อยากออกจากราชการ แต่กลัวไม่ได้เงินเดือน
(ภาพวันนี้: พู่จอมพล)
สวัสดีครับอาจารย์
ปรึกษาอาจารย์เรื่องที่คิดว่าเลื่อนลอยอยู่ แต่อยากได้คาถาเป่ากระหม่อมจากอาจารย์ครับ
ตอนนี้ผม 55 แล้ว อยากออกจากราชการ อยากเด็ดขาดเหมือนอาจารย์ อยากไปอยู่ป่าอยู่สวนเพราะเริ่มทำไว้แล้ว แต่ดันทำเกินตัวเล็กน้อย พละกำลังยังเหลืออยู่ คิดว่าถ้าไม่ป่วยน่าจะอยู่ได้อีกนาน
ปัญหาคือคิดไปเองว่าถ้ารับราชการอยู่อย่างนี้มันเสียศักดิ์ศรี เพราะไม่ทุ่มเทเหมือนเดิมแล้วเนื่องจากมีงานสวนต้องทำ จึงมักจะเคร่งครัดเรื่องว่าถ้านอกเวลาแล้วจะขอปิด ไม่รับรู้ ไม่ช่วยวางแผน กลายเป็น dead wood ทำงานไปวันๆ เหมือนที่ผมเคยมองหมอสูงอายุท่านอื่น
(แต่ก็กลัวเงินหมดก่อนตายหากออกไปตอนนี้ครับ)
ด้วยความเคารพ
…………………………………………………………………………….
ตอบครับ
1.. ถามว่าอายุ 55 ปี ทนไม่ไหวแล้ว อยากจากออกจากราชการไปทำอะไรหนุกๆของตัวเองแต่ก็กลัวจะไม่ได้เงินเดือน คิดอย่างนี้มันเสียศักดิ์ศรีไหม ตอบว่าไม่เสียหรอกครับ ใครๆเขาก็คิดอย่างนี้กันทั้งนั้น เพียงแต่ว่าร้อยทั้งร้อยก็ๆได้แต่คิดแต่ไม่มีใครกล้าขยับออกไปจริงสักคน ต้องขอบคุณกรงทองอันแน่นหนาที่ระบบราชการสร้างไว้ ไม่งั้นก็คงขังคนไว้จนถึงอายุ 60 ไม่ได้
2.. การรับราชการจากนี้ไปอีกห้าปีหากไม่อุทิศตนเท่าเดิม คือจะขอทำเต็มที่เฉพาะเวลาราชการ หมดเวลาทำงานแล้วปิดโทรศัพท์ จะเรียกว่าเป็น dead wood ไหม ตอบว่าไม่เป็นหรอกครับ กฎกติกามารยาทเขาให้ทำ 8 ชั่วโมงเราก็ทำแล้ว นอกเวลาเราทำจ๊อบอื่น ไม่เห็นแปลกอะไร
วัตรปฏิบัติที่ทำราชการกันแบบพูดกันยืดยาดไม่รู้จบรู้สิ้นนั้นไร้สาระ ไร้พลัง และไร้ประสิทธิผล ระบบราชการเป็นระบบต่อยหอย ตอนนั่งประชุมกันก็พูดอะไรกันแยะไม่รู้เลิกรา อาจารย์มหาลัยในกทม.ท่านหนึ่งเล่าบรรยากาศการประชุมคณบดีให้ฟังว่าประชุมกันถึงเที่ยงคืนยังไม่จบ จนเมียของอาจารย์คนหนึ่งทนนั่งรอสามีไม่ไหวจึงเปิดประตูพลั้วะเข้ามาว้ากเพ้ยว่า
“นี่พวกคุณจะประชุมกันถึงรุ่งเช้าหรือไง”
อธิการบดีถึงได้ตัดใจกล่าวปิดประชุมได้ (ก่อนที่จะโดนไม้ทะเลาะพริก) ฮะ ฮะ ฮ่า ตะแล้น ตะแล้น ตะแล้น
ดังนั้น คุณหมออย่าไปทำนุบำรุงวัตรปฏิบัติที่ไร้สาระเช่นนั้นเลย แค่ตั้งใจทำหน้าที่ในเวลาราชการวันละ 8 ชั่วโมง โดยในเวลาทำงานก็ตั้งใจทำให้กระชับ รวบรัด สั้น ตรง มีสติ แค่นี้ก็สมน้ำสมเนื้อกับเงินเดือนและสวัสดิการที่เขาให้แล้ว
3.. การรับราชการหรือทำงานเป็นลูกจ้างเอกชนก็ตาม การทำหลายจ๊อบพร้อมกันแบบที่ฝรั่งเรียกว่า portfolio life นั้นถือว่าเป็นวิถีที่โอเคนะสำหรับโลกทุกวันนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคเอกชนซึ่งนายจ้างเองก็ออกอาการสามวันดีสี่วันไข้ไม่รู้ว่าจะจ้างเราไปได้อีกกี่ปี การทำงานแบบพอร์ตโฟลิโอก็คือการใช้ชีวิตที่เป็นชุดของกิจกรรมที่อาจจะไม่เกี่ยวกันเลยแทนการมีอาชีพเดียวแบบดั้งเดิม ตัวอย่างเช่นด้านหนึ่งทำงานฟูลไทม์อยู่กับราชการ แล้วทำพาร์ทไทม์อีกที่หนึ่งซึ่งลักษณะงานอาจไม่เกี่ยวกันเลย แต่ก็ยังจัดเวลาไปเข้าชั้นเรียน ไปเป็นกรรมการมูลนิธิ และไปทำกิจกรรมเพ้นท์กระเบื้องอีกด้วย เป็นต้น การใช้ชีวิตแบบนี้ต้องเรียนรู้ในการจัดการชีวิตที่อิสระไม่มีใครบงการ ต้องหัดทำงานหลายอย่างโดยไม่ให้งานหนึ่งครอบงำอีกงานหนึ่ง ต้องวางแผนอนาคตให้ตนเองแทนที่จะปล่อยไปตามยถากรรม และที่สำคัญที่สุดคือต้องค้นหาว่าเป้าหมายในชีวิตแท้จริงนั้นคืออะไร เพราะว่าวันที่เราเริ่มชีวิตแบบพอร์ตโฟลิโอก็คือวันที่เราเริ่มได้คิดว่าต่อไปจะไม่มีใครมารับผิดชอบชีวิตของเราอีกแล้ว
4.. พูดถึงทำอะไรเกินตัว การที่คุณหมอไปทำสวนนั้นโอเค. แต่อย่าคิดทำเกษตรกรรมแบบทำอาชีพนะ เพราะเกษตรกรรมเป็นวิถีชีวิต ไม่ใช่งานอาชีพ และต้องทำเองทั้งหมดอย่าไปคิดหวังพึ่งแรงงานซึ่งแม้วันนี้จะราคาถูกแต่ก็พึ่งไม่ได้ ใครไม่เข้าใจความข้อนี้ไปทำเกษตรกรรมแบบงานอาชีพเข้ามีหวังเจ๊งจนเงินบำนาญเท่าไหร่ก็จะไม่พอตู๊ อายุปูนนี้แล้วหากทำเกษตรกรรมด้วยตัวเองให้ทำในเนื้อที่สองงานก็พอแล้ว อย่าคิดการใหญ่กว่านี้ หากคิดใหญ่ไปแล้วก็ให้รีบหดลง เอาพื้นที่ที่เหลือปลูกป่าทิ้งไว้หรือเตรียมไว้ขายกินยามแก่ เหลือพื้นที่ทำสวนด้วยตัวเองแค่สองงานก็พอ ที่พูดนี้พูดจากประสบการณ์ที่ผมเองลองผิดลองถูกมาแล้วหมดเงินไปเท่าไหร่ไม่กล้าลำเลิกขึ้นมาอีกเพราะกลัว ม. จะซ้ำเติม หิ หิ ความจริงคนรุ่นก่อนเขาลองมาก่อนและสอนไว้แล้ว ท่านสิทธิพร (มจ. สิทธิพร กฤษฎากร) ผู้ได้ชื่อว่าเป็นบิดาของเกษตรกรรมแผนใหม่ของไทย เริ่มฟาร์มบางเบิดด้วยพื้นที่ 75 ไร่กับรถแทรกเตอร์ ต่อมาท่านก็ค่อยๆหดลงๆจนเหลือพื้นที่ 5 ไร่กับควายหนึ่งตัว ท่านได้สอนประเด็นความล้มเหลวของการทำเกษตรกรรมเป็นอาชีพไว้หมดทุกซอกทุกมุม หมอสันต์ซึ่งเคารพนับถือท่านสิทธิพรหมดหัวใจก็ยังไม่เก็ท นี่ผมพูดกับคุณหมออย่างนี้คุณหมอจะเก็ทหรือไม่ก็สุดแต่บุญกรรม
5.. พูดถึงเป้าหมายในชีวิต การที่คุณหมอทำงานมาจนอายุปูนนี้ยังกลัวเงินไม่พอใช้นั้นผมไม่ถือเป็นเรื่องซีเรียสนะ เพราะ security มันเป็นความกลัวซึ่งเป็นกรอบความคิดที่ถูกครอบใส่หัวเรามาตั้งแต่เด็กจนเราเผลอคิดว่ามันคือตัวตนของเราไปแล้ว ตรงนี้อย่าไปซีเรียสกับมัน ผมหมายถึงว่าอย่าไปรู้สึกผิดที่เราเป็นคนขี้ป๊อด ขี้ป๊อดก็ขี้ป๊อดจะเป็นไรไป คนอื่นเขาก็ขี้ป๊อดกันทั้งเมือง แต่คู่ขนานไปกับความขี้ป๊อดผมอยากเสนอให้คุณหมอบ่มความอยากรู้อยากลองและการมองชีวิตที่แม้จะเข้าปัจฉิมวัยแล้วนี้อย่างเป็นความมหัศจรรย์ wonder อย่าจมปลักอยู่กับกรอบความคิดเก่าๆบูดๆรีไซเคิ้ลแต่ความจำเดิมๆ แต่ให้มองสิ่งที่ปรากฎที่ตรงหน้าที่ที่นี่เดี๋ยวนี้ด้วยสายตาใหม่ๆสดๆอยากรู้อยากเห็นและด้วยความรู้สึกมหัศจรรย์ อย่าไปมองว่าตัวเราเล็กกระจิ๊ดริดทำอะไรไม่ได้หรอก อย่าลืมว่าในโลกที่แม้เพียงผีเสื้อตัวเดียวขยับปีกก็ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของโลกได้ระดับหนึ่งนี้ เรายังทำอะไรให้แก่โลกและแก่ชีวิตอื่นได้พอควร แล้วทำไมไม่คิดทำสิ่งต่างๆให้ดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ล่ะ ถ้าเราเปลี่ยนแปลงอะไรได้ระดับหนึ่ง เราก็มีชีวิตอยู่อย่างมีความหมายได้ ตัวผมเชื่อว่าชีวิตที่มีความหมายคือการมีชีวิตอยู่เพื่อสร้างสรรค์สิ่งดีๆที่คนอื่นหรือชีวิตอื่นเป็นผู้รับผล ไม่ใช่อีโก้ของเราเป็นผู้รับผล เมื่อไปถึงจุดนั้นได้ ความห่วงใยในตัวตนนี้มันจะเล็กลงไปเอง ความสงบเย็นและสร้างสรรค์จะฉายแสงออกมาแทนแบบอัตโนมัติ
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
……………………………………………………………………….
ปล. ท่านสามารถ สอบถามข้อมูลและลงทะเบียน เข้าแค้มป์สุขภาพทุกแค้มป์ ได้ที่ เวลเนสวีแคร์เซ็นเตอร์ โทร : 063-6394003 หรือ Line ID : @wellnesswecare หรือ คลิก https://lin.ee/6JvCBsf CBsf