ขอขอบคุณอย่างสูงคุณหมอที่ให้ความรู้ในการรักษาสุขภาพ

ขอแสดงความนับถืออย่างสูง

……………………………………………………………………….

ตอบครับ

1.. ถามว่าโรคต้อหินชนิดความดันตาปกติมีความเสี่ยงเป็นโรคอัลไซเมอร์ถึง 50% จริงไหม ตอบว่ายังไม่ทราบครับ เพราะที่คุณอ่านมามันเป็นแค่โปสเตอร์ปิดในงานประชุมจักษุแพทย์ ไม่ใช่งานวิจัยที่ตีพิมพ์ ผมจึงประเมินน้ำหนักมันไม่ได้ แต่อย่างมากที่สุดมันก็บอกแค่ความสัมพันธ์ระหว่างของสองสิ่งซึ่งอาจไม่ได้เป็นเหตุเป็นผลต่อกันเลยก็ได้ ดังนั้นอย่าเพิ่งไปเอานิยายอะไรกับตรงนี้ รูดูงานวิจัยที่ตีพิมพ์จริงๆก่อน

2.. ถามว่าจะทำอย่างไรเพื่อไม่เป็นโรคอัลไซเมอร์ในอนาคต ตอบว่าใครก็ตามไม่ว่าจะเป็นต้อหินหรือไม่เป็น ทุกคนควรลงมือป้องกันการเป็นอัลไซเมอร์เสียตั้งแต่เดี๋ยวนี้ โดยทำ 6 อย่าง คือ

2.1 ปรับอาหารไปเป็นแบบ MIND diet ซึ่งไฮไลท์สิบอย่างคือ ผักใบเขียว, ผักทั่วไป, นัท, เบอรี่, ถั่วต่างๆ, ธัญพืชไม่ขัดสี, อาหารทะเล, เป็ดไก่, น้ำมันมะกอก, เหล้าไวน์ ทั้งนี้ในภาพรวมอาหารที่ดีต่อสมองควรเป็นอาหารพืชเป็นหลักในรูปแบบใกล้เคียงธรรมชาติและมีความหลากหลาย ทั้งยังควรต้องเป็นอาหารที่เพิ่มความหลากหลายของจุลินทรีย์ในลำไส้ด้วย (pre/pro biotic)

2.2 ออกกำลังกาย ซึ่งต้องทำให้ถึงระดับหนักพอควร ต้องเล่นกล้ามด้วย ต้องฝึกการทรงตัวด้วย

2.3 การนอนหลับ ซึ่งต้องนอนให้ได้วันละ 7 ชั่วโมงขึ้นไป

2.4 จัดการความเครียด ซึ่งรวมศูนย์อยู่ที่การฝึกสติ ฝึกวางความคิด ฝึกผ่อนคลายร่างกาย ใช้ชีวิตกลางแจ้งกับธรรมชาติ ได้แดด ได้ลม

2.5 การฝึกกระตุ้นสมอง ซึ่งต้องฝึกอย่างหลากหลาย เพราะสมองทำงานถึงหกด้าน คือ สติ ความจำ การคิดวินิจฉัย ภาษา การสังคม และการเคลื่อนไหว-ทรงตัว นอกจากความครอบคลุมทั้งหกด้านแล้วการกระตุ้นสมองยังควรต้องเลือกวิธีที่มีเป้าหมายชัดเจน มีความท้าทาย และมีความซับซ้อนด้วยสิ่งเดิมๆที่ทำในชีวิตประจำวันด้วย และเน้นกิจกรรมที่ทำแล้วสนุกมีความสุข

2.6 ถ้าสูบบุหรี่อยู่ ให้เลิกสูบเสีย

3.. ถามว่าต่อมลูกหมากโต ค่า psa สูง หมอให้ทำ mri แล้ว บอกว่าไม่เป็นมะเร็ง ควรจะขูดท่อปัสสาวะเพื่อจะได้ไม่ต้องกินยารักษาต่อมลูกหมากดีไหม ตอบว่าอยู่ดีๆจะแกว่งตีนหาเสี้ยนทำไมละครับ

สิ่งที่เรียกว่าการขูดต่อมลูกหมาก (TURP – transurethral resection of prostate) นั้นคือการคว้านเอาทุกสิ่งทุกอย่างออกทิ้งไปหมดรวมทั้งท่อปัสสาวะของคุณซึ่งยังดีๆอยู่และไม่ได้เกี่ยวอะไรกับต่อมลูกหมากโตด้วย การทำเช่นนั้นมักทำให้เกิดผลข้างเคียงเช่นอั้นปัสสาวะไม่อยู่ต้องใส่ผ้าอ้อม และมักมีปัญหาเวลานอนกับแฟนเพราะฉีดน้ำเชื้อไม่ออก (retrograde ejaculation) ถ้าไม่จำเป็นอย่างยิ่งยวดถึงขั้นทำอย่างไรก็ฉี่ไม่ออกก็จะไปคว้านมันทำไมละครับ

อย่างไรก็ตาม หากคุณเป็นคนชอบการผ่าตัด ให้ใจเย็นรอเทคโนโลยีใหม่ซึ่งมีใช้ในอเมริกาและยุโรปแล้ว คือการนึ่งต่อมลูกหมากด้วยไอน้ำร้อน (Water vapor therapy) ซึ่งมีวิธีทำที่พิศดาร แม้จะทำโดยใส่ท่อผ่านปลายจู๋เข้าไปเหมือนกับ TURP แต่ไม่มีการใช้หัวแร้งทะลุทะลวงหรือคว้าน ท่อที่ใช้มีรูเล็กๆเท่าปลายเข็มเรียงรายอยู่ด้านข้างท่อ แล้วแพทย์ใช้วิธีสอดสายฉีดปลายแหลมเล็กระดับเข็มฉีดยาแยงโผล่ออกไปทางรูด้านข้างของท่อนั้น แทงทะลุพ้นผนังท่อปัสสาวะออกไปเข้าไปในเนื้อต่อมลูกหมาก แล้วฉีดไอน้ำร้อนออกไปนึ่งเนื้อต่อมลูกหมากให้สุกหรือพูดง่ายๆว่าให้ตาย หลังจากนั้นต่อมลูกหมากจะเปื่อยสลายถูกดูดซึมเข้าสู่หลอดเลือดดำและท่อน้ำเหลืองเพื่อเอาไปทิ้งตามระบบปกติของร่างกายเอง ส่วนตัวท่อปัสสาวะจะยังอยู่ดีเหมือนเดิมเพราะไม่ได้ถูกไอน้ำร้อนนึ่งไปด้วย กลไกควบคุมปัสสาวะก็ดี กิจกรรมใดๆของความเป็นชายก็ดี จะยังอยู่เพราะท่อไม่ถูกเผาหรือตัดทิ้ง วิธีนี้จ๊าบมากในการแก้ต่อมลูกหมากโตโดยสงวนท่อปัสสาวะไว้ได้ แม้ว่าตอนนี้ยังมีข้อเสียตรงที่หลังทำแม้จะกลับบ้านได้เลยทันทีไม่ต้องนอนโรงพยาบาลแต่ใหม่ๆท่อปัสสาวะจะบวมมากจนต้องคาสายสวนไว้อาจนานถึง 1-2 สัปดาห์จึงจะเอาออกได้ หมอสันต์เดาว่าอีกสิบปีในอนาคตการทำผ่าตัด TURP จะกลายเป็นอดีตเพราะถูกวิธีใหม่นี้แทนที่หมด

4.. ถามว่าผู้ชายที่ต่อมลูกหมากโตและ psa สูงอย่างคุณนี้มีโอกาสเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากมากไหม ตอบว่ามีโอกาส 9% หากติดตามดูนาน 11 ปีครับ

5.. ถามว่าจะมีทางป้องกันเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากได้ไหม ตอบว่าได้ระดับหนึ่ง ด้วยการปรับอาหารมากินพืชให้มากๆและให้หลากหลายและใช้ชีวิตแบบมีการออกกำลังกายและจัดการความเครียดด้วย เพราะงานวิจัยแบ่งกลุ่มเปรียบเทียบคนเป็นมะเร็งต่อมลูกหมากที่เปลี่ยนอาหารและเปลี่ยนวิธีใช้ชีวิตพบว่ามะเร็งต่อมลูกหมากลดอัตราการเพิ่มขนาดลง และค่า psa จะก็ลดอัตราเพิ่มลงเมื่อเปรียบเทียบกับคนกินอาหารปกติที่มีเนื้อสัตว์เป็นส่วนประกอบหลัก

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

  1. Hung, SC., Lai, SW., Tsai, PY. et al. Synergistic interaction of benign prostatic hyperplasia and prostatitis on prostate cancer risk. Br J Cancer 108, 1778–1783 (2013). https://doi.org/10.1038/bjc.2013.184
  2. Ornish D, Weidner G, Fair WR, Marlin R, Pettengill EB, Raisin CJ, Dunn-Emke S, Crutchfield L, Jacobs FN, Barnard RJ, Aronson WJ, McCormac P, McKnight DJ, Fein JD, Dnistrian AM, Weinstein J, Ngo TH, Mendell NR, Carroll PR. Intensive lifestyle changes may affect the progression of prostate cancer. J Urol. 2005 Sep;174(3):1065-9; discussion 1069-70. doi: 10.1097/01.ju.0000169487.49018.73. PMID: 16094059.
[อ่านต่อ...]

22 มกราคม 2566

จะทำยังไงกับเพื่อนสูงวัยที่ชอบส่งรูปโป๊เข้าไลน์

ภาพวันนี้: ทารากอนจริง (สีเหลืองบนซ้าย) กับทารากอนปลอม (สีเหลืองกลางภาพ)

เรียน คุณหมอสันต์ที่เคารพ

เพื่อนชอบส่งรูปโป๊ เข้ามาในไลน์กลุ่มเพื่อนมหาวิทยาลัยค่ะ ส่งทุกวัน เคยมีเพื่อนๆเตือนว่าไม่เหมาะสม ให้ไปตั้งไลน์รูปโป๊เป็นกลุ่มตัวเอง เขาก็ยังส่งทุกวัน ไลน์กลุ่มเพื่อนอายุประมาน 60 ปี มีทั้งหญิงและชาย คณะเรียนและมหาวิทยาลัยดีมาก

ลูกเคยเห็นแม่อ่านไลน์และพบรูปโป๊ ลูกยังถามว่า เพื่อนแม่คนนี้เป็นใคร ทำไมเขาส่งรูปแบบนี้ในไลน์ เราควรจะทำอย่างไรดีค่ะ

ขอบพระคุณค่ะ

Sent from my iPhone

…………………………………………………………………

ตอบครับ

ป๊าด..ด

ผมเข้าใจนะว่าในการที่ผมได้เรียนแพทย์จนจบมาเป็นผู้เป็นคนนี้ ผมต้องใช้เงินภาษีที่ชาวบ้านจ่ายให้รัฐไปเป็นจำนวนมาก เรียนจบแล้วผมสมควรต้องชดใช้ทุนด้วยการทำหน้าที่แพทย์จนสุดความสามารถ แต่ผมยังงงๆอยู่นิดหนึ่งว่าการชดใช้ทุนของผมรวมถึงการต้องตอบคำถามเรื่องรูปโป๊ด้วยหรือนี่..หิ หิ

แต่เอาเถอะ คุณถามมาแล้วผมก็ต้องตอบ อุปมาเหมือนผีมาถึงป่าช้าแล้ว ไม่เผาก็ต้องฝัง

1.. ถามว่าเรียนจบมาจากคณะที่ดีมาก จากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อชั้นดีมาก แต่ทำไมเพื่อนร่วมรุ่นร่วมคณะจึงเป็นคนโหล่ยโท่ยหมกมุ่นแต่เรื่องลามกจกกะเปรตได้ ตอบว่า..ก็โลกมันเป็นของมันอย่างนี้นี่ครับ

ปูนนี้แล้วสมควรที่คุณจะมองข้ามให้พ้นคอนเซ็พท์ที่อัตตาของเราปั้นขึ้นหรือยึดกุมเอาไว้ ซึ่งคอนเซ็พท์เหล่านั้นล้วนปั้นสิ่งในธรรมชาติที่เป็นธรรมดาๆให้เราเห็นเป็นสองขั้ว ไม่ว่าจะเป็น น่ารัก-น่าชัง, ดี-ชั่ว, มีระดับ-ไร้ระดับ, ผู้ดี-ไพร่, ลามก-กระมิดกระเมี้ยน ฯลฯ ทั้งหมดนี้มันเป็นแค่คอนเซ็พท์ที่ใจเราไปยึดมั่นถือมั่นแล้วสื่อสู่กันในรูปของภาษา รูปร่าง เรื่องราว แค่นั้นเอง มันไม่ใช่ของจริงที่จีรังดอก เราแค่เออออไปกับเขาแค่ให้พออยู่กับคนอื่นเขาในสังคมได้ไม่ทำให้ใครเดือดร้อนก็พอแล้ว ไม่ต้องไปตีอกชกหัวกับคอนเซ็พท์ทั้งหลายมากนัก วัยนี้เป็นวัยที่ควรจะมองข้ามพ้นคอนเซ็พท์หรือแม้กระทั่งสำนึกว่าเรานี้เป็นบุคคลคนหนึ่งไปให้ได้ เพื่อที่จะได้เปิดตัวเองสู่โลกที่ภาษาอธิบายไม่ถึง ผมหมายถึงโลกที่ไร้ความยึดถือในอัตตาซึ่งจะทำให้เรามีชีวิตที่สงบเย็นและสร้างสรรค์

2.. ถามว่าทำไมพวกผู้ชายแก่ป่านนี้แล้วพวกเขายังคึกคักหมกมุ่นอยู่แต่กับรูปโป๊หรือเซ็กซ์กันอีก ตอบว่าไม่ใช่เขายังคึกคักดอกครับเพราะส่วนใหญ่ผมเห็นเวลาจำเป็นต้องทำกิจกันทีก็ถามหายาไวอากร้าจากเพื่อนๆกันให้วุ่น แต่มันเป็นเพราะพวกเขาตกอยู่ในวงจรของการรีไซเคิลความคิดเดิมๆ พูดแบบบ้านๆก็คือพวกเขากำลังใช้กรรมเก่า เพราะความคิดหรือประสบการณ์ใดๆของคนเรานี้ เมื่อได้เกิดขึ้นในหัวครั้งหนึ่งแล้วก็จะหมุนวนเกิดซ้ำ ซ้ำ ซ้ำ อีกไม่รู้จบตราบใดที่ยังไม่รู้ตัวว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในกับดักของการย้ำคิดตราบนั้นก็ยังปลดแอกตัวเองออกจากความคิดไม่ได้ ผู้ชายแก่ๆจึงคอยแต่จะคิดแบบเดิมๆมองอะไรแบบเดิมๆจนตายแม้จะไม่มีฮอร์โมนแล้ว

พูดถึงตอนนี้ขอเล่าเรื่องเก่าเมื่อสี่สิบปีมาแล้วสมัยผมเป็นแพทย์ประจำบ้านช่วยอาจารย์ผ่าตัดอยู่ ได้ยินพวกพี่ๆพยาบาลหัวเตียงนินทาคนไข้คนหนึ่งซึ่งเป็นคุณหลวงอายุ 90 ปีและเป็นมะเร็งปอดใกล้ตายแล้วมาแอดมิทอยู่ที่ห้องพิเศษ สมัยโน้นคนไข้ห้องพิเศษต้องมีลูกหลานมาเฝ้า แต่ลูกหลานของคุณหลวงล้วนเป็นนักเรียนนอกหัวใหม่ธุระแยะจึงไม่มีใครมาเฝ้า พวกลูกๆพากันหารือคุณหลวงว่าจะจ้างพยาบาลมาเฝ้าคุณพ่อแทน ตอนหารือพยาบาลก็ยืนอยู่ในห้องด้วย คุณหลวงตอบว่า

“..ก็ได้ เอาคนที่นมโตๆนะ”

พยาบาลคนที่ได้ยินเอามานินทาในห้องผ่าตัดว่า

“จะตายอยู่แล้ว..ว แต่ก็ยังไม่วาย”

ฮ่า ฮ่า ฮ่า ตะแล้น ตะแล้น ตะแล้น

3.. ถามว่าจะทำยังไงกับเพื่อนที่ชอบกระจายรูปโป๊ดี ตอบว่าเวลาคุณเดินอยู่ในซอยเห็นน้องหมาสามสี่ตัวกำลังทำอะไรบัดสีบัดเถลิงกันอยู่อย่างไม่อายฟ้าดิน คุณทำอะไรบ้างละครับ คุณไม่ทำอะไรใช่ไหม เพราะคุณยอมรับว่ามันเป็นธรรมชาติของพวกน้องหมาเค้า ฉันใดก็ฉันเพล คุณมีเพื่อนเป็นคนอุตริ คนอื่นรุมพูดก็ไม่ฟัง รุมแนะนำก็ไม่เก็ท คุณจะทำอะไรได้เล่านอกจากยอมรับเขาตามที่เขาเป็น ให้อภัย แผ่เมตตาให้ แค่นั้นพอแล้ว ถ้าไลน์ของเขาทำให้คุณหงุดหงิดมากคุณก็อย่าไปเปิดอ่านไลน์ของเขา คุณก็สงบเย็นได้แล้ว

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

จะไปเจาะเลือดตรวจอัลไซเมอร์ สามีบอกว่าไม่ต้องตรวจก็รู้แล้ว

(ภาพวันนี้: เวอร์บิน่า ที่หน้าบ้าน ออกดอกมาเดือนกว่าแล้ว)

เรียนคุณหมอสันต์

ดิฉันจะไปร่วมงานมหกรรมตรวจเลือดดูโรคอัลไซเมอร์ของคุณหมอ … ที่ … แต่สามีซึ่งเป็นแพทย์แต่ไม่ใช่หมอรักษาสมองทักท้วงว่าไม่เห็นจะมีประโยชน์อะไร ไม่ต้องตรวจก็รู้อยู่แล้ว..ทำนองนั้น ดิฉันอยากเรียนถามคุณหมอสันต์ว่าการตรวจเลือดหาอัลไซเมอร์นี้เชื่อถือได้จริงไหม หากตรวจแล้วจะวินิจฉัยได้เลยไหม และสำหรับผู้สูงอายุทั่วไปอย่างดิฉันนี้ (78 ปี) การตรวจเลือดหาอัลไซเมอร์จะมีประโยชน์ไหม

ขอบพระคุณค่ะ

……………………………………………………………..

ตอบครับ

1.. ถามว่าการวินิจฉัยโรคอัลไซเมอร์ด้วยการเจาะเลือดทำได้ไหม ตอบว่าสมัยก่อนทำไม่ได้ เพิ่งมาทำได้เมื่อไม่นานมานี้เองครับ

โรคอัลไซเมอร์นี้แรกเริ่มเดิมทีจะวินิจฉัยได้ต้องรอให้ผู้ป่วยม่องเท่งไปก่อนแล้วค่อยเอาสมองมาตรวจหาโปรตีนผิดปกติชื่อเทา (tau) และหาแป้งผิดปกติชื่ออะไมลอยด์ (amyloid) ถ้าพบสองอย่างนี้ก็วินิจฉัยว่าเป็นโรคอัลไซเมอร์

ต่อมาการวินิจฉัยก่อนตายเริ่มเป็นที่ยอมรับกันว่าหากเจาะเอาน้ำไขสันหลังมาตรวจแล้วพบทั้งสองตัวนั้นควบกับการตรวจภาพของสมองเช่น PET scan ได้ผลบวกก็วินิจฉัยว่าเป็นอัลไซเมอร์ได้

มาถึงปัจจุบันนี้ผมเพิ่งเห็นมีงานวิจัยจากทางยุโรปตีพิมพ์ไว้ในวารสาร Brain เมื่อไม่กี่สัปดาห์มานี้เอง ว่าคณะผู้วิจัยพบวิธีเจาะเลือดตรวจดูโปรตีนเทาที่ออกมาจากสมองได้แม่นยำพอๆกับการเจาะตรวจน้ำไขสันหลัง วิธีที่เขาวิจัยคือสร้างตัวแอนตี้บอดี้ที่เจาะจงจับกับโปรตีนเทาจากสมองโดยเฉพาะเพื่อไม่ให้ไปจับกับโปรตีนเทาจากอวัยวะอื่นเปะปะ แล้วพัฒนามาเป็นการเจาะเลือดตรวจเพื่อวินิจฉัยโรคอัลไซเมอร์เพื่อใช้ในการวิจัยทางคลินิก ซึ่งที่คุณจะไปร่วมงานเขาครั้งนี้ผมเดาเอาว่าก็คงเป็นส่วนหนึ่งของการวิจัยเช่นกัน ไม่ใช่การบริการที่คลินิกตามปกติ

2.. ถามว่าการไปเจาะเลือดตรวจคัดกรองอัลไซเมอร์มีประโยชน์ไหม ตอบว่าก็มีประโยชน์ตรงที่จะได้ไปเที่ยวงานมหกรรมไงครับ เป็นสีสันในชีวิตอย่างหนึ่งของผู้สูงวัย ซึ่งปูนนี้แล้วจะไปเที่ยวผับเที่ยวบาร์แบบเด็กๆเขาก็คงไม่ให้เข้าแล้ว

แต่ที่สามีของคุณพี่ตั้งข้อสังเกตมันก็มีประเด็นนะ ว่าก็ในเมื่อไม่ต้องตรวจก็รู้ว่าตัวเองขี้หลงขี้ลืมอยู่แล้ว ทำไมไม่วินิจฉัยว่าตัวเองเป็นโรคสมองเสื่อมเรียบร้อยแล้วและลงมือจัดการโรคนี้ด้วยตัวเองไปเลย ไม่ต้องเที่ยววิ่งตรวจโน่น นี่ นั่น ก่อนหรอก เพราะโรคเรื้อรังทั้งหลาย ปัญหามันไม่ใช่อยู่ที่การวินิจฉัย แต่อยู่ที่การลงมือจัดการโรค อย่าเอาแต่รำมวยตรวจนั่นตรวจนี่แต่ไม่ลงมือทำอะไรในแง่ของการจัดการโรคสักที เนื่องจากโรคเรื้อรังทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นโรคอัลไซเมอร์ โรคหัวใจ เบาหวาน ความดัน ไขมันสูง ทั้งหมดนี้ยังไม่มียารักษาให้หายได้ ตรวจวินิจฉัยยืนยันได้แน่นอนก็ใช่ว่าหมอเขาจะเสกให้หายได้ แต่มีหลักฐานวิจัยว่าการเปลี่ยนวิธีใช้ชีวิตคือเปลี่ยนการกินการอยู่จะทำให้โรคดีขึ้นหรือถึงกับหายได้ ซึ่งการเปลี่ยนวิธีใช้ชีวิตนี้ไม่ใช่ว่าหมอเขาจะมาเปลี่ยนให้เรานะครับ เรานี่แหละต้องเปลี่ยนของเราเอง ดังนั้นแค่มีเบาะแสให้สงสัยว่าเราจะเป็นโรคเรื้อรังโรคใดโรคหนึ่งข้างต้นให้วินิจฉัยตัวเองไปเลยว่าเป็นโรคนั้นไปเรียบร้อยแล้วจะได้ไม่ต้องวิ่งตรวจแต่ลงมือเปลี่ยนวิธีใช้ชีวิตเลยทันทีตั้งแต่เดี๋ยวนี้เป็นต้นไป ไม่ต้องรอให้หมอเขาวินิจฉัยยืนยันก่อนจึงค่อยเปลี่ยนตัวเองหรอก วิธีนั้นมันเป็นการหลอกตัวเองแบบหาเรื่องชกลมไปเพื่อจะได้ไม่ต้องทำอะไรจริงจัง

3.. ข้อนี้สำหรับท่านผู้อ่านทุกท่านด้วยนะครับ งานวิจัยชิ้นหนึ่งทำโดย Chicago Health and Aging Project และ Rush Memory and Aging Projects ได้ใช้ตัวชี้วัดวิธีใช้ชีวิตออกมาเป็นคะแนนในหกประเด็นคือ การกินอาหารดีต่อสมอง (MIND diet ซึ่งผมเคยเขียนถึงบ่อย) การออกกำลังกาย การเลิกบุหรี่ การนอนหลับ การผ่อนคลายความเครียด และการทำกิจกรรมกระตุ้นสมอง งานวิจัยพบว่าเมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามปัจจัยด้านวิถีชีวิตเหล่านี้ ผู้ที่ปฏิบัติตามปัจจัยด้านเหล่านี้ได้ถึงสองหรือสามอย่าง มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคอัลไซเมอร์ ลดลง 37% ขณะที่ผู้ที่ปฏิบัติตามได้สี่หรือห้าอย่าง ปัจจัยเหล่านี้ลดความเสี่ยงลงได้ถึง 60% ซึ่งเหลือเชื่อ เป็นครั้งแรกที่ผลวิจัยสรุปว่าผู้ที่ใช้ชีวิตแบบเอื้อต่อการมีสุขภาพดี ลดความเสี่ยงที่จะเป็นโรคสมองเสื่อมลงได้ถึง 60% ย้ำ สมองเสื่อมป้องกันได้ 60% โดยการเปลี่ยนวิธีใช้ชีวิตให้เอื้อต่อการมีสุขภาพดีในหกประเด็นหลัก คือ

(1) อาหารแบบ MIND diet ซึ่งไฮไลท์สิบอย่างคือ ผักใบเขียว, ผักทั่วไป, นัท, เบอรี่, ถั่วต่างๆ, ธัญพืชไม่ขัดสี, อาหารทะเล, เป็ดไก่, น้ำมันมะกอก, เหล้าไวน์

ในภาพรวมอาหารที่ดีต่อสมองควรเป็นอาหารพืชเป็นหลักในรูปแบบใกล้เคียงธรรมชาติและมีความหลากหลาย ทั้งยังควรต้องเป็นอาหารที่เพิ่มความหลากหลายของจุลินทรีย์ในลำไส้ด้วย (pre/pro biotic)

(2) การออกกำลังกาย ซึ่งต้องทำให้ถึงระดับหนักพอควร ต้องเล่นกล้ามด้วย ต้องฝึกการทรงตัวด้วย

(3) การนอนหลับ ซึ่งต้องนอนให้ได้วันละ 7 ชั่วโมงขึ้นไป

(4) การจัดการความเครียด ซึ่งรวมศูนย์อยู่ที่การฝึกสติ ฝึกวางความคิด ฝึกผ่อนคลายร่างกาย ใช้ชีวิตกลางแจ้งกับธรรมชาติ ได้แดด ได้ลม

(5) การฝึกกระตุ้นสมอง ซึ่งต้องฝึกอย่างหลากหลาย เพราะสมองทำงานถึงหกด้าน คือ สติ ความจำ การคิดวินิจฉัย ภาษา การสังคม และการเคลื่อนไหว-ทรงตัว นอกจากความครอบคลุมทั้งหกด้านแล้วการกระตุ้นสมองยังควรต้องเลือกวิธีที่มีเป้าหมายชัดเจน มีความท้าทาย และมีความซับซ้อนด้วยสิ่งเดิมๆที่ทำในชีวิตประจำวันด้วย

(6) การเลิกบุหรี่

4.. ในแง่ของการใช้ชีวิต อย่าลืมว่าในเชิงอาการวิทยา โรคสมองเสื่อม (ซึ่งรวมทั้งอัลไซเมอร์) แตกต่างจากโรคขี้หลงขี้ลืมเล็กๆน้อยๆ (MCI) ตรงที่ผู้ป่วยไม่สามารถทำกิจสำคัญในชีวิตประจำวันอย่างใดอย่างหนึ่งในเจ็ดอย่าง (IADL) ต่อไปนี้ได้ คือ

(1) ไปไหนมาไหนเองไม่ได้ เช่น ขับรถก็ไม่ได้ เดินไปขึ้นรถเมลก็ไม่ได้ เป็นต้น

(2) ดูแลเงินทองบัญน้ำบัญชีของตัวเองไม่ได้

(3) ดูแลจัดการหยูกยาของตัวเองไม่ได้

(4) ทำความสะอาดห้องหับที่หลับที่นอนตัวเองไม่ได้

(5) ซื้อของจ่ายตลาดเองไม่ได้

(6) ทำอาหารหรือหาอาหารกินเองไม่ได้

(7) อยู่คนเดียวไม่ได้ จะโทรศัพท์หาใครก็โทรไม่เป็นหรือหาเบอร์ไม่ถูก เป็นต้น

ดังนั้นการชลอโรคสมองเสื่อมที่ทำได้ทันทีคือการพยายามทำกิจทั้งเจ็ดอย่างนี้ด้วยตนเองไปให้ได้นานที่สุด

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม

1.. Gonzalez-Ortiz F, Turton M et al. Brain-derived tau: a novel blood-based biomarker for Alzheimer’s disease-type neurodegeneration, Brain, 2022;, awac407, https://doi.org/10.1093/brain/awac407

[อ่านต่อ...]

21 มกราคม 2566

ตอบว่า..ท่าทางคุณกำลังจะเป็นบ้า

(ภาพวันนี้: อีกหนึ่งโปรเจ็คใหม่ของหมอสันต์ ปลูกกล่ำปลีเขียวในนาข้าว อัดน้ำท่วมหญ้าให้รู้แล้วรู้รอด)

สวัสดีค่ะอ.สันต์

ขอถามในแนวไสยศาสตร์ที่คิดว่านักวิทยาศาสตร์อย่างอาจารย์ตอบได้นะคะ คือหนูเริ่มฝึกสมาธิโดยอาศัยเสียงนำตามยูทูปอย่างจริงจังมา5เดือน ก็มีความเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยด้านจิตใจ คือสงบลง ปล่อยวางได้มากขึ้น และบางครั้งคิดอยากได้อะไรก็ได้มาง่ายๆ ตัวอย่างเช่น อยากได้ตังค์เพื่อจุดประสงค์บางอย่าง อยู่ดีๆก็มีเงินเข้าในบัญชี คือสามีโอนให้ผิดตั้งใจจะโอนให้ลูกสาวแต่ดันเข้าในบช.เราถึง2 ครั้ง แต่ไม่มาก

พอที่เราคิดจะทำโครงการของเรา และมีถูกหวยนิดๆหน่อย อาจารย์อาจคิดว่ามาอีกละ กฎแรงดึงดูดไร้สาระ แต่คิดว่าคนที่นั่งสมาธิหลายๆคนก็ทำได้ มีอีกคือคิดอยากซื้ออะไรในราคาไม่แพง พอไปsupermarket

ก็มีวางไว้รอเลยค่ะ แต่ยังไม่ถึงกับส่งพลังจิตให้คนทำในสิ่งที่ต้องการได้ อิอิ

อีกเรื่องหนึ่งคือความคิดลบ อันนี้ตั้งแต่ยังไม่นั่งสมาธิแล้ว คือเคยไม่ชอบคนข้างบ้านที่ขี้เมาหยำเป เพราะกลัวอันตรายจะเกิดกับลูกสาว จู่ๆวันนึงเขาก็นอนตายอยู่ในบ้านแล้วมีคนที่ทำงานมาพบศพ(เขาอยู่คนเดียว) มีอีกคนอยู่แฟลตข้างๆห้อง จริงๆเขาก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร เพียงแต่สูบบุหรี่จัด และชอบทำงานที่เกี่ยวกับเครื่องจักรเช่นซ่อมเครื่องตัดหญ้า และเปิดเสียงดังมากเกือบทุกเช้า ราวๆ9โมง ซึ่งเป็นเวลานอนช่วงเช้าของลูกสาวตอนเขายังเล็กมาก ก็คิดในใจว่าเมื่อไรเขาจะย้ายไปอยู่ที่อื่นซะทีนะ และแล้วก็ได้รับข่าวเขาเกิดอุบัติเหตุและเสียในที่ทำงาน ซึ่งไม่น่าเป็นไปได้ เพราะเขาเพิ่งจะ40กว่า และเก่งในเครื่องจักรกลมาก ทำให้หนูคิดเอาเองว่า พลังในการคิดลบของเรามีส่วนหรือเปล่านะ หรือเป็นเรื่องบังเอิญถึงคราวของเขามากกว่า

อีกเรื่องที่ฟังจากประสบการณ์จากครูด้านจิดวิญญาณท่านหนึ่ง เล่าว่า มีเพื่อนบ้านสาววัยกลางคนท่านหนึ่ง พ่อเป็นหมอรักษามะเร็ง แม่เป็นหมอรักษาโรคปอด ลูกสาวก็จะได้ยินได้ฟังเรื่องมะเร็ง กับเรื่องปอดทุกวัน สุดท้ายลูกก็บังเอิญเป็นมะเร็งปอด ทั้งๆที่บุหรี่ เหล้าไม่แตะเลย ทำให้หนูจับแพะมาชนแกะ เหมาเอาว่าพลังอานุภาพทางจิตมีอิทธิพลต่อร่างกายและจิตใจใช่หรือไม่ ดร.โจ ดิสเพนซาเคยพูดว่า สิ่งที่เรามองไม่เห็นไม่ใช่ว่าจะไม่มีจริง อาจารย์เองก็คงอยู่ในระดับเซียนกับเขาเหมือนกันคงมีประสบการณ์มาเยอะใช่ไหมคะ เพียงแต่ไม่สามารถอธิบายเป็นวิทยาศาสตร์ได้

เรื่องสุดท้ายคือสามีตัวเอง เป็นภูมิแพ้ แต่ไม่รู้แพ้อะไร ก็เหมาเอาว่า แพ้ฝุ่น บ้างละ บ้านมีเชื้อราตามฝาผนังบ้างละ เวลาเกิดอาการจะมีอาการhyperventilation เพื่อเรียกร้องความสนใจ ก็ไล่ไปหาหมอแต่ก็ตรวจไม่พบอะไร ได้ยาพ่นจมูก ยากินให้ผ่อนคลาย แต่เธอก็ไม่ทาน และก็หายไปเอง แต่เขาก็จะตั้งธงไว้ว่าทุกช่วงเดือนหนึ่งของปีที่เกิดอาการก็จะเกิดอีก และอธิบายว่าเป็นช่วงที่เชืือราปล่อยสปอร์ และเขาก็จะเกิดอาการจริงๆ ทำท่าหายใจไม่ออก เสมหะมาเยอะมาก  แต่ก็ไม่ไปหาหมอแค่เปลื่ยนสถานที่ก็ดีขึ้น หนูแปลกใจว่า ถ้ามีเชื้อราตามบ้าน ทำไม่หนูกับลูกๆไม่มีอาการอะไรเลย หรือเป็นplacebo effectของเขาเอง แต่ก็ยอมรับว่าเขาเป็นคนsensitive มากๆ และนั่งสมาธิมานาน แต่ก็ดูแล้วไม่สม่ำเสมอและท่าจะไปผิดทาง ของตัวเองก็ไม่ได้บอกว่าถูกทาง แต่ก็ทำไปเรื่อยๆก่อนลองผิดลองถูกไป หาจนกว่าจะเจอ

อาจารย์จะมีcommentอะไรบ้างคะ

ขอบคุณค่ะ

………………………………………………………………..

ตอบครับ

1.. ถามว่าคิดอยากได้อะไรก็ได้ คิดจะให้ใครมีอันเป็นไปก็เป็น หมอสันต์มีคอมเมนต์ว่าอย่างไร ตอบว่าท่าทางคุณกำลังจะเป็นบ้าครับ

เพราะคุณไปให้น้ำหนักกับความคิด ใครก็ตามที่ว่ายวนอยู่ในความคิดแบบไม่ลืมหูลืมตาไม่รู้จักถอยออกมาสังเกตดูความคิดของตัวเองว่าความคิดนี้ใครชงขึ้นมา มีวัตถุประสงค์อะไร เชื่อได้หรือไม่ได้ จุดจบของเขาคือถ้าไม่เป็นบ้าก็เป็นทุกข์ เพราะชื่อว่าความคิดย่อมจะเปลี่ยนไปตลอดเวลาและเอานิยายอะไรไม่ได้ หากไปยึดถือว่าความคิดเป็นสิ่งจีรังยึดถือได้เป็นตุเป็นตะชีวิตก็จะถูกความคิดพาเข้ารกเข้าพงไปตลอดชาติ

2.. ถามว่าที่ลูกสาวของหมอรักษามะเร็งและรักษาโรคปอดเป็นมะเร็งปอดเป็นเพราะได้ยินได้ฟังเรื่องมะเร็งปอดมากใช่ไหม ตอบว่าสาเหตุที่แท้จริงของการเป็นมะเร็งวงการแพทย์ยังไม่ทราบเลย ทราบแค่เลาๆว่ามันเป็นการประชุมแห่งเหตุ ดังนั้นข้อนี้คำตอบก็คือ เออ..แล้วผมจะรู้ไหมเนี่ย?

3.. ถามว่าสามีปักใจเชื่อว่าปีหนึ่งจะหอบหืดฟืดฟาดเสียเดือนหนึ่งเพราะแพ้เชื้อรา แล้วถึงเวลาเขาก็หอบหืดฟืดฟาดจริงๆ เป็นเพราะเขาสะกดจิตตัวเองแบบเป็น placebo effect หรือว่าเขาแพ้เชื้อราจริงๆ ตอบว่าเป็นไปได้ทั้งสองอย่างครับ คือเป็นเพราะแพ้เชื้อราจริงๆก็เป็นได้ หรือเป็นเพราะเขาอยากหอบหืดเพื่ออะไรสักอย่างก็เป็นได้ วิธีพิสูจน์ง่ายๆก็คือคุณลองบอกเขาว่าจะขอไปบวชชีสักหนึ่งปีสิครับ ปีนั้นอาการหอบหืดเขาอาจหายเป็นปลิดทิ้งก็ได้นะ (หิ หิ พูดเล่น)

4.. ข้อนี้คุณไม่ได้ถามแต่ผม ส. ใส่เกือก ตอบให้ ว่าการหลุดพ้นจากกรงของความคิดเราเองมันเป็นเส้นทางที่หากเปรียบเหมือนการเล่นฟุตบอลก็มีการเตะกันสองระดับ คือระดับบอลนักเรียน กับระดับบอลอาชีพ ทุกคนก็ต้องเริ่มที่การเตะบอลนักเรียนทั้งนั้นแหละ เมื่อเป็นดาราตรงนั้นแล้วจึงจะได้ขึ้นมาเตะบอลอาชีพ อุปมาเตะฟุตบอลฉันใด อุปไมการหลุดพ้นจากกรงของความคิดของเราก็ฉันนั้น เราต้องเริ่มในสนามความคิด จะคิดบวกไล่คิดลบหรือจะกฎของแรงดึงดูดหรือแรงผลักก็แล้วแต่ นี่คือสนามความคิด แต่นักบอลฝีเท้าดีจะไม่เตะในสนามนี้ไปตลอดชาติ เราควรจะต้องอัพเกรดตัวเองขึ้นไปหาสนามอาชีพ ซึ่งก็คือการสังเกตให้เห็นความคิดของตัวเอง การวางความคิดยึดมั่นในอัตตาเพื่อให้เข้าถึง “เมตตาธรรม” อันเป็นจุดหลอมรวมทุกชีวิตให้เป็นหนึ่งเดียวกันและความทุกข์จากการเป็นเราเป็นเขาจะไม่มี ตอนนี้คุณได้เป็นดาราในสนามนักเรียนแล้ว ไม่คิดจะอัพเกรดไปเตะในสนามอาชีพบ้างหรือครับ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

20 มกราคม 2566

รีทรีตทางจิตวิญญาณครั้งที่ 27 (SR27) วันที่ 11-14 กพ. 66

(ภาพวันนี้: จากดินหน้าบ้านมาอยู่บนจาน)

  1. Spiritual Retreat คืออะไร

Spiritual หมายถึงองค์ประกอบของชีวิตที่ข้ามพ้นส่วนที่เป็นร่างกายและความคิด นั่นก็คือองค์ประกอบส่วนที่เรียกว่าเป็นความรู้ตัว (awareness)

Retreat คือการปลีกวิเวกหลีกเร้น ไปอยู่ในสถานที่สงบเงียบเป็นธรรมชาติ เพื่อให้ได้มีเวลาที่สันโดษและเป็นส่วนตัวไม่ถูกรบกวนหรือชักใบด้วยสื่อชักนำความคิดจากภายนอก อันจะทำให้เข้าถึงความรู้ตัวได้ง่าย

Spiritual retreat ก็คือการปลีกวิเวกหลีกเร้นเพื่อหันเหความสนใจจากโลกภายนอก ที่ผ่านเข้ามาทางอายตนะทั้งหกคือตาหูจมูกลิ้นผิวหนังและความคิดที่ผุดขึ้นมาในใจ กลับเข้าไปสนใจความตื่นรู้และสงบเย็นที่ภายในตัวในสภาวะที่ไร้ความคิด แล้วอ้อยอิ่งซึมซับรอดูอยู่ที่นั่นว่าแต่ละวินาทีที่ผ่านไปจะมีอะไรโผล่เข้ามา เป็นการขยายการรับรู้ (perception) ให้ลึกละเอียดยิ่งไปกว่าอายตนะ โดยเรียนรู้ผ่านการอยู่ในสถานที่สงบเงียบเป็นเวลานานหลายวันบ้าง หลายสัปดาห์บ้าง หลายเดือนบ้าง อาจจะอยู่คนเดียว หรืออยู่กับกลุ่มที่ต่างมุ่งแสวงหา “ความหลุดพ้น” เหมือนกัน

ถึงแม้ว่าแค้มป์นี้จะกำเนิดจากความตั้งใจที่จะช่วยให้ผู้ป่วยจัดการความเครียด แต่ผ่านไปหลายปีมาถึงป่านนี้แล้วแค้มป์ได้เปลี่ยนหน้าตาตัวเองมาจนไม่เหลือความเกี่ยวข้องกับวิชาแพทย์แผนปัจจุบันหรือวิทยาศาสตร์เลย แค้มป์นี้เลือกเอาคำสอนที่เด่นของทุกศาสนามาใช้ แต่ไม่เกี่ยวข้องกับศาสนาใดๆทั้งสิ้น (spiritual but not religious) ไม่มีพิธีกรรม ไม่ต้องปฏิบัติบูชา แต่งกายตามสบาย ไม่ต้องนุ่งห่มแบบใดแบบหนึ่งเป็นการเฉพาะ ไม่มีการใช้ศัพท์แสงของทางศาสนา ไม่ต้องนอนตื่นเช้าเกินเหตุ (เริ่มกิจวัตร 7.00 น.)ไม่ต้องอดอาหาร แต่อาหารที่มีให้เป็นอาหารแบบมังสะวิรัตเพื่อไม่ให้ร่างกายเปลี้ยล้าจากอาหารเนื้อสัตว์ เนื้อหาสาระที่เรียนเป็นการเรียนทักษะ (ปฏิบัติ) ไม่เน้นเรียนความรู้หรือคอนเซ็พท์ ในแค้มป์จะพูดหรือทำสิ่งเดียวเท่านั้น คือเรื่องที่จะหลุดพ้นไปจากความยึดติดในความเป็นบุคคลไปสู่ความตื่น โดยโฟกัสที่..ที่นี่ เดี๋ยวนี้

  1. การเปลี่ยนแปลงที่ผ่านมา

SR ทำมาแล้ว 26 ครั้ง ถูกเปลี่ยนแปลงเรื่อยมา ขยายเวลาจาก 1 วันเป็น 2 แล้วก็เป็น 3 แล้วก็เป็น 4 วัน รูปแบบก็เปลี่ยนจากการฝึกปฏิบัติแบบหนึ่งต่อหนึ่งมาเป็นการแชร์ประสบการณ์รวมกันเป็นกลุ่ม ซึ่งถูกจำกัดไว้ไม่ให้เกิน 25 คน เนื้อหาเปลี่ยนมาตลอดตามความสามารถรับได้ของผู้เรียน ตารางเรียนก็เปลี่ยนไปตามผู้เรียน หลักคิดพื้นฐานของการฝึกเพื่อหลุดพ้นจากกรงความคิดของตัวเองนี้คือ ให้มองว่าสิ่งที่เราได้มา คือชีวิตนี้ร่างกายนี้ เป็นเหมือนเครื่องยนต์ที่ซับซ้อนมากๆชิ้นหนึ่ง เมื่อเราได้เครื่องยนต์ที่ซับซ้อนมา สมมุติว่าได้สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่มาเครื่องหนึ่ง สิ่งแรกที่เราจะทำคือการอ่านคู่มือการใช้งาน (user’s manual) ว่าในการจะใช้งานอุปกรณ์ใหม่ที่ได้มานี้เราจะต้องใช้เครื่องมืออะไรเข้าไปกดไปจิ้มไปหมุนตรงไหนบ้าง SR ก็คือการเรียนรู้ถึงรายละเอียดของคู่มือการใช้งานอุปกรณ์ชิ้นสำคัญคือชีวิตและร่างกายนี้ และทดลองใช้เครื่องมือเหล่านั้น ตัวอย่างเครื่องมือที่ถูกนำมาสอนบ่อยที่สุด เช่น

(1.) Attention หมายถึงความสนใจของเรา ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุด เมื่อความสนใจไปจดจ่ออยู่ที่สิ่งใด สิ่งนั้นก็จะมีความสำคัญยิ่งใหญ่ล้นฟ้าขึ้นมาทันที ไฮไลท์ของการใช้เครื่องมือชิ้นนี้คือการถอยความสนใจออกมาจากความคิด

(2.) Breathing หมายถึงลมหายใจหรือการหายใจซึ่งเป็นกลไกพื้นฐานของร่างกาย ตรงนี้เป็นหลักกิโลเมตรที่หนึ่ง มันเป็นจุดพักระหว่างทางที่จะฝึกถอยความสนใจออกมาจากความคิด นอกจากนั้นตัวลมหายใจเองยังเป็นความเชื่อมต่อระหว่างร่างกายซึ่งเป็นเสมือนเนื้อตันๆกับพลังชีวิตซึ่งเป็นเสมือนพลังงานที่หล่อเลี้ยงร่างกายให้ดำรงอยู่ได้ ในแง่นี้ลมหายใจจึงเป็นปากทางที่จะนำความสนใจไปสู่ชีวิตในส่วนที่เป็นพลังงานลึกละเอียดลงไปยิ่งกว่าเนื้อหนังตันๆนี้

(3.) Relaxation การผ่อนคลายร่างกาย อาศัยประสบการณ์ของผมที่สรุปได้ว่าธรรมชาติของความคิดปรากฎเป็นสองขา ขาหนึ่งคือเนื้อหาสาระของความคิด อีกขาหนึ่งปรากฎเป็นอาการบนร่างกาย โดยเมื่อลงมือกระทำบนขาหนึ่ง ก็จะมีผลต่ออีกขาหนึ่ง เช่นเมื่อผ่อนคลายร่างกาย ความคิดก็จะฝ่อลงไป เทคนิคนี้เป็นการใช้ประโยชน์จากวิธีรับรู้ข้อมูลป้อนกลับ (bio-feedback) ที่นิยมใช้ในทางตะวันตกด้วย เพียงแต่ว่าไม่ได้ใช้อุปกรณ์อีเล็คโทรนิกใดๆเข้ามาเกี่ยวข้อง

(4) Life energy หมายถึงพลังชีวิต ที่ภาษาจีนเรียกว่า “ชี่” และภาษาแขกเรียกว่า “ปราณา” ทั้งนี้ผมแบ่งง่ายๆว่าชีวิตนี้เป็นการประกอบกันขึ้นจากสี่ชั้น คือ ร่างกาย พลังชีวิต ความคิด และ ความรู้ตัว พลังชีวิตรับรู้ได้จากอาการบนร่างกาย การเรียนให้รู้จักและเพิ่มพูนพลังชีวิตทำได้โดยฝึกดึงความสนใจออกจากความคิดให้มาอยู่กับความรู้สึกต่างๆบนร่างกายเช่นความรู้สึกวูบๆวาบๆ ซู่ๆซ่าๆ จิ๊ดๆจ๊าดๆ เจ็บๆคันๆ โดยใช้เทคนิคลาดตระเวณความสนใจไปรับรู้ความรู้สึกบนร่างกาย (body scan)

5) Observation หมายถึงการสังเกตสิ่งที่ปรากฎตรงหน้าที่ที่นี่ เดี๋ยวนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสังเกตความคิดของตัวเอง เมื่อถอยความสนใจออกมาจากความคิดหนึ่ง อีกความคิดหนึ่งจะผุดขึ้นมาแทนแบบไม่ขาดสาย เทคนิคที่จะวางความคิดใช้ทั้งวิธีสังเกตดูความคิดจากข้างนอกโดยไม่ไปผสมโรงคิด ให้ความคิดฝ่อไปเอง และทั้งวิธีเฝ้ารอดูการมาของความคิดใหม่

(6.) Alertness หมายถึงเทคนิคการกระตุ้นตัวเองให้ตื่นมารับรู้ปัจจุบันอยู่เสมอ เพราะเมื่อประสบความสำเร็จในการวางความคิดได้ระดับหนึ่งแล้ว เป็นธรรมชาติว่าความง่วงจะเข้ามาครอบครองที่ว่างนั้นแทน การฝึกใช้เทคนิคนี้จะช่วยพาฝ่าข้ามความง่วงไปสู่การตื่นอย่างยิ่ง คือตื่นขึ้นมาในภาวะที่ปลอดความคิด ซึ่งเป็นสภาวะจำเป็นก่อนที่จะฝ่าข้ามอายตนะทั้งหกไปสู่ความรู้ตัวในความว่างได้สำเร็จ

(ุ7.) Concentration ก็คือการจดจ่อให้เกิดสมาธินั่นเอง การเน้นเครื่องมือนี้มากเกิดจากประสบการณ์ของผมเองที่พบว่าเมื่อจดจ่อที่อะไรก็ตามอย่างยิ่งโดยผ่อนคลายไปด้วย นอกจากความคิดจะหมดไปแล้ว สิ่งที่ตั้งใจจดจ่อก็จะหายไปด้วย เหลือแต่ความรู้ตัวในความว่างโดยไม่มีความคิดอะไร ตรงนี้เป็นหลักกิโลเมตรที่สาม ณ ตรงนี้คือการเปิดรับหรือขยายการรับรู้ (perception) ให้กว้างขวางลึกซึ้งโดยไม่ผ่านอายตนะทั้งหก เป็นจุดเปลี่ยนที่จะทำให้ได้เห็นทุกอย่างตามที่มันเป็น

ตลอดสี่วันที่อยู่ด้วยกัน เราจะวนเวียนอยู่กับการฝึกปฏิบัติใช้เครื่องมือเหล่านี้

  1. Spiritual Retreat เหมาะสำหรับใครบ้าง

(1.) ผู้ที่มีความเครียดซึ่งแก้เองไม่ตก และผู้ที่ป่วยเป็นโรคต่างๆที่มีความเครียดเป็นสาเหตุร่วม

(2.) ผู้ที่ต้องการแสวงหาความสงบทางใจ ด้วยการฝ่าข้ามหรือหลุดพ้นไปจากกรงความย้ำคิดของตัวเอง

(3.) ผู้ที่ต้องการค้นหาความหมายของชีวิต ว่ามีอะไรอยู่อีกบ้าง นอกเหนือจากสิ่งเร้าที่รับรู้ได้ผ่านอายตนะทั้งหก และนอกเหนือจากกิจกรรมหลักของชีวิตทั่วไปอันได้แก่การเกิดมา กิน ขับถ่าย สืบพันธุ์ นอน แก่ แล้วตายไป

  1. ตารางกิจกรรม Spiritual Retreat

สถานที่: เวลเนสวีแคร์เซ็นเตอร์ อ.มวกเหล็ก

วันเวลา: (SR27) วันที่ 11-14 กพ. 66 (สี่วันสามคืน)

วันแรก

11.00 – 12.00 น. Learn from previous experience เรียนรู้จากประสบการณ์ของกันและกัน

12.00 – 14.00 น. Lunch break พักกลางวัน ในความเงียบสงบ

14.00 – 15.30 น.

Attention ความสนใจ
Breathing ลมหายใจ
Muscle Relaxation การผ่อนคลายร่างกาย
Feeling & Life energy ความรู้สึกและพลังชีวิต 3,1 Feeling the breath 3.2 Where are my hands 3.3 Body scan การรู้ตัวทั่วพร้อม
Sheaths of life องค์ประกอบของชีวิต

15.30 – 16.00 น. Coffee Break พักผ่อนในความเงียบสงบ

16.00 – 17.00 น. Muscle relaxation through Yoga โยคะภาวนา วางความคิดผ่านการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ

17.00 – 18.00 น. เวลาส่วนตัว

18.00 – 19.00 น. Dinner อาหารเย็น

วันที่สอง

07.00 – 08.00 น. Morning routine กิจวัตรยามเช้า (โยคะ+สมาธิ+ชี่กง)

8.00 – 09.30 น. Breakfast รับประทานอาหารเช้า เวลาส่วนตัว

09.30 – 10.45 น.Thought ความคิด (Thought formation กลไกการเกิดความคิด, Identity สำนึกว่าเป็นบุคคล, Compulsive thinking, Thinking a thought การคิด, Aware of a thought การสังเกตความคิด),

10.45-11.15 Break พักผ่อนในความสงบ

11.15 – 12.00 Thought enquiry การสอบสวนความคิด, Though dismissal การทิ้งความคิด, Acceptance การยอมรับยอมแพ้

12.00 – 14.00 น. Lunch break พักกลางวัน ในความเงียบสงบ

14.00 – 15.00 น. Alertness + Pranayama การกระตุ้นตัวเองให้ตื่นและใช้พลังชีวิตทิ้งความคิด

15.00 – 15.30 น. Meditative Concentration การจดจ่ออย่างผ่อนคลาย

15.30 – 16.30 น. Break พักในความเงียบสงบ

16.30-17.30 น. Balance in movement

วันที่สาม

07.00 – 08.00 น. Morning routine กิจวัตรยามเช้า (โยคะ+สมาธิ+ชี่กง)

08.00 – 09.30 น. Breakfast รับประทานอาหารเช้า และเวลาส่วนตัว

09.30 – 10.30 น. Painting to focus on process เขียนภาพลายเส้นและสีน้ำ

10.30 – 11.00 น. Coffee Break พักในความเงียบสงบ

11.00 – 12.00 น. Painting assignment ทำการบ้านเขียนภาพสีน้ำ

12.00 – 14.00 น. Lunch Break พักกลางวัน

14.00 – 15.30 Awareness ความรู้ตัว, Mantra มันตรา, และ Anapanasati อานาปานสติ เทคนิคการปล่อยจิตไปไม่ควบคุม

15.30 – 16.00 น. Break ในความเงียบสงบ ไตร่ตรองสิ่งที่ได้เรียนรู้

16.00 – 17.00 น. Sat Sang สนทนาถามตอบแก้ไขปัญหาการปฏิบัติ

วันที่สี่ (วันสุดท้าย)

06.00 – 08.00 น. Morning routine กิจวัตรยามเช้า (โยคะ+สมาธิ+ชี่กง)

08.00 – 09.30 น. รับประทานอาหารเช้าและทำกิจส่วนตัว

09.30 – 10.30 น. Acceptance การหลุดพ้นด้วยวิธียอมรับยอมแพ้

10.30 – 11.00 น. Coffee Break ในความเงียบสงบ

11.00 – 12.00 น. Satsang: Summary of techniques สรุปเทคนิคการวางความคิด

12.00 – 13.00 น. ปิดแค้มป์ รับประทานอาหารกลางวันแล้วอำลา

ตารางอาจเปลี่ยนได้ตามความขีดความสามารถที่จะรับได้ของผู้เรียน

ค่าใช้จ่ายในการมาเข้าแค้มป์ Spiritual Retreat

คนละ 12,000 บาท ราคานี้รวมอาหารวันละสามมื้อ อาหารว่างวันละสองเบรค ค่าที่พักห้องพักเตียงคู่ห้องละ 2 คน สี่วัน สามคืน ทั้งหมดนี้ไม่รวมค่าเดินทาง ทุกคนต้องเดินทางไปและกลับด้วยค่าใช้จ่ายของตนเอง

  1. จำนวนที่รับเข้าแค้มป์

รับไม่เกิน 24 คน

  1. วิธีลงทะเบียนเข้าแค้มป์

โทรศัพท์ลงทะเบียนกับเวลเนสวีแคร์ หมายเลข 0636394003 หรือไลน์ @wellnesswecare คลิก https://lin.ee/6JvCBsf

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

19 มกราคม 2566

กลไกการเกิดปัญญาญาณ เป็นอย่างไร

ภาพวันนี้: กล่ำปลีแดง ฝีมือปลูกหมอสันต์ (ที่แมงกินไปเท่าไหร่ไม่นับ)

จารย์คะ

หนูขออนุญาตถามความเห็นนอกเรื่องสักหน่อย เผอิญเมื่อวานหนูนั่งดูดิโอต่างๆ เริ่มจาก talk เรื่อง health town ของอาจารย์ ไปเรื่อยๆ แล้วไม่รู้ยังไง ไปจบที่เรื่องของประวัติ ดร. … และประโยชน์การทำสมาธิ

อาจารย์คะ อาจารย์ว่าสิ่งต่างๆที่ดร. … พูดมีมูลความจริงไหมคะ ขอโทษนะคะที่ถามนอกเรื่อง (หนูอยากเข้าใจว่าเมื่อจิตสงบแล้ว wisdom/insight บังเกิด มันเป็นยังไง)

………………………………………………………………

ตอบครับ

ผมจะไปรู้เรอะว่า ดร. … พูดอะไรในวิดิโอของเขาบ้าง แต่ผมพอรู้ว่าปัญญาญาณ (intuition/wisdom/insight) มีกลไกการเกิดอย่างไร ผมจะอธิบายให้คุณฟังนะ ถ้าเก็ทก็เก็ท ถ้าไม่เก็ทก็ไม่เป็นไร เพราะชีวิตเรานี้มันมีสิ่งรอบตัวเราอยู่สองวง วงใน คือสิ่งที่อายตนะของเรารับรู้และตีความได้ บอกกันด้วยภาษาได้ (known) กับ วงนอก ซึ่งเป็นส่วนของชีวิตที่พ้นไปจากร่างกายและความคิด (unknown) ซึ่งวงนอกนี้ภาษาไปไม่ถึง การจะอธิบายเรื่องที่ภาษาไปไม่ถึงด้วยภาษามันเก็ทยาก ถ้าคุณไม่เก็ทก็รอให้คุณมีประสบการณ์กับตัวเองก่อนแล้วคุณก็จะเก็ท โอเค.นะ โปรดสดับ

ประเด็นที่ 1. ลักษณะของปัญญาญาณ

เปรียบเทียบแล้ว ปกติถ้าเป็นเชาวน์ปัญญา (intellect) หรือความคิดอ่านเชิงตรรกะของเรามีวิธีการทำงานว่าเมื่อได้รับสิ่งเร้าชนิดใดชนิดหนึ่งเข้ามา ทางตาหูจมูกลิ้นสัมผัสหรือใจ ณ เวลาเดี๋ยวนี้ โดยอัตโนมัติมันจะเชื่อมโยงกับความจำในอดีตที่เหมือนกัน หรือที่เกี่ยวข้องกัน ทีละชิ้นๆ ค้นได้อันหนึ่งก็เอามาเปรียบเทียบเชิงวิเคราะห์ด้วยตรรกะหรือคณิตศาสตร์กับสิ่งที่เพิ่งรับเข้ามาทีหนึ่ง เปรียบเทียบวิเคราะห์ไปทีละชิ้นๆๆ แล้วเอามาต่อๆกันเป็นเรื่องราว แบบมองครั้งแรกให้เห็นเป็นจุดเล็กๆก่อน แล้วค่อยๆขยายจนเห็นความสัมพันธ์กันไปมาเป็นโครงข่ายขนาดใหญ่ มีการใช้ขั้นตอน (algorithm) แล้วก็รายงานเรื่องทั้งหมดออกมาเป็นตุเป็นตะ ย้อนแสดงความสัมพันธ์กับเรื่องในอดีตได้ และคาดการณ์ไปในอนาคตได้ เปรียบกับคอมพิวเตอร์ก็เป็นการประมวลผลแบบ serial processing คือรับข้อมูลเข้ามาทีละอันต่อๆกันขณะเดียวกันก็ปะติดปะต่อกันไปด้วย ซึ่งต้องรายงานผลเป็นภาษานะ มีนิรุกติศาสตร์ มีตรรกะ

ส่วนปัญญาญาณ (intuition) นั้นเหมือนคุณมีเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ และพอร์ตรับข้อมูลของคุณใหญ่มาก จนคุณสามารถประมวลข้อมูลแบบ parallel processing ได้เลย คือรับเอาข้อมูลทั้งหมดเข้ามาตูมเดียวในรูปแบบที่ดั้งเดิมเหมือนข้อมูล RAW ของกล้องถ่ายรูปโดยไม่ผ่านอยาตนะทั้งหก แบบว่าซึมหรือแผ่ขึ้นมาตรงกลางความตื่นหรือความสามารถรับรู้ดื้อๆ ข้อมูลมาเป็นภาพใหญ่ตูมเดียวจบเลยไม่ต้องมีขั้นตอนหรือ algorithm ไม่ต้องเช็คกับอะไรอีกทั้งสิ้นเพราะในภาพใหญ่นั้นมีรายละเอียดซับซ้อนพิศดารเชื่อมโยงกันไว้หมดแล้ว การรายงานก็ต้องเป็นในลักษณะของรูปภาพหรือ impression นะ ไม่ใช่รายงานเป็นภาษา ไม่ใช่รายงานเป็นตัวเลข การทำความเข้าใจก็คือเมื่อเห็นภาพใหญ่แล้วจึงค่อยไล่ไปหารายละเอียดซึ่งประกอบขึ้นจากจุดเล็กๆแบบ pixel ของภาพจากกล้องดิจิตอล ไม่มีการใช้ข้อมูลจากอดีตมาช่วยแจงรายละเอียด ไม่มีการคาดการณ์อะไรไปในอนาคต แค่บอกว่าเดี๋ยวนี้เป็นอย่างนี้

ประเด็นที่ 2. กรอบของการมอง

เชาว์ปัญญาและตรรกะเป็นการมองออกไปโดยมีตัวกรองสองชั้น ชั้นที่หนึ่ง คือขีดความสามารถของอายตนะเอง และ ชั้นที่สอง คือกรอบของการมอง (paradigm) ที่เซ็ทไว้โดยความคิดหรืออัตตาของเราเอง กรอบนี้มันจะบังของจริงให้เหลือนิดเดียว โดยที่มันบังของจริงส่วนใหญ่ไว้หมดไม่ให้เราเห็นเพราะมันไม่อยากให้เราเห็น

ขณะที่ปัญญาญาณเป็นการมองออกไปโดยไม่มีตัวกรอง คือไม่ผ่านอายตนะซึ่งสะเป๊คมักจะต่ำ และไม่มีกรอบความคิดเป็นขอบบัง กรอบบังคือความคิด ดังนั้นปัญญาญาณจะไม่เกิดในที่ที่มีความคิด ต้องสงัดจากความคิด 100% ปลอดจากอัตตา 100% ปัญญาญาณจึงจะเกิดได้ มันเหมือนกับการรับฟังวิทยุกระจายเสียง มีเป็นร้อยสถานีที่กำลังออกอากาศพร้อมกัน แต่เชาวน์ปัญญาจูนคลื่นไปรับฟังได้ทีละสถานี แต่ปัญญาญาณไม่มีกรอบจึงรับฟังได้หมดทุกสถานีพร้อมกัน แถมฟังแบบรู้เรื่องด้วย หิ หิ

ประเด็นที่ 3. กลไกการเกิดปัญญาญาณ

ตรงนี้มันเป็นเรื่องเข้าใจยากนิดหน่อย คือเมื่อพ้นไปจากร่างกายและความคิด ชีวิตในส่วนที่เหลือนี้ก็คือ spirituality ปกติความคิดหรืออัตตาจะปิดกั้นไม่ให้เราเข้าถึงส่วนนี้ได้ แต่เมื่อประสบความสำเร็จในการวางความคิด ซึ่งก็คือประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนอัตตา จากการเป็นบุคคลคนหนึ่งมีผลประโยชน์ที่ต้องปกป้องเชิดชู ไปสู่การไม่เป็นอะไรเลย ชื่อก็ไม่มี ตัวก็ไม่มี มีแต่ความตื่นและความรู้ตัว ซึ่งมีธรรมชาติเชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวกับทุกชีวิตทุกสรรพสิ่งนอกตัวเรา ถ้าผมจะใช้คำเรียกตรงนี้ว่า “เมตตาธรรม” คุณอาจเข้าใจมันง่ายขึ้นกระมัง ที่ตรงการเป็นเมตตาธรรมนี้แหละที่กรอบในการรับรู้สิ่งต่างๆจะไม่มี การเห็นอย่างกว้างไกลจะเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งของมัน

ผมอาจอธิบายได้อีกอย่างว่า เมื่อสงัดจากความคิด ปลอดอัตตา มีแต่ความตื่นและความรู้ตัวอยู่โดยไม่เหลืออะไรอย่างอื่นแล้ว ณ จุดนั้นจะมีพลังงานไหลเข้ามา พลังงานนั้นมีธรรมชาติสงบเย็นและสร้างสรรค์ หมายความว่าพลังงานนั้นเป็นปัญญาชี้ให้รู้เห็นตามที่เป็น ไม่ใช่รู้เห็นไปในทางเพื่อเอื้อประโยชน์ต่ออัตตา

ผมอธิบายได้แค่นี้แหละ ถ้าไม่เก็ทก็ให้ทดลองด้วยตัวเอง ไปนั่งสมาธิจนสงัดจากความคิด แล้วก็จะพบเห็นด้วยประสบการณ์ของตัวเอง

อีกอย่างหนึ่งที่สำคัญ ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ความหลุดพ้นนะ ปัญญาญาณเป็นเพียงกะพี้ ไม่ใช่แก่น แก่นคือการวางความยึดมั่นถือมั่นในอัตตาได้สำเร็จ ดังนั้นอย่าหลงไปจับเอากะพี้ว่าเป็นแก่น

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

ชั้นเรียนวาดรูปพิเศษ วาดรูปวัดอรุณจากร้าน The Deck

(วันนี้เป็นโฆษณาแทรก แทนการตอบคำถาม)

คือหมอสมวงศ์กับพวกจะไปเรียนการวาดภาพสีน้ำจากของจริง (still life) คือวาดภาพพระปรางค์วัดอรุณ โดยวาดจากห้องแอร์ของร้านอาหาร The Deck ซึ่งอยู่ที่ท่าน้ำซอยประตูนกยูง ถนนมหาราช ข้างวัดโพธิ์

ศิลปินผู้สอนคือ อาจารย์สมโภชน์ สิงห์ทอง เขาจัดสองรอบ คือรอบแรกในวันที่ 8 และวันที่ 22 กพ. 66 เวลา 10.00-16.00 น. แต่ละรอบรับไม่เกิน 12 คน

อาจารย์ฝากบอกให้ผมแจ้งข่าวแฟนๆบล็อกเผื่อมีใครที่รับชอบงานศิลปะจะไปเรียนด้วย ค่าลงทะเบียนเรียนคนละ 1,750 บาท ราคานี้รวมอุปกรณ์การวาดภาพให้พร้อมหมดไม่ต้องขนไปเอง รวมค่าอาหารและคอฟฟี่เบรคของร้าน The Deck ท่านที่สนใจลงทะเบียนเรียนได้โดยโทรศัพท์คุยและชำระค่าลงทะเบียนได้โดยตรงกับ ผจก.ของอาจารย์ชื่อคุณทิพย์ เบอร์ 0816203446 หรือไลน์ angel_tip

ขอให้วาดรูปกันให้สนุกนะครับ ให้สมกับเป็นแฟนบล็อกหมอสันต์ที่ถือม็อตโต้

“Focus on enjoyment, not achievement”

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]

ปวดแบบปลายประสาทอักเสบ กินยามานานแล้วไม่หาย จะเลิกกินยาได้ไหม

ภาพวันนี้: ท้องฟ้าแห้ง ใบไม้เหลือง รับเทศกาลลี่ชุน (ตรุษจีน)

เรียน คุณหมอสันต์ครับ

          ขอสอบถามคุณหมอหน่อยครับ ผมมีอาการแสบร้อนที่ฝ่ามือฝ่าเท้า โดยเฉพาะที่เท้าไม่สามารถเหยียบพื้นได้เลยต้องใช้ผ้ารองเท้าหรือเวลาอยู่ในบ้านจะใช้รองเท้านิ่มๆที่เป็นผ้า อาการเหล่านี้จะเป็นมากเวลาก่อนนอนประมาณซัก 1-3 ทุ่ม ไปพบคุณหมอๆบอกว่าเป็นโรคปลายประสาทอักเสบ ตอนนี้คุณหมอให้ทานยา ไลลิก้าและ ลาโมไตจีนส์ 75mg เช้าเย็น ครั้งละ 1เม็ด ทานยามาประมาณ1ปีแล้วยังไม่หาย ผมควรทานยาต่อมั้ยครับ หรือไม่ทราบว่าคุณหมอมีแนวทางการรักษาอย่างอื่นมั้ยครับ

ขอบคุณครับ

…………………………………………………………….

ตอบครับ

1.. ถามว่ามีอาการปวดแสบปวดร้อนฝ่าเท้า กินยาบรรเทาอาการมา 1 ปีแล้วไม่หาย ควรจะกินยาต่อไหม ตอบว่า อ้าว.. ก็ในเมื่อกินมาตั้งนานแล้วมันก็ยังบรรเทาอาการไม่ได้ แล้วจะกินต่อไปทำไมละครับ อย่าลืมว่ายา pregabalin (Lyrica) ก็ดี ยา lamotrigine (Lamictal) ก็ดี ล้วนเป็นยากันชักซึ่งเอามาใช้บรรเทาอาการปลายประสาทอักเสบโดยที่ไม่ได้รักษาโรคที่เป็นสาเหตุ คือไม่ใช่ยาที่จะรักษาให้โรคหายอยู่แล้ว เมื่อมันบรรเทาอาการไม่ได้ก็ควรหยุดกิน อีกประการหนึ่งยาสองตัวนี้ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทกลางโดยตรง ยาที่ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทกลางทุกตัวกินนานไปก็ล้วนจะก่อผลข้างเคียงทางระบบประสาททั้งสิ้น รวมถึงอาการนอนไม่หลับ การมองเห็นเสียไป การเคลื่อนไหวและทรงตัวเสียไป เกิดความผิดปกติในการคิด สับสน กล้ามเนื้ออ่อนแรง และ…สมองเสื่อม ดังนั้นถ้าจำเป็นต้องกินก็กินให้สั้นที่สุด เลิกให้เร็วที่สุด ไม่ใช่กินกันเป็นปีๆ แต่ว่าหากกินมานานอย่างคุณนี้การจะเลิกต้องค่อยๆเลิกคือค่อยๆลดขนาดลงโดยใช้เวลาเลิกนานเป็นเดือน ไม่งั้นจะเกิดการลงแดง จนอาจชักแด๊กๆหรือไปฆ่าตัวตายได้

2.. ถามว่าหมอสันต์มีวิธีรักษาปลายประสาทอักเสบไหม ตอบว่าไม่มีครับ หิ หิ แต่มีข้อมูลที่อาจจะเป็นประโยชน์ให้คุณเอาไปทดลองดู คือ

2.1 ได้เคยมีการทำวิจัยเอาผู้ป่วยเบาหวานที่มีอาการปลายประสาทอักเสบแบบปวดแสบปวดร้อนรุนแรงมา 21 คน เอามาขังไว้ในโรงพยาบาลแล้วบังคับให้กินอาหารที่มีแต่พืชไม่มีเนื้อสัตว์หรือนมหรือไข่เลย บวกกับให้เดินออกกำลังกายทุกวันวันละครึ่งชั่วโมง ผลปรากฎว่า 17 คนอาการปวดหายไปเลย บางมีอาการตื้อๆค้างอยู่บ้าง ผลพลอยได้คือทุกคนน้ำหนักลดเฉลี่ยคนละ 4.5 กก. เลิกยากินรักษาเบาหวนได้หมด และลดยาฉีดลงได้เฉลี่ยครึ่งหนึ่ง และเมื่อติดตามดูผู้ป่วยทั้ง 17 คนที่หายปวดว่าเมื่อจบงานวิจัยแล้วเขาจะกลับไปกินเนื้อสัตว์อีกหรือเปล่า พบว่า 16 คนไม่กลับไปกินเนื้อสัตว์เลย มีคนเดียวที่กลับไปกินเนื้อสัตว์ เพราะคนที่ปวดประสาทแบบถึงกึ๋นมาแล้วจะให้ทำอะไรนานแค่ไหนก็ทำได้ทั้งนั้น ขอให้หายปวดเถอะ

     ทำไมการเลิกกินเนื้อสัตว์มากินแต่พืชจึงรักษาอาการปวดประสาทได้ วงการแพทย์ก็ไม่รู้เหมือนกัน ได้แต่เดาเอา เช่นเดาว่าคงเป็นเพราะไขมันทรานส์ซึ่งมีอยู่ตามธรรมชาติในอาหารเนื้อสัตว์ไปก่อการอักเสบในเส้นประสาท เพราะมีงานวิจัยเอาเข็บเจาะดูดชิ้นเนื้อเยื่อไขมันใต้ผิวหนังที่ก้นของคนกินเนื้อกินนมมาตรวจเปรียบเทียบกับเนื้อเยื่อไขมันของคนที่ไม่กินเนื้อไม่กินนม พบว่าเนื้อเยื่อไขมันของคนกินเนื้อกินนมมีไขมันทรานส์เป็นส่วนประกอบ ขณะที่คนไม่กินเนื้อไม่กินนมไม่มีไขมันทรานส์เป็นส่วนประกอบ

     บ้างก็เดาว่าคงเป็นเพราะกินพืชแล้วการไหลเวียนของเลือดไปเลี้ยงเส้นประสาทดีขึ้น เพราะงานวิจัยการตัดชิ้นเนื้อปลายประสาทผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงมาตรวจพบว่าหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงปลายประสาทนั้นตีบแคบหรืออุดตันเสียส่วนหนึ่ง ระดับออกซิเจนในเนื้อเยื่อบริเวณนั้นต่ำกว่าในเลือดดำเสียอีก ทำให้ปลายประสาทขาดออกซิเจนจนปวดขึ้น

     น่าประหลาดที่วงการแพทย์ไม่มีการพูดถึงงานวิจัยนี้เลย ในการสอนแพทย์ก็ได้แต่พูดกรอกหูนักศึกษาแพทย์เช้าเย็นว่าปลายประสาทอักเสบไม่มีวิธีรักษาให้หาย ตัวผมเองก็เพิ่งมาอ่านพบงานวิจัยนี้เมื่อตอนที่ผมตัดสินใจรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบของตัวเองด้วยการเปลี่ยนอาหารมากินแต่พืชเป็นหลัก ผมเข้าใจว่าที่วงการแพทย์ไม่มีการพูดถึงงานวิจัยนี้เป็นเพราะแพทย์เกือบทั้งหมดเป็นนักบริโภคเนื้อสัตว์ จึงไม่ถนัดที่จะพูดถึงสิ่งที่ตัวเองไม่ได้ทำหรืออาจจะทำไม่ได้

2.2 การทบทวนงานวิจัยระดับดี 7 งานซึ่งวิจัยการใช้วิตามินบี.12 รักษาอาการปลายประสาทอักเสบพบว่ามีอยู่ 3 งานวิจัยที่พบว่าวิตามินบี.12 ช่วยได้ แต่อีก 4 งานวิจัยพบว่าวิตามินบี.12 ไม่ได้ช่วยอะไร แม้เรื่องนี้ยังเป็นเรื่องเถียงกันไม่ตกฟาก (controversy) ในวงการแพทย์อยู่ แต่ผมแนะนำว่าจากข้อมูลเท่าที่มีอยู่นี้มันไม่เสียหลายที่คุณจะทดลองกินวิตามินบี.รวมซึ่งมีวิตามินบี.12 ร่วมอยู่ด้วยเพื่อรักษาอาการปลายประสาทอักเสบดู หากได้ผลก็ดีไป หากไม่ได้ผลก็แล้วไป

2.3 ตัวผมเองก็เคยมีประสบการณ์กับอาการปวดที่ไม่รู้เลิกรู้รามาก่อน วิธีที่ผมใช้เองคือ “เอาธรรมะเข้าขย่ม” หมายความว่าผมยอมรับอาการปวด คือการเกิดมาเป็นคนนี้การจะต้องเจ็บปวดนั้นมันเป็นของแน่ แต่การจะเป็นทุกข์ทรมานเพราะความปวดหรือไม่นั้นเรามีสิทธิ์เลือกได้ เพราะความปวด (pain) นั้นเป็นความรู้สึก (feeling) ส่วนความทุกข์ทรมาน (suffering) นั้นเป็นความคิด (thought) ความคิดจะเกิดขึ้นต่อยอดบนความรู้สึกเสมอถ้าเราเผลอ แต่ถ้าเราเอาความสนใจมาจดจ่อสังเกตได้ตั้งแต่เมื่อมันเป็นความปวด ความคิดต่อยอดจะไม่เกิดขึ้น หรือหากเกิดขึ้นแล้วหากเราเฝ้าสังเกตอยู่ ความคิดนั้นก็จะฝ่อหายไปเอง นี่มันเป็นธรรมชาติของความคิด คือมันจะหลบหน้าความรู้ตัวเสมอ นี่มันเป็นธรรมะภาคปฏิบัติขั้นสูง คุณลองเอาไปฝึกปฏิบัติดูนะครับ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม

1. Crane MG, Sample C. Regression of diabetic neuropathy with total vegetarian (vegan) diet. J Nutr Med. 1994;4:431–439.
2. Sun Y, Lai MS, Lu CJ. Effectiveness of vitamin B12 on diabetic neuropathy: systematic review of clinical controlled trials. Acta Neurol Taiwan. 2005;14:48–54.

[อ่านต่อ...]

18 มกราคม 2566

อุลตร้าซาวด์พบก้อนไขมันขนาดเล็กที่ไต ควรตรวจซีที.แบบฉีดสีซ้ำไหม

(ภาพวันนี้: ดอกทิวลิปงอกและบานแล้วที่บ้านมวกเหล็ก เป็นข่าวใหญ่ประจำสัปดาห์ของหมอสันต์)

เรียนคุณหมอสันต์

ติดตามอ่านมานานแล้วคะ ขอถามว่าหนูไปตรวจสุขภาพประจำปีมา ทำอุลตร้าซาวด์ช่องท้องแล้วพบมีก้อนที่ไตขนาด 0.2 x 0.4 x 0.7 ซม. หมออุลตร้าซาวด์บอกว่า 90% เป็นก้อนไขมัน แต่หมอที่ตรวจสุขภาพนัดทำ CT แบบฉีดสี หนูกลัวจะต้องฉีดสี อยากถามว่าจำเป็นต้องทำ CT ไหม แค่ติดตามดูด้วยอุลตร้าซาวด์สัก 6 เดือนจะได้ไหม

ขอบคุณค่ะ

…………………………………………………………………………..

ตอบครับ

ก่อนจะตอบคำถามนี้ขอเล่าวิธีสืบค้น (investigate) และรักษาโรคของแพทย์ก่อน ว่าแพทย์จะตัดสินใจสืบค้นหรือรักษาอะไรก็ตามไปตามปัจจัย 3 ตัว คือ

(1) โอกาสความเป็นไปได้ (probability) ที่ประเมินจากหลักฐานที่มี ณ ขณะนั้น

(2) ผลการชั่งน้ำหนักประโยชน์และความเสี่ยงของการสืบค้นหรือรักษาในขั้นต่อไป(ทำดีหรือไม่ทำดี)

(3) ข้อมูลปัจจัยแวดล้อมตัวผู้ป่วย ณ ขณะนััน เช่น อาการ อายุ เพศ ถิ่นที่อยู่ อาชีพ ความกลัวหรือความกังวลของคนไข้ เป็นต้น

เอาละ คราวนี้มาตอบคำถามของคุณ

1.. ถามว่าหากสืบค้นต่อไปด้วยซีที.แบบฉีดสีด้วย (contrast CT) มีโอกาสที่จะได้ประโยชน์มากไหม ตอบว่าได้ประโยชน์น้อยแบบจิ๊บๆมาก เพราะ

(1) อุลตร้าซาวด์ก็บอกได้แล้วว่า 90% เป็นก้อนไขมัน แล้วโอกาสที่จะเป็นอย่างอื่นมันจะเหลือมากไหมละครับ ก็ 100% ลบด้วย 90% เหลือแค่ 10% แล้วใน 10% นี้ก็ใช่ว่าซีทีจะบอกได้ว่าเป็นอะไรนะ ต้องไปลุ้นกันอีกที

(2) อย่าลืมว่าในการทำซีทีช่องท้อง ความหนามาตรฐานของการซอยความถี่ในการตัดภาพ (slice thickness) คือ 3 มม. แต่ก้อนของคุณมีความหนาแค่ 2 มม.เองนะ การจะตัดซีที.ให้ผ่านก้อนเนื้อพอดีให้อ่านได้ครบถ้วนเป็นตุเป็นตะเนี่ย โห มันต้องอาศัยดวงมากเลยนะ ผมหมายถึงว่าก้อนเล็กขนาดนี้แม้ซีทีก็ช่วยให้รายละเอียดไม่ได้มากนัก

(3) ปัจจัยและเหตุการณ์แวดล้อมไม่มีอะไรบ่งชี้เลยว่าจะเป็นมะเร็งที่ไต (เช่น ผลตรวจปัสสาวะก็ปกติดี)

2.. ถามว่าความเสี่ยงของการทำซีทีแบบฉีดสีจะคุ้มกับประโยชน์ที่จะได้จากการตรวจครั้งนี้ไหม ตอบว่าไม่คุ้มหรอกครับ เพราะจากข้อ 1. ก็สรุปได้แล้วว่าประโยชน์ที่ได้จากการตรวจมีน้อยมาก ส่วนความเสี่ยงของการฉีดสารทึบรังสีและการได้รับรังสีปริมาณมากๆนั้นก็เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่ามีอะไรบ้าง เช่นแพ้ เกิดพิษต่อไต มีโอกาสทำให้เป็นมะเร็งได้ เป็นต้น ซึ่งความเสี่ยงประมาณนี้ย่อมจะคุ้มอยู่ทำหากเป็นเรื่องจำเป็นต้อง แต่ในกรณีของคุณนี้ผมไม่เห็นว่าเป็นเรื่องที่จำเป็นจะต้องทำแต่อย่างใด

3.. ถามว่าหากเลือกไม่ทำซีทีฉีดสี แต่เลือกวิธีตรวจติดตามดูด้วยอุลตร้าซาวด์ทุก 6 เดือนจะดีกว่าไหม ตอบว่าดีกว่าแน่นอนครับ เพราะก้อนเล็กขนาดนี้ไม่ว่าจะทำการตรวจดูภาพ (imaging) วิธีไหน อุลตร้าซาวด์หรือซีที. ก็ล้วนมีความไวต่ำในการจะบอกว่าเป็นเนื้องอกแบบไหน ขณะที่การติดตามดูซ้ำๆหลายครั้งเมื่อเวลาผ่านไปจะมีความไวมากกว่า เพราะเนื้องอกชนิดมะเร็งนั้นเป็นที่ทราบกันดีว่าจะมีอัตราการเพิ่มขนาดไปอีกเท่าตัว (doubling time) ในชั่วเวลาเพียง 6-12 เดือน ทางเดียวที่จะรู้ว่าเนื้องอกเพิ่มขนาดหรือไม่เพิ่มก็มีวิธีเดียวคือติดตามตรวจดูด้วยภาพซ้ำ

กล่าวโดยสรุป

สำหรับก้อนที่ปรากฎเป็นลักษณะของก้อนไขมันที่เนื้อไตที่มีขนาดเล็กมากระดับเป็นมม.โดยไม่มีอาการผิดปกติใดๆ การตรวจเพิ่มเติมด้วยซีที.ร่วมกับฉีดสี ได้ประโยชน์ไม่คุ้มความเสี่ยง ควรเลือกใช้วิธีตรวจติดตามเป็นระยะด้วยอุลตร้าซาวด์ไปสักหนึ่งปีจะได้ประโยชน์คุ้มความเสี่ยงมากกว่า

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

[อ่านต่อ...]