ถามเรื่องยา แต่ตอบเรื่องการฟื้นฟูร่างกาย
สวัสดีครับอาจารย์
อยากจะขอคำแนะนำเกี่ยวกับการกินยาของภรรยาครับ ภรรยาผมอายุ 52 ปัจจุบันมีอาการร่างกายซีกขวาอ่อนแรงเนื่องจากเส้นโลหิตในสมองแตกเมื่อ 5 ปีที่แล้ว ปริมาณเลือดที่ออกประมาณ 10cc. ไม่ได้ผ่าตัดครับ ตอนนี้เดินได้แต่เป็นลักษณะค่อนข้างลากขาและปัดออกด้านข้างโดยรวมคือช่วยเหลือตัวเองในกิจวัตรประจำวันได้ ยกเว้นกล้ามเนื้อเล็กเช่นมือที่ไม่สามารถทำงานเช่นการยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม
มีอาการชาซ่าตามมือและขาข้างที่อ่อนแรง ปัจจุบันรักษาติดตามอาการและรับยาต่อเนื่องทุกสามเดือนที่แผนก … รพ. … ได้รับยามากินเป็นประจำดังนี้ Analapril 5 Madiplot 10mg. 3.Gabapentin Sandoz 300mg. 4.Methycobal 500mg. วัดความดันโลหิตเป็นประจำได้ค่าประมาณ 100-110 / 60-70 HR. 60-70 ขอความเห็นอาจารย์ถึงยารายการที่ 3 และ 4 ครับว่ามีความเหมาะสมดีแล้วหรือไม่อย่างไรครับ
ขอบพระคุณครับ
………………………………………………………………….
ตอบครับ
ก่อนอื่นคุณต้องเข้าใจก่อนว่าผมไปวิจารณ์การสั่งใช้ยาของแพทย์ท่านอื่นไม่ได้นะครับ มันผิดทั้งหลักจริยธรรมวิชาชีพข้อที่ว่าผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมไม่พึงแนะแหนพวกกันเอง และผิดทั้งหลักวิชาแพทย์ข้อที่ว่าการวินิจฉัยโรคที่แม่นยำมันต้องประกอบด้วยการซักประวัติตรวจร่างกายเป็นพื้นฐานสำคัญที่สุด ดังนั้นแพทย์ที่จะตัดสินใจการรักษาผู้ป่วยได้ดีที่สุดต้องเป็นแพทย์ที่ได้เห็นผู้ป่วย ได้ซักประวัติ ได้ตรวจร่างกายผู้ป่วย ไม่ใช่แพทย์ที่นั่งอยู่ห่างไกลกันหลายลี้แล้วให้คำแนะนำทางไปรษณีย์ การรักษาทางไปรษณีย์หรือ on line นั้นมีคุณค่าตรงการให้ความรู้ทั่วๆไปที่ไม่เจาะจงลงไปในการรักษาผู้ป่วยแต่ละคน ดังนั้นผมจะไม่ตอบคุณว่ายาที่คุณได้มาเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม เพราะผมจะไปรู้ดีกว่าแพทย์ที่เขาตราจร่างกายภรรยาของคุณแล้วได้อย่างไร คำตอบของผมจึงเป็นแค่การให้ข้อมูลทั่วไป ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับท่านผู้อ่านท่านอื่นๆด้วยเท่านั้น
1.. ถามว่ายา methylcobalt คือยาอะไร กินไปทำไม ตอบว่ามันคือวิตามินบี.12 นั่นเอง วงการแพทย์จัดเป็นเป็นอาหาร ไม่ใช่ยา แต่ผู้ผลิตหัวใสตั้งชื่อตามชื่อเคมี ไม่ยอมตั้งชื่อว่าวิตามินบี.12 หิ หิ นี่เป็นความสามารถทางด้านการตลาดเฉพาะตัว ลอกเลียนกันไม่ได้ แพทย์จำนวนหนึ่งก็ชอบสั่งจ่าย methylcobalt มากกว่าสั่งจ่ายวิตามินบี.12 เพราะถ้าจ่ายวิตามินบี.12 มันดูเหมือนเชย เฉิ่ม เพราะมันราคาถูกและคนไข้ไปหาเอาเองจากที่ไหนก็ได้ มันจึงขาดความขลัง หรือความเท่ ซึ่งในทางการแพทย์นี้ยาไหนที่ไม่ขลังไม่เท่ ผลของยาก็จะไม่แรง เพราะมันขาด placebo effect หรือผลจากความขลังความเท่ หิ..หิ ในทางเภสัชวิทยาเมื่อพูดว่าวิตามินบี.12 ผู้คนหมายถึง cyanocobalamine ซึ่งเป็นสารก่อนออกฤทธิ์ (ขณะที่ methylcobalt เป็นสารออกฤทธิ์) ทั้งสองตัวนี้กินเข้าไปแล้วได้ผลแปะเอี้ยเหมือนกันคือล้วนกลายไปเป็นวิตามินบี.12 ในรูปแบบที่ออกฤทธิ์ได้สองตัว (คือ methylcobalamin และ adenosylcobalamin) เหมือนกันหมด ความแตกต่างของcayanocobalamine และ methylcobalt นี้นอกจากจะอยู่ที่ราคาแล้วยังอยู่ที่ความเสถียรต่อแสง (cyanocobalamin เสถียรกว่า) และผลต่อไตกรณีคนเป็นโรคไตเรื้อรัง (methylcobalt มีผลต่อไตน้อยกว่า)
เหตุผลที่ให้กินยานี้ก็คือ (1) เป็นการให้กินวิตามินป้องกันการขาดวิตามินเผื่อผู้ป่วยกินเองไม่ค่อยได้ เพราะเป็นที่รู้กันว่าการขาดวิตามินบี.12 จะมีอาการสามแบบคืออาการทางระบบประสาท อาการโลหิตจาง และอาการจากหลอดเลือดตีบ เมื่อเป็นอัมพาตไปแล้ววิตามินบี.12 ช่วยป้องกันอาการทางระบบประสาทที่เกิดจากการขาดวิตามินซึ่งจะมาเหมือนหรือมาทำให้สับสนกับอาการสมองบาดเจ็บจากอัมพาต (2) เป็นการป้องกันโรคหลอดเลือดตีบได้อีกทางหนึ่ง เพราะปัจจัยเสี่ยงอิสระของการเป็นโรคหลอดเลือดตีบก็คือการคั่งของสาร homocysyteine ซึ่งมักเกิดขึ้นในกรณีขาดวิตามินบี.12
2.. ถามว่า gabapentine คือยาอะไร ตอบว่ามันเป็นสารออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทกลาง เริ่มต้นใช้เป็นยากันชัก ต่อมาก็เป็นยาแก้ปวดเส้นประสาทระดับแรง ต่อมาก็มีผู้นิยมใช้เป็นยารักษาโรคปสด. (ประสาทแด๊กซ์) ด้วย เพราะมีผู้ป่วยบางท่านปวดหัวเพราะ ผ. มีกิ๊กแล้วได้ยานี้มากินก็มี หิ หิ นั่นเป็นการใช้ยาอย่างไม่เป็นทางการหรือ off-label ซึ่งวงการแพทย์ถือว่าเป็นเรื่องดุลพินิจของแพทย์แต่ละคน ห้ามยุ่งเรื่องของกันและกัน เอาเป็นว่าอย่างเป็นทางการแล้วยานี้ FDA อนุมัติให้ใช้ป้องกันและรักษาอาการชัก (epilepsy) และอาการปวดประสาท (neuropathic pain) เท่านั้น จบข่าว ซตพ.
ยานี้ไม่ใช่ยารักษาโรค จึงใช้รักษาโรคอะไรให้หายไม่ได้ทั้งสิ้น เป็นแค่ยาบรรเทาอาการ ผลข้างเคียงของมันก็เหมือนสารออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทกลางทั้งหลายซึ่งมีผลข้างเคียงแยะ รวมถึงแต่ไม่จำกัดอยู่เฉพาะอาการต่อไปนี้ (หิ หิ ขออำไพ ดัดจริตใช้ภาษากฎหมาย) คือ ง่วงเหงาเซาซึม เปลี้ยล้า วิงเวียน ปวดหัว สั่นเป็นส่วนๆหรือสั่นทั้งร่างกาย ตามัว เห็นภาพซ้อน ยืนหรือเดินไม่ถนัด ขี้กังวล ขี้ลืม มีความคิดแปลกๆเกิดขึ้น ลูกกะตาขยับเองโดยไม่ได้ตั้งใจ คลื่นไส้ อาเจียน แสบหน้าอก ปากแห้ง ท้องร่วง ท้องผูก กินจุ อ้วน มือตีนบวม ปวดหลัง ปวดข้อ ไข้ น้ำมูกไหล ไอจาม เจ็บคอ ตะครั่นตะครอเหมือนเป็นไข้หวัดใหญ่ เจ็บหู เคืองตา ตาแดง ผื่นขึ้น คัน และชัก หายใจไม่ออก หิ หิ เยอะ… พอแล้วดีก่า
3.. ข้อนี้คุณไม่ได้ถาม แต่ผมขอตอบ เพราะมันสำคัญสำหรับภรรยาคุณ คือความสำคัญของการทำกายภาพบำบัดตัวเอง (self active rehabilitation) อย่างเอาเป็นเอาตาย ไม่ใช่การขยันไปทำกายภาพบำบัดที่โรงพยาบาลหรือจ้างนักกายภาพมายกแข้งยกขาให้ที่บ้านนะ นั่นคือ passive rehabilitation ไม่เหมือนกัน แต่ผมพูดถึงนี่คือ active rehabilitation คือการขยันทำทุกอย่างด้วยตัวเองอย่างเอาเป็นเอาตายตั้งแต่เช้ายันเย็น เริ่มตั้งแต่การตั้งใจสั่ง แล้วพยายามทำตามคำสั่งของใจโดยไม่ให้อวัยวะอีกข้าง (มือหรือเท้า)เข้ามาช่วย เอาเชือกผูกข้างดีไว้เสียก็ได้ นี่เป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับภรรยาคุณ ขณะที่ยาทั้งหลายทั้งปวงที่คุณให้ความสนใจมากมายนั้นมันมีความสำคัญน้อยนิดเทียบกับ active rehab ไม่ได้เลย หลักฐานวิทยาศาสตร์ปัจจุบันนี้มันชัดเจนแน่นอนแล้วว่าเซลสมองนั้นมันงอกหรือแตกหน่อข้างๆออกมาเป็นเซลใหม่เพื่อทำงานแทนเซลเก่าที่ตายได้ถ้าขยันสั่งขยันใช้ สมองส่วนไหนก็ตามที่เสียไปแล้ว มันฟื้นฟูให้กลับมาได้หากทำการฟื้นฟูตัวเองอย่างถึงลูกถึงคนจริงๆ มีผู้ป่วยของผมหลายคนมากที่ประสบความสำเร็จระดับ 99% ด้วยวิธีฟื้นฟูตัวเองอย่างเอาเป็นเอาตายนี้ และผมเคยเขียนแนะนำวิธีทำอย่างละเอียดไปแล้วหลายครั้ง ตัวอย่างเช่นเรื่อง การออกกำลังกายสำหรับคนเป็นอัมพาต คุณเปิดอ่านดูและทำตามได้เลย ดีกว่าไปเสียเวลานั่งเหล่ว่ายานั่นดียานี่ไม่ดีเป็นไหนๆ
อนึ่ง ขอถือโอกาสนี้ป่าวประกาศให้แฟนๆบล็อกทราบว่าหมอสันต์ไม่ชอบตอบเรื่องยา เพราะเพื่อนซี้ของหมอสันต์บางคนทำยาขาย มันจึงมีผลประโยชน์ทับซ้อน หมอสันต์ทำบล็อกนี้เพื่อสอนให้ผู้คนรู้วิธีมีสุขภาพดีด้วยตนเอง ที่ป่วยแล้วก็ให้รู้วิธีพลิกผันโรคด้วยตนเอง ซึ่งไม่เกี่ยวกับการใช้ยา ท่านหาหมอกินยาของท่านก็เชิญท่านก็ทำของท่านไปตามสะดวก ส่วนนั้นท่านมีอะไรท่านก็ปรึกษาหมอของท่าน แต่ส่วนที่ท่านจะดูแลตัวเองอย่างไรส่วนนี้ต่างหากที่เอามาถามหมอสันต์ได้ แต่อย่าเอาเรื่องยามาถามเลย เพราะผมไม่อยากตอบ ตอบไปมันมีแต่เสียกับเสีย อย่างน้อยก็เสียเพื่อน
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์