เพราะการแต่งงานคือรูปแบบของทาส (slavery) ที่ฝ่าข้ามยุคสมัยมาได้จนถึงวันนี้
(ภาพวันนี้: ยี่เข่ง)
กราบเรียนคุณหมอ
หนู … นะคะ ขอถามเรื่องการแต่งงานสั้นๆ เพราะตอนนี้มีผู้ชายที่อายุมากกว่าหนึ่งรอบมาจีบ (ตัวเองก็สามรอบแล้ว) ทำให้ละล้าละลัง อยู่คนเดียวก็สบายดีไม่เหงา อนาคตจะเหงาหรือเปล่าไม่รู้ อยากถามว่าการแต่งงานสำหรับคนโสด มีอะไรที่จะต้องสูญเสียบ้าง อะไรเป็นปัจจัยจำเป็นที่ทำให้คนเราต้องแต่งงาน ถ้าไม่มีปัญหาเรื่องเหงา ไม่แต่งงานก็ได้ใช่ไหม
……………………………………………………………..
ตอบครับ
จดหมายของคุณทำให้ผมนึกถึงเพื่อนคนหนึ่ง เขาเป็นนักแต่งเพลง วันหนึ่งน้องที่เขาชอบเรียกมาช่วยร้องเพลงได้มาปรับทุกข์ให้ฟังถึงที่ผู้ชายคนหนึ่งมาเกาะแกะมาจีบทำให้เธอว้าวุ่นใจเพราะเธอไม่อยากทิ้งชีวิตอิสระที่ลงตัวดีอยู่แล้วไปแต่งงานกับผู้ชายคนนั้น เพื่อนเขาจึงแต่งเพลงให้เธอร้อง เนื้อความมีประมาณว่า
“…แม้..เธอจะให้ซึ่งความจริงใจ
ฉันยังไหวหวั่นว่ามันไม่จริง
เธอบอกว่าฉันนั้นเป็นทุกสิ่ง
เป็นความรักจริง ไม่มีสักวันเสื่อมคลาย
….ฉัน..ฟังคำพูดก็ติดใจตรึง
เผลอตัวแว้..บ..บ หนึ่ง ใจจะละลาย
ฉันอย่างจะรัก รักเธอง่ายๆ
ให้เหมือนนิยาย ไม่รอให้ต้องจบตอน…”
จำเนื้อต่อไปไม่ได้ละ กลับมาตอบคำถามของคุณดีกว่า
1.. ถามว่าการแต่งงานมันจะมีผลต่อชีวิตของคนโสดอย่างไรบ้าง ตอบว่ามันจะมีผลให้เสรีชนกลายเป็นทาส เพราะการแต่งงานก็คือระบบทาสที่ฝ่าข้ามยุคสมัยมาได้จนถึงปัจจุบัน ระบบทาส (slavery) นี้เป็นระบบที่มนุษย์เองนี่แหละคิดขึ้น สัตว์ชนิดอื่นก็มีบ้างที่ใช้ระบบทาสเช่นมดบางชนิดจับเอาลูกมดจากรังอื่นมาเป็นทาสทำงานหนักในรังของพวกตน แต่เราอย่านอกเรื่องไปไกลถึงเรื่องของมดเลย เอาแต่เรื่องของคนก็แล้วกัน ระบบทาสมีคอนเซ็พท์ว่าอย่ายอมให้ใครมีความเป็นปัจเจก (individual) หรือเป็นเสรีชน ทุกคนต้องมีชีวิตอยู่เพื่อทำกิจของส่วนรวม ผมว่าคอนเซ็พท์แบบนี้เป็นพื้นฐานให้สังคมมนุษย์เติบใหญ่จนเบียดไล่ที่สังคมของสัตว์อื่นๆลงได้เกือบเหี้ยนเต้ ตัวระบบเองมีรูปแบบหลากหลายและถูกปรับเปลี่ยนเรื่อยมาตามยุคสมัย แต่รูปแบบที่ค่อนข้างอยู่ยั้งยืนยงคือ “การแต่งงาน”
ที่ไหนมีการกดขี่ ที่นั่นย่อมมีการต่อสู้ การลุกฮือของทาสเกิดขึ้นเรื่อยมาในประวัติศาสตร์ และเป็นต้นเหตุให้ทาสหลายรูปแบบสูญหายสลายไป แต่รูปแบบการแต่งงานยังอยู่ เพราะการแต่งงานมีกลไกเล็กๆเป็นรูระบายป้องกันการระเบิดหรือลุกฮือได้ เช่น การหย่าร้าง การแอบนอกใจ หรือผละจากไปบวชเป็นฤาษี ชีไพรดื้อๆ
2.. ถามว่ามีปัจจัยอะไรที่ทำให้เราปฏิเสธการแต่งงานไม่ได้ ตอบว่าการอยากทำลูกเป็นปัจจัยเดียวที่ทำให้เราปฏิเสธการแต่งงานไม่ได้ เพราะเราทำลูกคนเดียวไม่ได้ จริงอยู่การไปซื้อน้ำเชื้อมาทำลูกเองเป็นไปได้ในต่างประเทศ แต่ในเมืองไทยนี้ผมยังไม่เคยเห็นสูติแพทย์คนไหนยอมทำลูกให้ผู้ป่วยด้วยวิธีนี้ ยังไม่นับว่าชีวิตของลูกนอกสมรส (เด็กกำพร้า) ในเมืองไทยนี้เป็นชีวิตที่ไม่ค่อยสบายนัก การจะมีลูกจึงควรทำผ่านการแต่งงานเป็นดีที่สุด ส่วนเหตุผลอื่นๆที่ทำให้คนแต่งงานกันในสมัยก่อนนั้น สมัยนี้ไม่จำเป็นแล้ว เช่น แต่งงานเพื่อจะได้มีเซ็กซ์ สมัยนี้ไม่ต้องแล้ว เจรจาต้าอวยให้เจตนาตรงกันแล้วก็ไปมีเซ็กซ์กันได้แล้ว อยากมีเซ็กซ์กันทุกวันก็หอบผ้าไปอยู่ด้วยกันเลยจนหายอยากแล้วค่อยย้ายกลับ ไม่ต้องมาแต่งงานกันให้วุ่นวายขายปลาช่อน
3.. ถามว่าถ้าไม่มีปัญหากับการอยู่คนเดียว ไม่มีปัญหากับความเหงา ไม่ต้องแต่งงานได้ไหม ตอบว่า ได้ ใครจะไปทำอะไรคุณละครับ อย่างน้อยตำรวจก็ไม่จับคุณเพราะข้อหาทึนทึกแน่นอน ตอนนี้คุณอยู่คนเดียวได้ไม่เหงานั้นดีแล้ว ที่กลัวจะเหงาในอนาคตนั้น ผมจะเล่าให้ฟังว่าธรรมชาติของใจมนุษย์ในเรื่องความเหงา มันเป็นไปตามแบบที่ใครสักคนเขียนไว้ ผมเข้าใจว่าน่าจะเป็นเบอทรันด์ รัสเซล เขาเขียนไว้ว่า
“..มนุษย์มีสันดานขี้เหงา โหยหาความรักและการเอาใจใส่
พอได้รับความรักและการเอาใจใส่แล้วเขารู้สึกอึดอัดกับความผูกพัน เขาก็โหยหาอิสรภาพ
พอเขาได้อิสระภาพแล้วเขาก็เหงาและโหยหาความรักและการเอาใจใส่..”
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นวนเวียนซ้ำซากอยู่ในหัวคุณเองและอยู่ภายใต้การควบคุมของคุณเองทั้งนั้น คุณจะเอาแบบไหนก็คงต้องตัดใจเลือกเอาเองสักแบบหนึ่ง
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์