เรื่องไร้สาระ(30) ม้าขี้อาย
ปลายฝนต้นหนาวที่มวกเหล็ก ดูอะไรก็สวยงามไปหมด อากาศหนาวเย็น อารมณ์ดี ไปรับจ๊อบขนของให้ ม. ที่ตลาด อากาศที่ตลาดก็สดๆฉ่ำๆ ผู้คนใส่เสื้อกันหนาว เดินเบียดกันไปมา เต้นท์ขายของเก่าเปิดเพลง ชาย เมืองสิงห์ เสียงดังลั่น
“…โอ้ แม่บัวแรกแย้ม เจ้าช่างแจ่มเหลือใจ
เคยมอง ตัวบ้างไหม ใครๆชอบน้อง
มองกันหมดเมือง
ผิว..ก็ดำ ใส่แดงขำคมข่มเหลือง..”
เช้าวันนี้ผมชวนเพื่อนบ้านสองหลังมานั่งกินขนมปังซาวโดด้วยกันที่สนามหน้าบ้าน ดอกไม้แข่งกันบาน ทั้งที่เป็นไม้ดอกฝรั่งตั้งใจปลูกอย่างฮอลลี่ฮ็อก มากาเร็ต คอสมอส ทารากอน เสจ ฟาแลนด์ ทั้งที่เป็นคนบ้านนอกมาแย่งขึ้นเองอย่างอ่อมแซ่บ ต้อยติ่ง หงอนไก่ รกๆ มั่วๆ จัดๆ จ้านๆ ปนกันไป ก็เป็นความสวยในอีกรูปแบบหนึ่ง จะเรียกแบบเข้าข้างตัวเองว่านี่เป็น cottage garden แบบอังกฤษก็ได้
นั่งกินอาหารเช้า กินไปคุยไป ชิมแยม ขนมปัง ชาหมัก ที่ทำเองกันไป จนคนทำความสะอาดบ้านเปิดประตูออกมาบอกลาว่า
“หนูจะขอพักไปกินข้าวเที่ยงก่อนนะคะ”
ผมหันไปแปลไทยให้เป็นไทยให้เพื่อนๆฟังว่า
“เธอบอกว่า นี่คุณพวกตาคุณยายจะนั่งละเลียดกันไปจนสิ้นอสงไขยเลยหรือคะ”
คำเตือนของคนทำความสะอาดบ้านทำให้สมาชิกเกิดความรู้สึกผิดและวงแตกทันที ต่างแยกย้ายกันกลับบ้านใครบ้านมันไปทำงานของตัวเองที่ค้างคาอยู่ ของผมเองก็คามืออยู่หลายโปรเจ็ค แต่วันนี้ฉุกคิดขึ้นได้จากคำถามของเพื่อนในก๊วนอาหารเช้าว่า
“เมื่อไหร่คุณหมอจะซ่อมม้าเสียที”
ผมหันไปมองเจ้าม้าปากแหว่งเพดานโหว่ที่วางไว้บนก้อนหิน มันอยู่มานานเสียผมจำไม่ได้แล้วว่ามันมาจากไหน มาเมื่อไหร่ คำถามของเพื่อนทำให้เกิดความบันดาลใจว่าบ่ายวันนี้พอมีเวลา น่าจะเจียดมาทำศัลยกรรมม้าตัวนี้เสียทีก็ดีเหมือนกัน
เริ่มต้นด้วยศัลยกรรมตกแต่งส่วนจมูกและปากที่แหว่งไป หาเศษไม้เก่าๆที่คล้ายๆกันมาแกะๆเหลาๆให้เข้ากันได้กับหน้าม้า แล้วมองหาเลื่อยพูลแมนซึ่งคมกริบแต่หาไม่เจอ เข้าใจว่าลุงดอนเอาไปใช้แล้วเอาไปเก็บผิดที่ ซึ่งทุกครั้งที่ผมถามหาของเธอก็จะมาดูตรงที่ที่ผมเก็บของไว้ แต่มันจะเจอได้อย่างไรเล่า เพราะตัวเธอเองเอาออกไปแล้วไม่เอากลับมาเก็บที่เดิม แต่วันดีๆอย่างนี้ผมจะไม่เสียพลังไปให้การศึกษาแก่ลุงดอนหรอกนะ จึงอาศัยเลื่อยลันดานั่นแหละเฉือนหน้าตัดบนหัวม้าให้ได้รูปทรงตรงกับจมูกใหม่ที่ทำมา แล้วทากาวลาเท็กซ์ แปะจมูกใหม่เข้าไป เป็นอันเสร็จขั้นตอนที่หนึ่ง
ขั้นต่อไปก็ทำสีให้มันดูเป็นชิ้นงานเดียวกัน ตรงนี้ไม่ยาก ของเดิมเป็นม้าขาวก็ทาสีให้ขาวหมดก็ใช้ได้แล้ว แต่พอเข้าไปค้นสีในเล้าไก่ก็พบว่ามีสีขาวเก่าที่เหลือติดก้นกระป๋องแต่เขย่าดูแล้วเสียงมันดังพิกลเหมือนสีมันไม่ข้น พอเปิดกระป๋องออกมาดูจึงได้รู้ว่าเป็นน้ำฝนรั่วเข้าไปในกระป๋องสี สรุปว่าใช้ไม่ได้ต้องทิ้งหมด ลองหากระป๋องสีพ่นดูก็ไม่มีสีขาว มีสีใกล้กันก็คือสีบรอนซ์ เอาสีบรอนซ์ก็ได้มั้ง จึงเอาสีบรอนซ์มาพ่น พอพ่นแล้ว ไอ้หยา ยังกับหุ่นยนต์กระป๋องในหนังสตาร์วอร์เลย ไม่เอาดีกว่า ไปค้นหาสีที่เหลืออีกว่าจะมีสีอะไรใช้ได้บ้าง เจอสีน้ำเงิน เอาน้ำเงินนี่แหละพ่นทับเข้าไปให้เป็นม้าสีออกกระ ปรากฎว่าพ่นแล้วเข้าท่าดีแฮะ
ขั้นต่อไปก็คือหาที่อยู่ให้ม้าซึ่งได้รับการทำศัลยกรรมตกแต่งแล้ว เขียนมาถึงตรงนี้ผมคิดถึงเรื่องที่ครูที่ผมเคารพท่านหนึ่งเล่าให้ฟัง ท่านเป็นศัลยแพทย์ตกแต่งอเมริกันบอร์ดคนไทยรุ่นแรกๆ ท่านเล่าว่าตอนกลับมาเมืองไทยใหม่ๆท่านทำผ่าตัดแก้ไขเด็กสาวปากแหว่งเพดานโหว่ซึ่งหน้าตาประหลาดเหมือนนางสาวแก้วหน้าม้ารายหนึ่ง ปรากฎว่าพอผ่าตัดแล้วเธอกลายเป็นคนสวยที่ใครๆก็จำเธอไม่ได้ แม้แต่เธอเองก็จำตัวเองไม่ได้ เธอจึงรู้สึกแปลกแยก ใช้ชีวิตต่อไปไม่ถูก ต้องปีนขึ้นไปหลบอยู่บนต้นไม้เพื่อหลบหน้าไม่ยอมพบปะผู้คน
ม้าตัวนี้ของผมก็เหมือนกัน พอผมผ่าตัดแก้ปากแหว่งแล้วมันกลายเป็นม้ารูปหล่อจนจำตัวเองไม่ได้ แถมกลายเป็นม้าขี้อาย ไม่ยอมอยู่กลางแจ้งอีกต่อไป แอบไปหมอบซุ่มอยู่ตามสุมทุมพุ่มไม้ (เพราะผมไม่ได้ซ่อมขาให้มัน หิ..หิ) ผมจึงได้แต่ถ่ายรูปในท่าที่มันซุกอยู่ในพุ่มไม้มาให้ดู
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์