IBD (Inflammatory bowel disease ) เป็นคนละโรคกับ IBS (Irritable bowel syndrome)
ตัวเงินตัวทองยาวเป็นวาในคลองมวกเหล็ก |
เรียนคุณหมอสันต์
ดิฉันป่วยเป็นโรค IBD ต้องกินยา แต่ก็กินแบบกินๆหยุดๆ บางหมอเรียกโรคของดิฉันว่า IBS และว่ามันเหมือนกันนั่นแหละ คือความเครียดเป็นต้นเหตุ แต่บางหมอก็ว่าไม่เกี่ยวกับความเครียดแต่รักษาไม่หาย ทุกวันนี้หนูกินแต่อาหาร gluten free ตลอด
อยากขอคำแนะนำจากคุณหมอด้วยค่ะ
..................................................
ตอบครับ
ก่อนอื่น IBD (inflammatory bowel disease) เป็นคนละโรคกับ IBS (irritable bowel syndrome) นะครับ คนละโรคคนละเรื่องเลย ไม่เกี่ยวกันเลย
IBD (inflammatory bowel disease) เป็นโรคภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง กล่าวคือมีภูมิคุ้มกันของตัวเองไปทำลายเยื่อบุผนังลำไส้ของตัวเองจนเสียหาย ซึ่งการจะพิสูจน์ได้ต้องตัดชิ้นเนื้อเยื่อบุผนังลำไส้ออกมาตรวจ หากเป็นระดับลำไส้เล็กเรียกว่า Chron's disease หากเป็นที่ลำไส้ใหญ่เรียกว่า ulcerative colitis มีอาการเกี่ยวกับทางเดินอาหารเรื้อรังและรุนแรง คนเป็นโรคนี้จึงมักมีอาการเครียด ซึมเศร้า นอนไม่หลับ น้ำหนักลด ไข้หนาวสั่น ปวดก้น เพลีย เปลี้ยล้า เป็นต้น
ส่วน IBS (irritable bowel syndrome) นั้นเป็นโรคไม่ทราบสาเหตุ เดากันเอาว่าเกิดจากมีปัญหาในการทำงานร่วมกันระหว่างสมองกับทางเดินอาหาร มักมีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ปวดท้อง มวนท้อง ท้องเสีย ท้องผูก แต่ไม่มีรอยบาดแผลหรือการอักเสบใดๆบนผนังทางเดินอาหาร ยิ่งเครียดยิ่งเป็นมาก
ไหนๆก็พูดถึงความเข้าใจผิดเกี่ยวกับ IBD แล้วข้อพูดถึงความเข้าใจผิดเยอะแยะมากมายเกี่ยวกับโรคนี้ดังนี้
1. เข้าใจผิดว่าความเครียดทำให้เกิด IBD แต่ความจริงคือสาเหตุตรงคือภูมิคุ้มกันทำลายตนเอง ความเครียดอาจเกิดขึ้นจากการที่โรคมันเป็นเรื้อรังไม่จบไม่สิ้นและความเครียดอาจกระตุ้นให้อาการแย่ลงได้ แต่ไม่ใช่สาเหตุตรง
2. เข้าใจผิดว่าบุคลิกภาพบางแบบทำให้เป็นโรค IBD แต่ความจริงคือไม่มีหลักฐานที่ว่าเลย
3. เข้าใจผิดว่าคนเป็น IBD บางคนมีทั้งโรคที่ลำไส้เล็ก (Crohn’s) และที่ลำไส้ใหญ่ ( ulcerative colitis) ในคนๆเดียวกัน ความจริงคือคนเป็น IBD ไม่เป็นที่ลำไส้เล็กก็ที่ลำไส้ใหญ่มที่เดียวเท่านั้น จะไม่เหมาเป็นทั้งสองที่ในคนเดียวกัน
4. เข้าใจผิดว่าโรค IBD ไม่มีวิธีรักษา ความเป็นจริงคือโรคนี้มีวิธีรักษาให้อาการดีขึ้นได้หลายวิธี เช่นการใช้ยาอย่าง infliximab เป็นต้น แล้วยาใหม่ๆก็เข้าแถวออกมาให้เลือกอีกไม่หยุด
5. เข้าใจผิดว่าคนเป็น IBD ต้องจบด้วยการผ่าตัดเท่านั้น ความเป็นจริงคือสมัยนี้ยาดีกว่าสมัยก่อน ที่ต้องจบด้วยการผ่าตัดเพื่อแก้ไขภาวะแทรกซ้อนเช่นไส้ทะลุนั้นมีน้อยมาก (ไม่ถึง 15% ใน 10 ปี)
6. เข้าใจผิดว่าหญิงตั้งท้องกินยารักษา IBD ไม่ได้ ความเป็นจริงคือยารักษา IBD สมัยนี้ปลอดภัยมากจนมาตรฐานของแพทย์ใช้ยารักษาโรคนี้ในช่วงตั้งครรภ์ด้วย
7. เข้าใจผิดว่าคนเป็น IBD พออาการหายแล้วก็เลิกกินยาได้เลย ความเป็นจริงคือเมื่อหยุดยาแล้วอาการมักกลับมาอีก ครั้นเอายาเดิมมาให้กินใหม่มันกลับไม่ได้ผล..ซะงั้น อนึ่ง ด้วยความปลอดภัยของยาตอนนี้ ทำให้การหยุดยาเมื่ออาการดีขึ้นกลายเป็นเสียมากกว่าได้ แพทย์จึงมักให้ยาต่อเนื่องแบบไม่มีแผนว่าจะหยุด จนกว่าจะมีข้อมูลใหม่ที่ดีกว่านี้ออกมา
8. เข้าใจผิดว่าอาหารไร้กลูเต็น (gluten free diet) ใช้รักษาโรค IBD ได้ ความเป็นจริงคืออาหารไร้กลูเต็นใช้รักษาโรค celiac disease และโรคแพ้กลูเต็น (non-celiac gluten sensitivity) ต่างหาก ไม่เกี่ยวอะไรกับโรค IBD เลย..ย
9. เข้าใจผิดว่า IBD เป็นกับทางเดินอาหารเท่านั้นไม่เกี่ยวกับอวัยวะอื่น ความเป็นจริงคือโรคนี้มีอาการได้กับเกือบทุกระบบอวัยวะ เช่น ผิวหนัง ตา ข้อ ไต ปอด เป็นต้น
10. เข้าใจผิดว่าโรค IBD รักษาให้หายขาดได้ ความเป็นจริงคือแม้จะใช้ยาบรรเทาจนปลอดอาการได้ แต่อย่างน้อยนับถึงวันนี้วงการแพทย์ยังไม่มีวิธีรักษา IBD ให้หายขาด
11. เข้าใจผิดว่าคนเป็นโรค IBD จะมีชีวิตปกติไม่ได้ ความเป็นจริงคือคนเป็นโรคนี้ด้วยวิธีควบการรักษาหลายอย่างในสมัยนี้ ทั้งกินยาและผ่าตัด ทำให้สามารถมีชีวิตปกติได้
กล่าวโดยสรุป ผมแนะนำว่าในกรณีของคุณให้ปักหลักหาหมอคนเดียว แล้วถามท่านว่าท่านวินิจฉัยคุณว่าเป็นโรคอะไรแน่ หากท่านวินิจฉัยว่าเป็น IBD ขอถ่ายรูปผลการส่องตรวจลำไส้ใหญ่ (colonoscopy) หรือกรณีเป็นที่ลำไส้เล็กก็ขอผลการส่งตรวจลำไส้เล็ก (esophagogastroduodenoscopy) และผลตรวจทางพยาธิวิทยาเก็บไว้กับตัวด้วย ถ้ามีผลตรวจเลือดดูภูมิคุ้มกันหรือผลการตรวจ calprotectin (โมเลกุลเกิดจากการอักเสบ) ในอุจจาระ ก็ถ่ายรูปเก็บไว้ด้วย ไปภายหน้าเมื่อเปลี่ยนหมอไป การรักษาจะได้เจาะจงตรงกับโรคที่เราเป็นโดยไม่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา เพราะหากเป็นโรค IBS รักษาบ้างไม่รักษาบ้างก็อาจไม่เป็นไร แต่โรค IBD นั้นเป็นโรคที่คุมอาการได้ยากและมีภาวะแทรกซ้อนมาก เมื่อคุมได้แล้วต้องคุมไปตลอด หากหมอเขาวินิจฉัยว่าเป็น IBD โดยไม่มีหลักฐานการส่องกล้องตัดชิ้นเนื้ออะไรเลย ผมแนะนำว่าหลักฐานแค่ฟังเอาจากอาการมันไม่พอที่จะวินิจฉัยโรคนี้ ควรขวานขวายเสาะหาหลักฐานการวินิจฉัยที่จำเพาะเจาะจงกว่านี้ให้ได้ ก่อนที่จะต้องกินยาไปตลอดชีวิต
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์