อยากตายแบบไปนิพพานแต่เข้าฌาณไม่เป็น
ลูกเป็ดออโตมาตรอนรุ่นเก๋า |
การใช้ชีวิตของมนุษย์เราส่วนใหญ่ทุกวันนี้เปรียบไปก็เหมือนหุ่นยนต์รุ่นโบราณสมัยไม่มีคอมพิวเตอร์ซึ่งนักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์เรียกว่าออโตมาตรอน (automatron) ที่มีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมตลอดเวลาตามสิ่งเร้าแต่ไม่มีการพัฒนาอะไรในสาระสำคัญเลยตั้งแต่เกิดมา ผมเอารูปของออโตมาตรอนรุ่นเก่ามาให้ดูด้วยว่ามันซิมเปิ้ลขนาดไหน ชีวิตแต่ละขณะถูกกำหนดโดยสิ่งเร้าภายนอกอย่างไรก็ยังคงเป็นอย่างนั้น ทุกอย่างเป็นไปตามวงจรย้ำคิดย้ำทำโดยไม่มีความรู้ตัว ชีวิตของคนที่เทียบได้กับหุ่นยนต์รุ่นโบราณนี้เหมือนกับอาณาจักรเล็กๆในนิทานหลอกเด็กที่ประชาชนผลัดกันขึ้นมานั่งบัลลังก์เป็นกษัตริย์คนละไม่กี่นาที คนนี้ขึ้นมามีอำนาจมาก็บ้องหูคนเก่าให้ตกบัลลังก์ไปแล้วสั่งการเอาอย่างหนึ่ง คนนั้นขึ้นมามีอำนาจก็บ้องหูคนอยู่เดิมให้ตกบัลลังก์ไปอีกแล้วตัวเองก็สั่งการเอาอีกอย่างหนึ่ง ความคิดที่โผล่ขึ้นมาแสดงตัวเป็น "ฉัน" ในแต่ละวินาทีแบบอัตโนมัติในตัวเรานี้ก็เปลี่ยนหน้ากันไปตามแต่จะถูกสิ่งเร้าแหย่อะไรเข้ามาวันหนึ่งๆไม่รู้กี่สิบกี่ร้อยความคิด เหมือนกับประชาชนที่ผลัดขึ้นมาเป็นกษัตริย์ในดินแดนของนิทานหลอกเด็กนั่นแหละ
แล้วที่ว่าคนเหมือนหุ่นยนต์รุ่นโบราณตัวนี้ตรงที่ไม่มีการพัฒนาเลยนั้นก็เพราะการพัฒนาจริงมันต้องมีสองอย่างเกิดขึ้นพร้อมกัน คือด้านความรู้ และด้านความรู้ตัวซึ่งเป็นสารัตถะ (essence) ที่แท้จริงของการมีชีวิตอยู่ ด้านความรู้ของคนเราอาจจะมีการพัฒนาไม่หยุด แต่ด้านความรู้ตัวนั้นไม่มีการพัฒนาเลย เช่นแม้จะเรียนจบปริญญาโทปริญญาเอก หรือปริญญาเยอะแยะ จากเดิมขับรถไม่เป็นมาขับรถเป็น จากเดิมตีเทนนิสไม่ได้มาตีได้ จากเดิมมีคำนำหน้าว่าคุณมาเป็นคำว่าท่าน แต่ก็ยังเป็นคนที่หมกมุ่นในเซ็กซ์ ขี้ลืม ขี้ใจลอย จินตนาการฟุ้งสร้าน มือถือสาก ปากถือศีล โกรธง่าย และชอบอิจฉาริษยาอยู่เหมีย..น เดิม หุ่นยนต์รุ่นโบราณแบบนี้ความรู้ของเขาอาจเอาไปสร้างอาวุธมหาประลัยได้ แต่การที่ความรู้ตัวไม่ได้พัฒนาเขาจะกลายเป็นหุ่นยนต์อันตรายที่อาจทำให้โลกนี้ฉิบหายได้ ถ้าเกิดมาเป็นได้แค่นี้มันเสียเที่ยวที่เกิดมานะ ไปเป็นขี้ข้าของหุ่นยนต์ AI รุ่นใหม่ๆที่มีคอมพิวเตอร์กำกับเสียยังจะดีกว่า
เอาเถอะ เอาเถอะ เลิกพล่ามไร้สาระเสียทีสิลุง ตอบคำถามเหอะ
1. ถามว่าพยายามที่จะหยุดคิดแต่มันหยุดไม่ได้จะทำอย่างไร ตอบว่าความพยายามจะหยุดคิดเป็นความคิด คุณจะไปหยุดคิดด้วยการพยายามคิดได้อย่างไร เมื่อมีความคิดคุณไม่ต้องไปพยายามหยุดคิด แค่สังเกตดูว่ามีความคิดเกิดขึ้นมา สังเกตดูเฉยๆ แล้วความคิดที่ถูกเฝ้าสังเกตมันจะฝ่อหายไปเอง ถ้ามันไม่ยอมฝ่อหายก็หันหลังให้มันเสีย ดึงความสนใจออกมาจากมัน มาสนใจร่างกายเช่นสนใจลมหายใจแทน ในที่สุดมันก็จะฝ่อหายไปเอง
2. ถามว่าเป็นคนกิเลสหนา กะโหลกกะลา จะตัดกิเลสขาดได้อย่างไร ตอบว่าไม่มีใครตัดกิเลสขาดได้ดอก เพราะสิ่งที่คุณเรียกว่ากิเลสนั้นก็คือความคิดนั่นเอง ผมบอกแล้วไงว่าไม่มีใครหยุดความคิดได้ แต่ทุกคนสามารถสังเกตเห็นหรือรู้ทันความคิดได้ เมื่อรู้ทันมัน แล้วมันก็จะฝ่อหายไป เมื่อความคิดฝ่อหายไป ความรู้ตัวซึ่งอยู่ที่นั่นแล้วก็จะฉายแสงออกมาเอง
3. ถามว่าไม่มีเวลาศึกษาธรรมะแล้วจะทำอย่างไรดี ตอบว่าคุณไม่ต้องศึกษาธรรมะ ผมพูดแบบนี้บ่อยมาก ไม่ต้องเลย ไม่ต้องตระเวณไปตามสำนักต่างๆด้วย ไม่ต้องอ่านหนังสือ ไม่ต้องดูวิดิโอ ยิ่งคุณไปบ้าอาจารย์ ไปบ้าตำรา คุณยิ่งจะไม่หลุดพ้นไปไหน มันไม่มีประโยชน์ดอก เหมือนคุณออกธุดงค์แสวงหาความหลุดพ้น แต่ใจคุณยังปักหลักอยู่กับความคิดยึดมั่นในสำนึกว่าเป็นบุคคลเดิมๆนี้ไม่ได้ออกไปธุดงค์ที่ไหนด้วย แล้วมันจะได้ประโยชน์อะไร ดังนั้นคุณแค่ลงมือวางความคิดด้วยการถอยความสนใจออกมาจากความคิดมาอยู่กับลมหายใจหรืออยู่กับความรู้สึกบนร่างกายก่อน ครั้งละสักหนึ่งนาที ทำแค่นี้ให้ได้ก่อน แล้วคุณก็จะพบทางไปต่อของคุณเอง
4. ถามว่าถ้าไม่มีเวลาฝึกปฏิบัติธรรมแล้ว จะให้ทำทางลัดอย่างไรดี ตอบว่า แล้วคุณมีเวลาหายใจหรือเปล่าละ ถ้าคุณมีเวลาหายใจ คุณก็มีเวลาฝึกวางความคิดได้ เพราะการฝึกวางความคิดก็แค่ถอยความสนใจออกจากความคิดมาอยู่กับลมหายใจ ไม่ต้องไปทำอย่างอื่น
5. ถามว่าถ้าร่างกายป่วยมากทำอะไรก็ไม่ได้ จะทำอย่างไรต่อไปดี ตอบว่าก็ถ้าคุณซื้อรถยนต์มาคันหนึ่งหากถึงวันหนึ่งมันเก่ามากซ่อมยังไงก็วิ่งต่อไม่ได้แล้วคุณจะทำยังไงกับมันดี คุณก็ขายทิ้งเป็นเศษเหล็กใช่ไหม ร่างกายก็เช่นเดียวกัน คุณดูแลมันเต็มที่ ใช้มันให้เป็นประโยชน์เต็มที่ให้สมกับที่เกิดมามีร่างกายให้ใช้ แต่เมื่อทำอย่างไรมันก็ใช้การต่อไปไม่ได้แล้ว คุณก็ต้องทิ้งมันไป อย่าลืมว่าร่างกายนี้ไม่ใช่คุณนะ คุณคือความรู้ตัว เมื่อคุณทิ้งร่างกายก็คือคุณถอยความสนใจจากร่างกายไปอยู่กับความรู้ตัว ตัดหางปล่อยร่างกายนี้ไปซะ ขอบคุณนะที่รับใช้กันมา ถึงตอนนี้ไปกันต่อไม่ได้แล้ว ต้องจากแล้ว ลากันไปก่อนนะ เมื่อคุณทำอย่างนี้ ถ้าคุณส่งสัญญาณถอยจริงจัง และถ้าร่างกายมันหมดสภาพแล้วจริงๆ พลังชีวิตที่เคยถูกความสนใจของคุณปลุกเร้าให้ขับเคลื่อนร่างกายอยู่ก็จะค่อยๆถอยออกจากร่างกายไปด้วย แล้วคุณก็จะตายไปอย่างสงบ เหมือนงูเห่าที่เวลามันจะตาย มันจะเลื้อยไปนอนบนคาคบไม้ ไม่ออกหาเหยื่อ ไม่กิน ไม่ดื่ม แล้วมันก็ตายไปอย่างสงบ
6. ถามว่าอยากตายแบบพระพุทธเจ้า แต่เข้าฌาณไม่เป็น คงเป็นไปไม่ได้ที่จะเข้าถึงนิพพานใช่ไหม ตอบว่า ฮี่..ฮี่ ผมเผอิญไม่รู้คำสอนของศาสนาพุทธลึกซึ้ง ผมไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าพระพุทธเจ้านิพพานอย่างไร เข้าฌาณไหนก่อน ออกจากฌาณไหนแล้วไปต่อฌาณไหนอย่างไร ผมไม่รู้เลย ตรงนี้ผมตอบคุณไม่ได้เลยจริงๆ เพราะผมไม่รู้
แต่ถ้าถามถึงประสบการณ์ของผมเองเท่าที่ผมเคยลองซ้อมตายก่อนนอนหลับมา ผมพอแนะนำคุณได้นะ ว่าเวลาจะตายคุณควรทำอย่างไร คุณลองวิธีง่ายๆของผมก็ได้ วิธีของผมคุณไม่ต้องไปพะวงเรื่องเข้าฌาณนั้นออกฌาณนี้ แต่คุณต้องขยันซ้อมก่อนนอนหลับ คือให้คุณสมมุติเอาว่าการนอนหลับคือการตาย คือคุณก็ผ่อนคลายร่างกาย วางความคิดลง เอาความสนใจมาอยู่กับความว่างที่ตรงหน้าให้มันเหลือแต่ความว่างหนึ่งเดียวนี้ก่อน ต่อจากนั้นจึงหยุดเพ่งอะไรเสียทั้งหมด ปล่อยจิตไปไม่ต้องควบคุมอะไร แค่รู้ตัวอยู่กับความว่างที่ตรงหน้า อย่าไปอยู่กับความคิด ปล่อยวางความคิดไปให้หมด แค่นี้แหละ เมื่อใจคุณเป็นอิสระจากความคิดทั้งมวลแล้ว ใจมันจะยิ้มได้เองโดยไม่ต้องเล่าเรื่องตลกให้มันฟังเลย มันยิ้มเพราะมันไม่ต้องกังวลกับเรื่องราวใดๆอีกแล้ว คุณก็จะตายไปพร้อมกับรอยยิ้ม ถ้าคุณตายแบบนี้ได้ ผมว่าก็โอแล้วนะ
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์