โรคความดันเลือดสูงนั้นจัดการไม่ยาก แต่ที่ยากคือความกลัว
เรียนคุณหมอสันต์ที่นับถือ
ผมอายุ 54 ปี สูง 172 ซม. น้ำหนัก 64 กก. ไม่มีโรคประจำตัว อาหารที่บ้านรสจืด ไม่เค็ม ไม่หวาน ไม่มัน ออกกำลังกายเป็นประจำ ปั่นจักรยาน 30 นาที 5 ครั้งต่อสัปดาห์ รวมกับยก weight และ touch heel
วัดความดันที่ รพ เมื่อเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา จำตัวเลขไม่ได้ แต่ปกติดี เมื่อวันศุกร์ที่ 20 ธค ที่ผ่านมา ผมรู้สึกหัวใจเต้นเร็ว และหิวข้าวมาก วัดความดันเลือด ได้ที่ 156/95 ชีพจร 96 เช้าวันเสาร์นี้ ผมทานอาหารเช้าเพิ่มขึ้น วัดความดันเลือด 150/83 ชีพจร 101 แต่ยังรู้สึกหิว และใจยังเต้นเร็วอยู่ อยากทราบว่าอาการนี้เกี่ยวกั บการที่ผมออกกำลังกายมากไป แต่ทานอาหารไม่พอมั้ยครับ เพราะเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ผมไปธุระนอกบ้าน ใช้พลังงานมาก เดินมาก กลับบ้านแล้วยังออกกำลังกายอีก ช่วงนี้ผมงดออกกำลังกาย และทานมากขึ้น
ขอเพิ่มข้อมูลครับ นอกจากความดันสูง หัวใจเต้นเร็ว (เวลานอนตะแคง เหมือนได้ยินเสียงหัวใจเต้น) แล้วยัง รู้สึกอ่อนเพลีย ไม่ค่อยมีแรง และหิวน้ำบ่อยมากครับ
ด้วยความนับถือ
................................................
ตอบครับ
1. ถามว่าหิว ใจสั่น ชีพจรเร็ว ความดันขึ้น อ่อนเพลีย ไม่มีแรง เกิดจากออกกำลังกายมากเกินไปขณะที่อาหารการกินไม่พอหรือเปล่า ตอบว่าเป็นไปได้ครับ เพราะความหิวทั้งเพิ่มชีพจรได้ และเพิ่มความดันเลือดได้ ดังนั้นไม่ต้องไปวินิจฉัยโรคอะไรทั้งสิ้นขณะหิวดอก จะเป็นการหาโรคใส่ตัวเปล่าๆ ให้หาอะไรกินให้หายหิวก่อน
2. ถามว่าอาการความดันขึ้นและชีพจรเร็วนอกจากจะเกิดจากหิวข้าวแล้ว ยังเกิดจากอะไรได้บ้าง ตอบว่าที่แน่ๆคือไม่ได้เกิดจากโรคความดันเลือดสูง แต่มีโอกาสเป็นไปได้มากที่สุดสองอย่างคือ (1) เป็นกลไกการเร่งตัวเองของระบบประสาทอัตโนมัติ เช่นจากความเครียด เป็นต้น (2) เป็นกลไกความผิดปกติของการเผาผลาญอาหาร เช่นโรคต่อมไทรอยด์เป็นพิษ หรือเป็นเบาหวาน เป็นต้น เพราะฉนั้นหากโอกาสอำนวยก็เจาะเลือดตรวจการทำงานของต่อมไทรอยด์ (TSH, FT4) ดูบ้างก็น่าจะดีกว่าอยู่เปล่าๆ
3. ข้อนี้คุณไม่ได้ถามแต่ผมตอบแถม คือคนสมัยนี้พอมีเครื่องวัดความดันเลือดก็ได้โรคเพิ่มมาอีกโรคหนึ่ง คือโรคปสด. แปลว่าประสาทแด๊กซ์ แล้วนานไปก็จะกลายเป็นโรคความดันเลือดสูงจริงๆ เพราะโรคประสาทเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดโรคความดันเลือดสูง ผ่านกลไกกระตุ้นขาเร่ง (sympathetic) ของระบบประสาทอัตโนมัติ
ดังนั้นหมอสันต์แนะนำ ไม่เฉพาะคุณแต่แนะนำแฟนบล็อกทั้งหลายด้วย ว่าแม้มีเงินซื้อเครื่องวัดความดันก็อย่าเพิ่งรีบซื้อ แต่ให้ฝึก (1) ผ่อนคลายร่างกาย (2) วางความคิด (3) ฝึกความรู้ตัว จนสามารถกระโดดออกมาอยู่นอกกระแสความคิดของตัวเองได้เป็นส่วนใหญ่ก่อน จึงค่อยซื้อเครื่องวัดความดัน มิฉนั้นเครื่องวัดความดันจะสร้างกระแสความคิดลบขึ้นในใจที่หมุนวนซ้ำซากทำอย่างไรก็หยุดคิดไม่ได้ เนื่องจากความกลัวป่วยและกลัวตายนี้มันมีเชื้ออยู่ในใจเราเป็นทุนอยู่แล้ว พอมีตัวเลขมาสนับสนุนคราวนี้ก็เลยเพิ่มดีกรีความกลัวขึ้นไปเป็นระดับขี้ขึ้นสมองเลย จะทำยังไงความกลัวนั้นก็ไม่หาย ต้องไปจบที่หมอหัวใจให้เขาสั่งยาให้ตลอดชีพ แต่ก็ใช่ว่ากระแสความกลัวหรือความคิดลบจะบางลงนะ เปล่า กลับมีแต่จะเพิ่มมากขึ้น เพราะนอกจากจะให้ยากินแบบตลอดชีพแบบเพิ่มขึ้นๆแล้ว หมอเขายังจะเสนอจะแนะนำอะไรที่มันยิ่งชักนำไปสู่ความคิดลบๆได้เพิ่มขึ้นอีกไม่รู้จบ เช่นการวิ่งสายพาน การเข้าอุโมงตรวจแคลเซียม การตรวจสวนหัวใจ การทำบอลลูนขยายหลอดเลือดและใส่ขดลวดถ่าง เป็นต้น ทั้งหมดนี้เริ่มต้นจากเพราะมีเงินไปซื้อเครื่องวัดความดันเลือดโดยที่ตัวเองยังใช้มันไม่เป็นแท้ๆ อุปมาเหมือนเศรษฐีใหม่ซื้อรถแพงๆมาขับทั้งๆที่ยังขับรถไม่เป็นก็เลยจบลงด้วยแข้งขาหักเข้าโรงพยาบาล ทั้งหมดนั้นเพราะมีเงินไปซื้อรถแท้ๆ
สำหรับคนที่เป็นโรคความดันเลือดสูงจริงๆขนานแท้ ผมแนะนำว่าให้ทำสี่อย่างต่อไปนี้เพื่อลดความดันเลือดลง คือ
(1) ถ้าอ้วนให้ลดน้ำหนัก
(2) เปลี่ยนอาหารไปกินอาหารแบบมีพืชเยอะ (plant based diet) มีไขมันน้อย มีเนื้อสัตว์น้อยๆหรือไม่มีเลยก็ได้
(3) ออกกำลังกาย
(4) ลดเกลือในอาหารลงเหลือจืดสนิท
หากทำได้ทั้งสี่อย่างนี้ได้อย่างต่อเนื่องความดันเลือดที่สูงจะลดลงมาอยู่ในเกณฑ์ปกติได้ทุกรายโดยไม่ต้องใช้ยา ที่หมอสันต์กล้าพูดอย่างนี้เพราะได้เห็นผู้ป่วยประสบความสำเร็จในการรักษาตัวเองด้วยสี่วิธีนี้มาแยะแล้ว รวมทั้งตัวหมอสันต์เองสมัยอายุ 55 ปีก็เป็นโรคความดัน ไขมัน หัวใจ กับเขาเหมือนกัน โดยความดันตัวบน 168 ทั้งๆที่กินยาอยู่ด้วย เดี๋็ยวนี้ความดันตัวบนอยู่ประมาณ 105 โดยไม่ได้กินยาลดความดันเลย แค่ทำสี่อย่างข้างต้นแค่นั้นแหละ งานวิจัยเชิงวิทยาศาสตร์แบบแบ่งกลุ่มเปรียบเทียบในคนก็ยืนยันครั้งแล้วครั้งเล่าว่าทำสี่อย่างนี้แล้วจะลดความดันเลือดลงได้
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์