เรื่องที่จะต้องทำมีมาก เวลามีน้อย พลังไม่มี

กราบเรียนอาจารย์หมอสันต์

หนูทำงาน … อยู่ที่ … บริษัทลดคนลงไปเกินครึ่ง เพิ่มงานให้คนที่เหลือ ทุกวันนี้เรื่องที่หนูจะต้องทำแต่ละวันมีม๊ากมาก เวลาหนูไม่มี เพราะกว่าจะขุดลูกอาบน้ำป้อนข้าวขับไปโรงเรียนถึงที่ทำงาน เสร็จงานขับกลับมารับลูก กินข้าวเย็น เก็บล้าง เอาลูกนอน ยังไม่ทันทำงานบ้านอีกหลายอย่างเลยก็สามทุ่มแล้ว หนูหมดแรง หนูล้า ทุกอย่างขึงพืด หนูไปต่อไม่ถูก หนูจะเริ่มต้นตรงไหนดี

…………………………………………………………………

ตอบครับ

คุณช่างสรุปสามสาเหตุของโรคเครียดของคนยุคนี้ได้กระชับดีมากเลยนะ

(1) เรื่องที่ต้องทำมีมาก

(2) เวลามีน้อย

(3) พลังไม่มี

ถามว่าจะเริ่มตรงไหนก่อนดี ตอบว่ามันก็ต้องตรงข้อใดข้อหนึ่งในสามข้อนี้แหละ ลองไล่ไปทีละข้อนะ

จะลดปริมาณงานลงเรอะ เดี๋ยวก็โดนโครงการ MSP (ร่วมใจจากกัน) หร็อก

จะเพิ่มเวลาทำงานรึ โถ..แค่นี้ก็ไม่ได้หลับไม่ได้นอนแล้วนะ

จึงเหลือทางไปทางเดียวเท่านั้น คือ..เพิ่มพลังชีวิต

ถามว่าเพิ่มพลังชีวิตทำไงงะ ตอบจากประสบการณ์ของตัวผมเองเมื่อตอนป่วยหนักร่อแร่นะ ผมแนะนำให้คุณทำงี้

1.. หายใจเอาพลังงานเข้ามาแยะๆก่อน ฝึกหายใจลึกๆ กลั้นไว้สักพัก แล้วค่อยผ่อนลมหายใจออกยาวๆ คล้ายจงใจถอนหายใจ ใช้วิธีนับไปด้วยก็ได้ 4-4-8 เข้านับ 1-2-3-4 แล้วกลั้นไว้ขณะนับ 1-2-3-4 แล้วผ่อนลมหายใจออกและนับ 1-2-3-4-5-6-7-8 ทำอย่างนี้ทุกครั้งที่คิดขึ้นได้ทุกวัน ทุกที่ ทุกเวลา และหาเรื่องสูดลมหายใจลึกๆบ่อยๆ ก่อนดื่มกาแฟสูดกลิ่นกาแฟลึกๆ แล้วรับรู้พลังที่กลิ่นนั้นนำเข้ามาก่อน สูดกลิ่นหอมที่ชอบ ชอบกลิ่นอะไรก็สูดดมกลิ่นนั้นบ่อยๆ สูดเข้าไปแต่ละทีให้สูดลึกๆ รับเอาพลังงานเข้าไปให้เต็มอิ่มพร้อมกับลมหายใจด้วย

2.. ผ่อนคลาย กล้ามเนื้อร่างกาย ตอนที่หายใจเข้าลึกๆ กลั้นไว้สักพักนั้น ตอนหายใจออกให้ผ่อนลมหายใจออกมาแบบสบายๆแล้วผ่อนคลายกล้ามเนื้อทุกส่วนทั่วร่างกายพร้อมกันไป ยิ้มที่มุมปากไปด้วย ทำไปพร้อมกับการทำงานหรือขับรถก็ได้ เมื่อกล้ามเนื้อคลายตัวไฟฟ้าในเส้นประสาทที่วิ่งไปกระตุ้นกล้ามเนื้อจะสงบลง เราจะเริ่มรับรู้หรือ feel พลังชีวิตได้ การผ่อนคลายเริ่มที่การยิ้มให้ได้ก่อน ยิ้มทั้งวัน นั่นหมายความว่าเราได้พลังชีวิตเพิ่มขึ้นตลอดวัน

3.. สังเกต นอกเวลาทำงานให้สังเกตมันทุกอย่างรอบตัวเราที่ที่นี่ เดี๋ยวนี้ สังเกตภาพที่เห็น เสียงที่ได้ยิน และที่สำคัญสังเกตความคิดของเราด้วย เอ๊ะ..เมื่อตะกี้เราคิดอะไรอยู่ พอรู้ว่าคิดอะไรก็พอละ หันกลับมาสนใจที่จะหายใจเข้าออกลึกๆใหม่ คนช่างสังเกตมีสติสะดังอยู่กับปัจจุบัน จะไม่เป็นคนใจลอยเลอะเทอะย้ำคิดซ้ำซาก

4.. ยอมรับทุกอย่างที่พระพรหมโยนมาใส่ชีวิตเรา อย่าบ่น ยอมรับมันตามที่มันเป็น ไม่ต้องดราม่า ไม่ต้องตั้งแง่กับชีวิตว่านี่หรือชีวิต ไม่ต้องไปคิดอะไรต่อยอดสิ่งที่สังเกตพบเห็น แค่รับรู้มันตามที่มันเป็น ไม่ต้องเอาตัวตนของเราเข้าไปพิพากษาตัดสินอะไรทั้งสิ้น ยอมรับลูกเดียว ท่องคาถา “ขอบคุณ ขอโทษ ให้อภัย เมตตา”

5.. ถ้าไม่ยุ่งกับความคิดได้ เป็นดีที่สุด แต่หากจะคิดอะไร ให้คิดบวกเท่านั้น ระวังติดเชื้อคิดลบจากคนอื่นซึ่งมีมากในบริษัทที่กำลังเผชิญปัญหาธุรกิจ ใครที่มีแต่ความคิดลบพูดแต่เรื่องลบๆอย่าไปอยู่ใกล้เขา ถ้าจำเป็นต้องอยู่ใกล้ก็อย่าไปมองหน้าเขา เดี๋ยวจะติดเชื้อเขามา เขาพูดอะไรก็อย่าไปคิดตามเออออตาม ให้หันมาสนใจลมหายใจของเราแทนปล่อยให้เขาพล่ามผ่านหูของเราไป

6.. ในการทำงานให้ทำอย่างสุดจิตสุดใจ อย่าไปตั้งแง่ว่างานนี้เราชอบหรือไม่ชอบ เอาเป็นว่าอย่างไรเสียตอนนี้เราต้องทำงานนี้เพราะเราต้องเลี้ยงลูกเลี้ยงผัว ให้หาความสุขจากการได้ลงมือทำงานอย่างสุดจิตสุดใจ ทำอย่างสุดฝีมือ แน่วแน่ จริงจัง ใส่ใจกระกระบวนการทำหรือขั้นตอนตรงหน้า focus on process อย่าไปว่อกแว่กว่าผลลัพท์ที่ออกมาจะเป็นอย่างไร เพราะการได้ทำอย่างสุดจิตสุดใจทุ่มสุดตัวโดยไม่สนใจว่าใครจะเอาหัวเดินต่างตีนก็ช่างเขาเป็นการเพิ่มพลังชีวิต แต่การมัวพะวงว่าผลลัพท์จะดีหรือไม่ดี นายจะชอบหรือไม่ชอบ คนอื่นจะเอาเปรียบเราหรือเปล่า เป็นการบั่นทอนพลังชีวิต ทำงานเล็กๆเสร็จไปชิ้นหนึ่งก็เฉลิมฉลองกับตัวเองเสียหน่อย ชูกำปั้นให้ตัวเองแล้วร้องเย่ ในใจ ก็ได้

7.. หาเวลาออกกำลังกาย ถ้าไม่มีเวลาก็เอาตอนพักกินข้าวเที่ยงนั่นแหละ ออกไปเดินขึ้นลงที่บันไดออฟฟิศสักครึ่งชั่วโมง การได้ออกกำลังกายให้เหนื่อยเป็นการเพิ่มพลังชีวิต

8.. เลือกกินอาหารที่เสริมพลังชีวิต กินพืชผักผลไม้ถั่วนัทมากๆ ยิ่งอยู่ในสภาพสดยิ่งดี กินเนื้อสัตว์น้อยๆ หลีกเลี่ยงของหวานหรือเครื่องดื่มรสหวานเพราะจะทำให้เกิด sugar dip คือพลังหมดแม้จะกินหวานไปหยกๆ อย่ากินแบบสวาปามเพราะจะบั่นทอนพลังชีวิตคือกินอิ่มเกินไปแล้วอืดเป็นงูเหลือมจนทำอะไรไม่ได้ กินแค่พอใกล้จะอิ่มก็หยุด ไม่ต้องรอให้อิ่ม ปล่อยให้ตัวเองหิวสักนานๆอย่ารีบหาอะไรกิน เพราะความหิวจะทำให้ร่างกายสร้างพลังชีวิตเพิ่มขึ้นจากอาหารที่เก็บตุนไว้เรียบร้อยแล้วในตับ

9.. อาบน้ำเย็นๆ อย่าอาบน้ำร้อน ปล่อยให้น้ำราดรดจากหัวถึงตัวนานๆ น้ำเย็นจะลดอุณหภูมิร่างกายลงทำให้หลับง่าย หลับลึก ตื่นแล้วมีพลัง

10.. ใช้คลื่นความสั่นสะเทือนของเสียงช่วยสร้างพลังชีวิต ขับรถก็เปิดเพลง ไม่ต้องเปิดข่าว หรือเปิดเพลงโปรดที่อัดไว้แล้วร้องตาม ไม่มีอะไรทำก็ครางอื้อ อี๋อ อือ สร้างความสั่นสะเทือนให้เขย่าร่างกายเข้าไว้ ถ้าโอกาสอำนวยเช่นทำครัวล้างจานก็ขยับร่างกายเคลื่อนไหวไปตามจังหวะเพลงขณะที่ฮัมเพลงไปด้วย เวลานั่งหรือยืนให้ตั้งร่างกายให้ตรง เวลาเคลื่อนไหวเดินไปมาให้เคลื่อนไหวเร็ว มั่นใจ ฟุบฟับ ฟุบฟับ เวลาพูดให้พูดเสียงดังฟังชัด มีความกังวานอยู่ในเสียง อย่าพูดเสียงแผ่วแบบคนจะขาดใจตาย

11. เวลาพักให้ออกจากออฟฟิศไปรับแดดรับลมข้างนอกบ้าง ธรรมชาติเช่นต้นไม้ ที่โล่งกว้าง ท้องฟ้า แสงแดด ลมพัด อยู่กลางฝนโปรยปราย เป็นสนามพลังงานในรูปของคลื่นความสั่นสะเทือนอยู่แล้ว แค่เปิดรับเอาพลังงานเข้ามา กางมือออก สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ผ่อนคลาย ยิ้ม พลังก็มาแล้ว

12.. จัดเวลานอนหลับให้พอ อย่าเอางานมาทำที่บ้าน อย่าเปิดดูหน้าจอจนค่ำมืดดึกดื่น หมดกิจประจำวันแล้วรีบอาบน้ำนอน หัดทำสมาธิวางความคิดก่อนนอนสักห้านาทีได้ยิ่งดี ถ้าไม่ได้ก็สักหนึ่งนาทีก็ยังดี

ลงมือทำทั้งหมดนี้ก่อน ผมรับประกันว่าพลังชีวิตจะมา เมื่อพลังชีวิตมา งานที่ว่ามากก็จะดูเหมือนน้อยเกินไป เวลาที่เคยมีน้อยจนจะหายใจก็แทบไม่มีเวลา ก็จะกลายเป็นว่าทุกลมหายใจทำไมมีแต่ความบันเทิงในชีวิต ลองดูนะ จริงหรือไม่ ไม่ลองไม่รู้

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เจ็ดใครหนอ

สอนวิธีแปลผลเคมีของเลือด

กินคีโตไข่ต้มไก่ต้มทุกวันแล้วหลอดเลือดหัวใจตีบ

ความแก่..เหมือนหมาถูกต้อนเข้ามุมให้จนตรอก

ชีวิตเมื่อตายไปแล้ว

เปลี่ยนอาหาร ปั่นจักรยาน น้ำตาลลด ความดันลด แต่ไขมันทำไมไม่ลด

ท่านอายุเก้าสิบแล้วยังไม่รู้ แล้วท่านจะรู้มันไปทำพรื้อละครับ

สิ่งที่ขาดหายไปจากชีวิตคนเราคือความเบิกบาน (Joy)

อายุ 70 ปีถูกคนในบ้านไล่ให้ไปฉีดวัคซีนไข้เลือดออก

มะเร็งต่อมลูกหมากแพร่กระจายไปกระดูกขาแล้ว จะไปต่อไงดี