ไม่เต็มบาทนั้นโอเค. แต่ไม่เต็มร้อย...ไม่โอเค.

หมอสันต์พูดกับสมาชิกแค้มป์ Spiritual Retreat ขณะนั่งสมาธิกันบนสนามหญ้าตอนเช้า

เรามักพูดถึงคนที่ไม่ให้ราคากับสิ่งที่สังคมส่วนใหญ่ให้ราคา กลับไปชอบทำในสิ่งที่คนส่วนใหญ่ในสังคมเขาไม่ทำกันว่าเป็นคน “ไม่เต็มบาท” บางทีก็เรียกว่าเป็นคนสามสลึง ภาษาเหนือมีสะแลงว่า

“มีสองสลึงป๋ายแหมซาวห้า”

แปลว่ามีสองสลึงบวกอีกยี่สิบห้าสตางค์ ก็คือสามสลึงหรือไม่เต็มบาทนั่นแหละ ซึ่งในภาพรวมก็คือคนไม่เต็มเต็ง คนขาดตกบกพร่อง ไม่สมบูรณ์แบบ ไม่ใช่แบบฉบับที่ดีของสังคม จะไปคาดหวังอะไรกับคนแบบนี้ไม่ได้

แต่ในเส้นทางการแสวงหาความหลุดพ้นจากกรงความคิดของตัวเอง การเป็นคนไม่เต็มบาทไม่ใช่เรื่องซีเรียส กลับจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีเสียอีกตรงที่การเป็นคนไม่อินังขังขอบกับกฎกติกาของสังคมอยู่แล้วทำให้ทิ้งความยึดมั่นในคอนเซ็พท์ไร้สาระที่หลงยึดมั่นมานานได้ง่ายๆ แต่ที่ซีเรียสสุดๆสำหรับคนเดินในเส้นทาง spirituality คือการเป็นคนทำอะไรแบบ “ไม่เต็มร้อย” หมายความว่าทำอะไรแบบไม่สุดจิตสุดใจ ไม่ทุ่มเทชีวิตให้ ชอบดมๆโน่นนิด ดมๆนี่หน่อย ผมเรียกง่ายๆว่าเป็นคนไม่เต็มร้อยก็แล้วกัน คนแบบนี้ไม่ว่าจะเดินบนเส้นทางนี้มายาวนานกี่สิบปี ท้ายที่สุดก็จะวนกลับมาอยู่ที่เดิมไม่ได้ไปไหนไกลจนกระทั่งตายคาที่

ผมขอพูดถึงความหมายคำว่าไม่เต็มร้อยนี้ให้ลึกซึ้งสักหน่อยนะ

อุปมาที่หนึ่ง สมมุติว่าคุณเป็นคุณนาย มีคนรับใช้อยู่ในบ้าน ตื่นเช้ามาคุณเห็นคนรับใช้เข้ามาทำความสะอาดบ้านคุณจะทักเธอว่าสวัสดีค่ะ เช้านี้เป็นอย่างไรบ้าง อย่างนี้หรือเปล่า เปล่าเลยใช่ไหมครับ คุณจะไม่ทักเธออย่างนั้นหรอก อย่างดีคุณก็จะทำเป็นไม่เห็นเธอหรือเห็นแว้บหนึ่งแล้วก็ก้มหน้าอ่านหนังสือหรือดูจอของคุณต่อไป เพราะคุณเป็นคุณนาย คุณต้อง “ไว้ตัว” คุณต้องวางฟอร์ม ต้องกั๊ก ต้องแบ่งแยกว่านี่คือฉันซึ่งเป็นคุณนาย นั่นคือคนใช้ การไว้ตัวเป็นสิ่งตรงข้ามกับเต็มร้อย ความเป็นคุณนายจะไม่ยอมให้คุณเต็มร้อยกับคนใช้ของคุณ

อุปมาที่สอง สมมุติว่าคุณมีลูกน้อยอายุขวบสองขวบ คุณไม่ได้มองเห็นว่าลูกเป็นคนอีกคนหนึ่งดอกแม้ว่าจริงๆแล้วเขาจะเป็นคนอีกคนหนึ่งก็ตาม ในทางตรงกันข้าม คุณโอบรับเอาลูกเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคุณ หรือคุณ “เปิดตัว” ออกไปเป็นหนึ่งเดียวกับลูก อย่างนี้เรียกว่าคุณเต็มร้อยกับลูก คุณมีลูกสามคนคุณก็เต็มร้อยกับลูกทั้งสามคน ผมเคยไปออกทีวีกับผอ.โรงเลี้ยงเด็กกำพร้าคนหนึ่ง เธอบอกผมว่าเธอมีลูกสองร้อยกว่าคน ในความหมายคำพูดนั้นก็คือเธอเต็มร้อยกับเด็กกำพร้าในความดูแลของเธอทุกๆคน กรณีเป็นการเต็มร้อยระหว่างเรากับชีวิตอื่นอย่างนี้คุณจะเรียกมันว่าเมตตาธรรมก็คงได้

อุปมาที่สาม พวกเรากำลังนั่งอยู่กลางสนามหญ้าท่ามกลางธรรมชาติกันอยู่อย่างนี้ หากเราเป็นคนไว้ตัว เราก็จะต้องระมัดระวังทาครีมกันแดด สวมหมวก พ่นยาไล่แมลง แอบๆอยู่ใกล้ชายคา พิถีพิถันขยับขอบเสื่อไม่ให้อยู่ใกล้ร่างกายส่วนใดส่วนหนึ่งของเราเพราะกลัวส่วนของร่างกายไปแตะเอาดินหรือหญ้าเข้า นี่เป็นเพราะเราไว้ตัว ไม่ยอมเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ

ในทางตรงกันข้าม หากพวกเราทำอีกแบบหนึ่ง เอ้า ทุกคนลองทำไปพร้อมกันนะ ให้กางมือออก สูดหายใจเข้าลึกๆ เปิดรับเอาอากาศข้างนอกเข้ามาสู่ตัวเราด้วยความรู้สึกว่าเรากับธรรมชาติรอบตัวนี้เป็นสิ่งเดียวกัน มองธรรมชาติรอบตัวด้วยความซาบซึ้งขอบคุณ มองเห็นเป็นสิ่งสวยงามน่ารื่นรมณ์ เปิดตัวรับเอาแดดเอาลมที่มาสัมผัสและเหยียบเท้าเปล่าลงไปบนผืนดินอย่างไม่รังเกียจ นี่เรียกว่าเราเต็มร้อยกับธรรมชาติรอบตัว หรือเต็มร้อยกับจักรวาลนี้ ว่ามันกับเราแท้จริงก็เป็นสิ่งเดียวกัน

อุปมาที่สี่ สมมุติว่ามีคนๆหนึ่งเขามีความเข้าใจลึกซึ้งว่าชีวิตเขานี้มันก็เป็นหนึ่งเดียวกับชีวิตอื่นนั่นแหละ ลมหายใจที่เขาหายใจเข้าออกเดี๋ยวคนอื่นก็จะเอาไปหายใจเข้าออก อาหารที่เขากินเข้ามาและขับถ่ายออกไป เดี๋ยวมันก็จะผันแปรไปเป็นพืชหรือสัตว์กลายเป็นอาหารให้คนอื่นกินและขับถ่ายต่อๆกันไป โดยนัยนี้พลังชีวิตซึ่งได้มาจากอากาศที่หายใจก็ดี ร่างกายที่ได้มาจากผืนดินนี้ก็ดี ล้วนเป็นหนึ่งเดียวกันสำหรับชีวิตทุกชีวิต เขาจึงมองชีวิตของเขาว่าเป็นหนึ่งเดียวกับชีวิตอื่นๆ อย่างนี้เรียกว่าคนคนนั้นเต็มร้อยกับชีวิตอื่นทุกชีวิต คือเขาเปิดตัวออกไปเป็นหนึ่งเดียวกับทุกชีวิต

อุปมาที่ห้า วันพรุ่งนี้ผมจะให้ทุกคนลองทำงานศิลปะ ให้ทุกคนลองทำงานที่ต้องใช้ creativity ก็จะมีพวกเราบางคนที่เริ่มออกตัวว่าไม่เอาหงะ ไม่ชอบวาดเขียน ขอไม่ทำดีกว่า อย่างนี้เรียกว่าเราไว้ตัว ไม่ยอมเปลืองตัว ไม่เต็มร้อย แล้วใครกันหนอที่มาเสี้ยมให้เราเป็นคนไว้ตัว ก็กรงของความคิดที่เราถักขึ้นไว้คุ้มกันและยกย่องตัวตนหรือ identity ของเรานี่ไง มันเป็นผู้เสี้ยมเรา เพราะมันกลัวตัวมันเองจะเสียฟอร์ม วาดรูปไม่เป็นทำอะไรเห่ยๆออกมาให้คนอื่นเห็นแล้วกลัวคนอื่นเขาดูถูกเอาหรือเห็นเป็นตัวตลก มันจึงเสี้ยมให้เราไว้ตัวไม่ยอมทำอะไรที่เราไม่เคยทำหรือที่เราทำได้ไม่ดี

creativity ก็คือการออกจากพื้นที่ที่เรารู้จักดีแล้ว (known) ไปสู่พื้นที่ที่เราไม่รู้จักเลย (unknown) ถ้าเราเป็นคนไม่เต็มร้อย เราจะไม่ยอมทำอะไรที่เป็น creativity แต่ถ้าเราเป็นคนเต็มร้อย เราจะเปิดตัวออกไปสู่ unknown อย่างเด็มใจ ไปทดลองทำทดลองสัมผัสค้นหาอะไรที่เรายังไม่รู้จักอย่างไม่เกี่ยงงอนอะไรทั้งสิ้น

บนถนน spirituality นี้ถ้าเป็นคนไม่เต็มบาทมาเดินถนนนี้ ย่อมเดินได้อย่างไม่ลำบาก แต่ถ้าเป็นคนไม่เต็มร้อย มาเดินบนถนนนี้จะเสียเวลาในชีวิตเปล่าๆ ถนนสายนี้ทุกคนต่างมาเพื่อแสวงหาความหลุดพ้น หมายความว่าอย่างไรอยากจะหลุดพ้น ก็หมายความว่าเรากำลังถูกจับขังอยู่ใช่ไหมจึงหลุดพ้นออกไปไหนไม่ได้ แล้วอะไรละที่เป็นกรงที่จำกัดจำขังเราไว้ ก็กรงของความคิดของเราเองที่ถักทอขึ้นเป็นคอนเซ็พท์ของตัวตนหรือ ego หรือ identity ของเรานี่ไง การเป็นคนไว้ตัวก็คือการเป็นคนเคารพบูชายกย่องกรงขังอันนี้เพราะเราเชื่อและชื่นชม “ตัวเรา” อย่างเต็มแม็ก ขณะที่การเป็นคนเต็มร้อยคือการเป็นคนพร้อมที่จะแหกกรงอันนี้ทิ้งออกไปหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับสิ่งอื่นชีวิตอื่นที่เราเคยเรียกว่า “ไม่ใช่ตัวเรา” เพราะไม่เชื่อว่าเส้นสมมุติที่แบ่งแยกตัวเราออกมาจากสิ่งที่ไม่ใช่ตัวเรานั้นเป็นของจริง ดังนั้นผมจึงว่าการเป็นคนเต็มร้อยเป็นคุณสมบัติพื้นฐานที่จำเป็นของคนที่คิดจะมาเดินบนถนนเส้นนี้

นพ.สันต์ ใจขอดศิลป์

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เจ็ดใครหนอ

สอนวิธีแปลผลเคมีของเลือด

กินคีโตไข่ต้มไก่ต้มทุกวันแล้วหลอดเลือดหัวใจตีบ

ความแก่..เหมือนหมาถูกต้อนเข้ามุมให้จนตรอก

ชีวิตเมื่อตายไปแล้ว

เปลี่ยนอาหาร ปั่นจักรยาน น้ำตาลลด ความดันลด แต่ไขมันทำไมไม่ลด

ท่านอายุเก้าสิบแล้วยังไม่รู้ แล้วท่านจะรู้มันไปทำพรื้อละครับ

สิ่งที่ขาดหายไปจากชีวิตคนเราคือความเบิกบาน (Joy)

อายุ 70 ปีถูกคนในบ้านไล่ให้ไปฉีดวัคซีนไข้เลือดออก

มะเร็งต่อมลูกหมากแพร่กระจายไปกระดูกขาแล้ว จะไปต่อไงดี