ก้อนผิดปกติ จะมีนัยสำคัญก็ต่อเมื่อมันเพิ่มขนาดเกินเท่าตัวใน 6-12 เดือน
(ภาพวันนี้.. ป่าตะเคียนปลูกใหม่อายุปีกว่า)
ขอรบกวนเรียนปรึกษาคุณหมอค่ะ
สามีอายุ 78 ปี เป็นไวรัสบีทานยาฆ่าเชื้อมา 2-3 ปีจนปัจจุบันหมอแจ้งว่าจากผลตรวจเหลือเชื้อน้อยแล้ว รวมทั้งเคยผ่าตัดเอาเนื้อเยื่อต่อมลูกหมากออกเนื่องจากปัสสาวะมีปัญหา จากที่ไปพบหมอครั้งสุดท้ายและมีการตรวจอัลตราซาวด์ในช่องท้องส่วนบน หมอแจ้งว่าพบก้อนเนื้อเล็กๆที่ตับมีขนาดโตขึ้นจากการตรวจครั้งก่อน และยืนยันที่จะให้ตรวจ CT scan เพื่อดูว่าเป็นเนื้อร้ายหรือไม่ แต่พี่ก็แย้งหมอไปว่าขอรออีกสัก 2-3 เดือนและมาทำอัลตราซาวด์อีกครั้ง ถ้าขนาดโตขึ้นอีกค่อยทำได้ไหม เนื่องจากพี่เห็นว่าค่าไตก็อยู่ในขั้นที่ค่อนข้างไม่ดี (และจากที่เคยอ่านบทความของคุณหมอว่าการทำซีทีเท่ากับการเอ๊กเรซ์ถึง 6 ร้อยกว่าแผ่น รวมทั้งการต้องฉีดสีทึบแสงซึ่งจะมีผลกับไตอย่างมาก ไม่จำเป็นไม่ควรทำ) แต่แค่พูดว่าให้รอทำอัลตราซาวด์อีกครั้งยังไม่ได้พูดถึงเหตุผล ก็ถูกหมอโวยวายว่าไม่มีประโยชน์ที่จะรอ ต้องทำ ก็เลยบอกว่าขอกลับมาคิดก่อน ใจคิดไปถึงอยากจะเปลี่ยนหมอเลย จึงอยากขอปรึกษาขอความเห็นคุณหมอโดยได้ส่งผลตรวจอัลตราซาวด์และผลตรวจเลือดของไตมาประกอบการพิจารณาค่ะ หากต้องมีผลตรวจอะไรเพิ่มจากนี้รบกวนคุณหมอช่วยแจ้งด้วยค่ะ
ขอขอบพระคุณคุณหมอเป็นอย่างมาก พี่ไม่รู้จะคิดอย่างไร ตัดสินใจไม่ถูก ได้แต่ขอรบกวนคุณหมอ
ขอบพระคุณจริงๆค่ะ
………………………………………………………
ตอบครับ
ช่วยส่งผลการตรวจครั้งก่อนหน้านี้มาให้ดูหน่อยสิครับ ก่อนที่ผมจะให้คำแนะนำอะไร
ประเด็นคือผลตรวจครั้งนี้ที่ส่งมาให้ ผลการตรวจอุลตร้าซาวด์ตับไม่มีการวัดขนาดสิ่งที่เรียกว่าก้อนผิดปกติ ไม่ได้บอกว่าที่ก้อนผิดปกติเพิ่มขนาดขึ้นนั้นเพิ่มจากกี่ มม. เป็นกี่ มม. ในช่วงเวลาห่างกันเท่าใด ผมเดาเอาว่าแพทย์ไม่มีข้อมูลนี้ จึงไม่พูดถึงในรายงานการตรวจ หรือไม่ก็ขนาดมันเล็กมากจนวัดไม่ถนัด เพราะทีซิสต์อีกอันหนึ่งขนาด 8 มม. อยู่คนละซีกท่านยังบรรยายและวัดขนาดไว้อย่างละเอียดเลย แต่ก้อนที่ว่าสงสัยจะเป็นมะเร็งนี้กลับไม่มีบรรยายรายละเอียดอะไร การขาดข้อมูลการวัดนี้ทำให้ไม่สามารถเอาผลการตรวจครั้งนี้ไปใช้ประโยชน์อะไรได้เลย เพราะ
1. การบอกว่าขนาดเพิ่มขึ้นโดยไม่มีการวัดขนาดเปรียบเทียบให้เห็นจริง ไม่ใช่ข้อมูลวิทยาศาสตร์ เป็นการดูโหงวเฮ้ง
2. ถ้าขนาดของก้อนใดๆในร่างกายเพิ่มขึ้นช้ากว่าหนึ่งเท่าตัว (double) ในเวลา 6-12 เดือน ยังไม่ถือว่ามีนัยสำคัญในแง่ที่ว่าควรสงสัยมะเร็งหรือไม่ เพราะมองจากมุมภาพการแพทย์ (imaging) จะถือว่าการขยายขนาดของก้อนผิดปกติจะเป็นการขยายขนาดที่เร็วถึงระดับสงสัยว่าจะเป็นมะเร็งที่ active ก็ต่อเมื่อมีการเพิ่มขนาดเท่าตัวในเวลา 6-12 เดือน ไม่ต้องใจร้อน เพราะใจร้อนไปก็ไลฟ์บอย วัยของผู้ป่วยเกินจุดที่จะใช้การรักษาแบบรีบๆเช่นการผ่าซีกเอาตับออกหรือผ่าตัดเปลี่ยนตับ มันเลยจุดนั้นไปแล้ว
แต่ทั้งหลายทั้งปวงนี้ ถ้าขี้คุณพี่เกียจจะสืบสาวราวเรื่อง จะใช้วิธีถอยกลับออกมามองในภาพใหญ่แล้วตัดสินใจเรื่องนี้ใหม่ทั้งหมดโดยทิ้งข้อมูลที่มีอยู่ไปเสียทั้งหมดก่อนก็ได้
กล่าวคือ ในภาพใหญ่ คนอายุ 78 ปี จะเป็นมะเร็งที่ตับหรือไม่เป็น ทางเลือกการรักษาที่ดีที่สุดคือไม่ทำอะไรเลยอยู่แล้ว ดังนั้นการพยายามตรวจโน่นส่องนี่ว่าจะเป็นมะเร็งตับไหมนี่เป็นเรื่องไร้ประโยชน์ เพราะตรวจพบว่าเป็นอะไรไม่เป็นอะไร แผนการรักษาหรือการจัดการปัญหาก็ยังเหมือนเดิม คือไม่ทำอะไรอยู่ดี การเที่ยวตรวจเที่ยวทำอะไรทั้งๆที่รู้ๆอยู่แล้วว่าไร้ประโยชน์ โดยมาตรฐานหลักวิชาแพทย์เป็นสิ่งไม่ควรทำ ถือว่าเป็น futile treatment เสียเงิน เสียเวลา และเสียสุขภาพจิตเปล่าๆ หลักข้อนี้ถือเป็นหลักจริยธรรมวิชาชีพแพทย์ข้อหนึ่งทีเดียว เรียกว่าหลักไม่ทำสิ่งไร้ประโยชน์ (Principle of futility)
ดังนั้นผมแนะนำว่าคุณพี่มีทางเลือกสองทาง คือ
1.. พาสามีไปทำอุลตร้าซาวด์ตับที่ไหนก็ได้ ให้เขาวัดขนาดก้อนไว้ด้วย กี่มิล กี่เซ็นต์ อ่านดูในรายงานว่าเขาวัดจริงหรือเปล่า ทำสองครั้งห่างกัน 6 เดือน แล้วส่งผลมาให้ผมอีกที เตือนผมด้วยว่าเป็นเรื่องเก่าตอบค้างไว้ แล้วผมส้ญญาว่าจะตอบให้ หรือ..
2. เลิกยุ่งกับผลการตรวจอุลตร้าซาวด์ตับที่ให้ข้อมูลกะบ่อนกะแบ่นนี้เสีย หันไปใช้ชีวิตเพลิดเพลินกับการปลูกผักปลูกหญ้าตามปกติ แบบไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถึงจะมีอะไรเกิดขึ้น ก็ยอมรับมันได้ทั้งนั้น
ปูนนี้แล้วสิ่งที่มีคุณค่ามากที่สุดก็คือ “วันนี้” นะ อย่ามัวไปยุ่งกับความกังวลถึงอนาคตซึ่งเป็นของไม่มีอยู่จริงจนเสียโอกาสที่จะได้ใช้ชีวิตในวันนี้ไป มิชชั่นในชีวิตคนเราจริงแล้วมีแค่สองอย่างเท่านั้น คือใช้ชีวิต (living) และเรียนรู้ (learning) ใช้ชีวิตก็คือเราจะอยู่ในโมเมนต์นี้อย่างไรให้เบิกบานและสร้างสรรค์ คือชีวิตเขาใช้กันทีละโมเมนต์ ใช้ชีวิตราวกับว่าพรุ่งนี้จะไม่มีแล้ว แต่เรียนรู้ราวกับว่าชีวิตนี้จะอยู่ไปชั่วนิรันดร์ คำว่าเรียนรู้นี้ผมหมายความลึกซึ้งถึงการเรียนรู้สิ่งที่ไกลไปกว่าสิ่งเรารับรู้ผ่านอายตนะและความคิด ปูนนี้แล้วสิ่งที่ผ่านมาทางอายตนะและความคิดมันก็ล้วนแค่หมอนๆเดิมๆที่เราเจนจบหมดแล้ว ไม่ต้องเรียนอะไรเพิ่มแล้ว แต่ผมหมายถึงการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆที่อยู่พ้นไปจากการรับรู้ผ่านอายตนะและความคิดของเรา อยู่พ้นไปจากภาษา ซึ่งมันต้องเรียนรู้ผ่านการวางความคิดหรือผ่าน meditation
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์