ปักหลักอยู่ตรงที่เงียบและว่างเปล่า อย่าไปปักหลักอยู่ในกระแสความคิด



เรียนอาจารย์สันต์

หนูฝึกปฏิบัติการนั่งสมาธิตามคลิปของอาจารย์ที่มีคนแชร์ลิ้งค์มาให้ได้หนึ่งครั้งแล้วรู้สึกชอบ หนูจึงทดลองดาวน์โหลดแอประฆังแห่งสติมาใช้แล้วรู้สึกว่าไม่เวอร์ค มันยุ่งยาก และกรณีมันเวอร์ค คือระฆังดัง มันก็ไม่ใช่เวลาที่หนูจะหยุดมาตั้งสติได้ หนูอยากเอาวิธีของอาจารย์มาใช้ในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่ใช้แต่ขณะนั่งหลับตาทำสมาธิ แต่ทำไม่ได้เพราะหาจุดเริ่มไม่ได้ สรุปหนูก็ยังเป็นคนใจลอยเหมือนเดิม บางทีผ่านไปหลายวันกว่าจะรู้ตัวว่าใจลอยไปเยอะเกินไปแล้ว ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น และหนูต้องแก้ไขอย่างไรคะ

ขอบพระคุณอาจารย์ค่ะ

..........................................................

  

 ตอบครับ

1. ถามว่าวันๆไม่สามารถรู้ตัวได้ กว่าจะรู้ตัวบางทีก็ผ่านไปหลายวัน ทำไมจึงเป็นอย่างนั้น ตอบว่าเป็นเพราะเราไปปักหลักอยู่ในกระแสความคิดเสียจนชิน เราก็จึงล่องลอยตามกระแสไปเหมือนปลาว่ายอยู่ในน้ำ ผมเดาเอาว่าปลามันคงไม่รู้ หรือมองไม่เห็นดอกว่ามันกำลังอยู่ในน้ำ เพราะไปทางไหนก็มีแต่น้ำ ฉันใดก็ฉันนั้น เพราะในกระแสความคิด เราคุ้นกับความคิดจนเหมือนว่าเราคือความคิดเรา เราจะไปมีโอกาสมองเห็นความคิดและออกมาจากมันได้อย่างไร

2. ถามว่าแล้วจะออกจากกระแสความคิดได้อย่างไรโดยไม่ต้องใช้กระดิ่งหรือระฆังช่วยเตือน ตอบว่าออกไม่ได้ดอกครับหากเราไปตั้งต้นที่ในกระแสความคิด เพราะกระแสความคิดมันเป็นของที่มีโมเมนตัมแรงมากจนสุดที่เราโงหัวแข็งขืนหรือฝืนมันได้ มันจะเป็นการง่ายกว่าหากเราเลือกไปปักหลักตั้งต้นเอาตรงที่เงียบและว่างเปล่าก่อน อุปมาเหมือนเราไปเที่ยวเมืองนอกด้วยวิธีกินนอนอยู่ในเรือทุกวันทุกคืนเราก็ไม่เห็นดอกว่าภาพใหญ่ของชีวิตในเรือมันมีลักษณะลอยล่องไปตามกระแสน้ำอย่างไรเพราะในเรือเราก็เต้นรำ ร้องเพลง กินข้าว ตีเทนนิส ว่ายน้ำในสระไปตามเรื่อง ต่อเมื่อเราย้ายจากเรือขึ้นไปนอนที่โรงแรมบนฝั่งแล้วมองลงมาในแม่น้ำเราจึงจะเห็นว่าชีวิตชาวเรือเขาลอยเท้งเต้งไปตามน้ำอย่างไร 

    ในเรื่องการออกจากกระแสความคิดนี้ในทางปฏิบัติก็คือเราต้องออกไปปักหลักอยู่ตรงที่เงียบและว่างจากความคิดก่อน จากที่ตรงนั้นเมื่อมีความคิดเกิดขึ้น ความคิดจะกลายเป็นสิ่งแปลกปลอมของสถานที่นั้น เราจะรู้ตัวได้ง่ายๆว่ามีความคิดเกิดขึ้นแล้ว 

    วิธีไปปักหลักตรงที่เงียบและว่างเปล่าก็ทำได้ไม่ยาก ผมแนะนำให้ใช้เครื่องมือแค่สองชิ้นเท่านั้น คือการผ่อนคลาย และการสังเกต วิธีปฏิบัติคือหาที่เงียบๆ ธรรมชาติๆ นั่งเหม่อๆก็ได้ หายใจเข้าลึกๆ กลั้นไว้สักพัก ยิ้มที่มุมปากอย่างผ่อนคลาย แล้วปล่อยลมหายใจออกพร้อมกับผ่อนคลายร่างกายทั่วตัว ทำอย่างนี้หลายๆครั้ง นี่เป็นการใช้เครื่องมือชิ้นที่หนึ่ง คือ "การผ่อนคลาย" จากนั้นก็เริ่มสังเกตทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาทางเซ็นเซอร์ของเราเช่น ภาพ เสียง สัมผัสผิวหนัง เป็นต้น สังเกตเฉพาะสิ่งที่อยู่ที่นั่น เดี๋ยวนั้น ปรากฎต่อเราสดๆ ปักหลักอยู่ในความเงียบและความว่างเปล่านั้น สังเกตการเกิดขึ้นของภาพ เสียง สัมผัส ณ เดี๋ยวนั้น ทุกอย่างมันผ่านมาแล้วก็ผ่านไป เราก็แค่รับรู้ นี่เป็นการใช้เครื่องมือชิ้นที่สอง คือ "การสังเกต" และเมื่อความคิดผ่านมา เราก็จะรับรู้ได้โดยง่าย ก็แค่รับรู้อีกนั่นแหละ ไม่ไปผสมโรงคิด ไม่ไปขับไล่ ปล่อยให้มันผ่านเข้ามา สักพักมันก็จะผ่านออกไปเหมือนลมเย็นที่พัดมาถูกผิวหนัง มันมาแล้วมันก็ไป คือเราปักหลักอยู่นอกกระแสความคิด เมื่อมองดูความคิดเราจึงจะเห็น และเป็นธรรมชาติของความคิดเมื่อถูกเรามองเห็นจากข้างนอก มันจะฝ่อหายไปของมันเอง ต่างจากเมื่อเราคลุกกับมันอยู่ข้างในเราจะไม่เห็นมันและมันก็จะใหญ่ขึ้นๆ

    เมื่อคุณประสบความสำเร็จในการปักหลักอยู่ในความเงียบและความว่างเปล่าโดยที่ยังตื่นดีอยู่และไม่ง่วง แม้จะนานแค่หนึ่งวินาที ก็ให้คุณให้จดจำโมเมนต์นั้นไว้ โมเมนต์ที่เราตื่นอยู่ รู้ตัวอยู่ แต่ไม่มีความคิด ตรงนี้แหละที่ผมเรียกว่าความรู้ตัว ให้คุณจำมันให้ได้ จะได้กลับมาตรงนี้ได้แบบง่ายๆและได้บ่อยๆ จนมันกลายเป็นจุดปักหลักที่ถาวรของคุณ เป็นจุดปักหลักที่อยู่นอกกระแสความคิด ทุกครั้งที่คุณต้องคิดอะไรในการทำงานและในการใช้ชีวิตคุณก็ออกจากตรงนี้ไปคิด ถึงเวลาจะคิดก็คิดเสียให้เป็นกิจจะลักษณะ เสร็จกิจแล้วก็รีบกลับมาปักหลักอยู่ตรงที่เงียบและว่างเปล่านี้อีก ใหม่ๆมาตรงนี้ได้วันละหนึ่งครั้งก็หรูแล้ว ต่อไปก็ให้อยู่ตรงนี้ได้นานขึ้นๆจนกลายเป็นที่อยู่ถาวรของคุณไปในที่สุด 

ลองปฏิบัติดูก่อนนะครับ หากทำแล้วไม่ได้ผล ก็เขียนมาอีกได้ แต่ถ้าไม่ได้ลองทำเลย ไม่ต้องเขียนมาก็ได้

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เจ็ดใครหนอ

สอนวิธีแปลผลเคมีของเลือด

กินคีโตไข่ต้มไก่ต้มทุกวันแล้วหลอดเลือดหัวใจตีบ

ความแก่..เหมือนหมาถูกต้อนเข้ามุมให้จนตรอก

ชีวิตเมื่อตายไปแล้ว

เปลี่ยนอาหาร ปั่นจักรยาน น้ำตาลลด ความดันลด แต่ไขมันทำไมไม่ลด

ท่านอายุเก้าสิบแล้วยังไม่รู้ แล้วท่านจะรู้มันไปทำพรื้อละครับ

สิ่งที่ขาดหายไปจากชีวิตคนเราคือความเบิกบาน (Joy)

อายุ 70 ปีถูกคนในบ้านไล่ให้ไปฉีดวัคซีนไข้เลือดออก

มะเร็งต่อมลูกหมากแพร่กระจายไปกระดูกขาแล้ว จะไปต่อไงดี