ส่งท้ายปีเก่า 2563 การเผชิญหน้ากับอีโก้ที่ด่านสุดท้าย


      จะผ่านไปอีกหนึ่งปีแล้ว ก่อนอื่นขอขอบคุณแฟนๆที่ติดตามอ่านบทความของหมอสันต์มาด้วยดี (โดยปราศจากความรุนแรง หิ หิ) ผมเขียนบล็อกมาราวสิบสองปีแล้ว เขียนไป 1,794 บทความ มีคนเข้ามาอ่านแล้วประมาณ 30 ล้านครั้ง
 
     เท่าที่เขียนมามีปัญหาสามอย่างคือ (1) การเขียนในบล็อกสป็อตซึ่งเป็นของกูเกิ้ลแล้วเอาไปแปะในเพจซึ่งเป็นของเฟซบุ้คมันไม่ค่อยลื่นไหล เพราะสองเจ้านี้เหมือนไม่ถูกกัน ทางเฟซบุ้คชอบตั้งแง่ว่าภาพที่ผมเอามาจากบล็อกสป็อตเป็นภาพลิขสิทธิ์ลงให้ไม่ได้ ทั้งๆที่ภาพนั้นเป็นภาพที่ผมถ่ายเอง (2) ท่านผู้อ่านบ่นมาหลายครั้งว่าอยากค้นหาเรื่องใดเรื่องหนึ่งจากหลายๆบทความที่ผมเขียนแต่ทำได้ยาก เพราะมันไม่มีระบบแยกแยะ ได้แต่หาผ่านกูเกิ้ลซึ่งก็หาไม่ค่อยพบ (3) ความที่ผมเปิดอ้าซ่าว่าใครใคร่เอาบทความไปใช้ก็เอาไปได้ จึงมีคนเอาบทความไปใช้มาก เอาไปทำการค้าก็มีซึ่งผมก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่ที่น่าปวดหัวก็คือเอาบทความไปตัดเหลือเพียงบางส่วนแล้วแจ้งที่มาว่าหมอสันต์เขียนว่าอย่างนี้ ทำให้ผู้อ่านเข้าใจเนื้อเรื่องในเชิงหลักฐานวิชาการผิดไปได้แยะ

     เพื่อแก้ปัญหาทั้งสามอย่างนี้ ผมจึงวานให้น้องที่รู้เรื่องไอทีทำเว็บไซท์ใหม่ขึ้นมาชื่อ drsant.com  เพื่อเอาบทความทั้งหมดไปเก็บไว้ที่นั่น แล้วให้เขาใช้หลักวิชาจัดการสาระ (content management) ทำให้มันสะดวกแก่ท่านผู้อ่านในการค้นหาเรื่องที่เขาอยากค้น ดังนั้นนับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 เป็นต้นไป ผมจะโพสต์บทความบน drsant.com ซึ่งมันจะแชร์ไปให้เพจ (Facebook page) ชื่อ นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ โดยอัตโนมัติ การทำอย่างนี้จะทำให้ผมทำงานน้อยลงและท่านผู้อ่านเองก็จะค้นหาผ่านกูเกิ้ลได้ง่ายขึ้น โดยที่ท่านที่ติดตามอ่านทางเฟซบุ้คก็ยังติดตามได้เหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง จะมีเปลี่ยนแปลงบ้างก็คือการอนุญาตให้เอาบทความไปใช้แบบเปิดอ้าซ่านั้นจะขอเลิกตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 เป็นต้นไป ต่อไปผู้ประสงค์จะเอาบทความไปใช้กรุณาติดต่อ drsant.com ผ่านน้องผู้ดูแลที่เบอร์อีเมล contactdrsant@gmail.com และเฉพาะสำหรับท่านที่ติดตามอ่านตรงทางบล็อกสป็อทต่อแต่นี้ไปจะเหลือแต่บทความเก่า โดยบทความนี้จะเป็นบทความสุดท้าย บทความใหม่และบทความเก่าทั้งหมดจะไปโผล่ที่ drsant.com แทนนับแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 เป็นต้นไป 

     ในโอกาสส่งท้ายปีเก่า 2563 นี้ ขอเล่าเรื่องๆหนึ่ง ว่าเมื่อไม่กี่วันมานี้ผมทำแค้มป์ทบทวนการพลิกผันโรคด้วยตนเอง (RDR-3) ในแค้มป์ตอนเช้าตรู่มีการทำกิจกรรมประจำวันด้วยกันซึ่งมีการฝึกนั่งสมาธิวางความคิดด้วย จบแล้วมีสมาชิกหนุ่มๆท่านหนึ่งวิ่งตามมาถามว่า

     "อาจารย์ครับ เมื่อวางความคิดอยู่กับความรู้ตัวได้..แล้วไงต่อครับ"

     บรรยากาศในวันนั้นไม่เอื้อให้คุยกันได้นานๆ ผมจึงตอบสั้นๆไปแค่ว่า

     "แล้วไงต่อ.. เป็นความคิดนะ มันคือความสงสัย มันเป็นรูปแบบที่สำนึกว่าเป็นบุคคลใช้ดึงคุณให้จำกัดตัวเองไว้ภายในกรอบของคอนเซ็พท์ที่คุณสร้างขึ้นจากประสบการณ์เก่าๆของคุณ ส่วนความรู้ตัวเป็นสิ่งที่อยู่พ้นกรอบนั้นออกไป การจะรู้จักความรู้ตัวให้ลึกซึ้งขึ้น คุณต้องวางความสงสัยลงไปให้ได้ก่อน"

     ตอบไปสั้นๆแค่นั้น เดาเอาว่าคนฟังคงไม่เก็ท มาวันนี้พอจะมีเวลาขยายความ ผมจึงขอพูดถึงประเด็นนี้เพิ่มเติมในโอกาสส่งท้ายปีเก่าอันเปรียบเสมือนการเดินทางมาถึงฝั่งน้ำที่จะข้ามน้ำไปอีกฝั่งหนึ่งที่อยู่ข้างหน้า เพราะมันเป็นเรื่องสำคัญ

     คนเรา เมื่อเดินทางแสวงหาในชีวิตมาใกล้จะถึงจุดที่จะหลุดพ้นเข้าจริงๆ จะเกิดการข่มขู่ คุกคาม หรือดิ้นรน หรือสะบัด อย่างแรงจากอีโก้หรือสำนึกว่าเป็นบุคคลของเราเอง เพราะอีโก้มันไม่อยากถูกยุบเลิกหน่วยงานหรือถูกสลายตัวไปง่ายๆ มันจึงจะดิ้นแรงมาก จนทำให้ผู้แสวงหาแทบทุกคนหวั่นไหวครั้งใหญ่ที่สุดในชีวิต 

     "ใจคอจะทิ้งกันไปแบบลุ่นๆงี้เลยหรือ 

     อุตส่าห์ปลูกรักฟูมฟักให้ความเป็นบุคคลคนนี้

     เป็นตัวเป็นตนขึ้นมาได้ถึงเพียงนี้

     จะทุบกันทิ้งเสียดื้อๆเลยหรือ 

     จะทำลายกันจนไม่ให้เหลืออะไรเลยหรือ" 

     ความหวั่นไหวนี้ทำให้เกือบทุกคนที่อุตส่าห์เดินทางไกลมาจนถึงจุดนี้ มายืนอยู่ตรงนี้แล้ว ถึงฝั่งน้ำข้างนี้แล้ว แค่ข้ามน้ำไปฝั่งโน้นได้ก็พ้นแล้ว แต่กลับยอมหันหลังกลับไปโดยดุษฎีเพราะถูกอีโก้บีบให้หวั่นไหว หรือบางคนที่อายตัวเองว่าเป็นคนไม่เอาจริงก็ใช้วิธีเปลี่ยนวิธีการเดินจากที่เคยเดินตรงอย่างแหลมคมไปเป็นเดินอ้อมๆ เลียบๆ เคียงๆ ข้างๆ คูๆ ด้วยการเลี้ยงความสงสัยและตั้งคำถามให้ตัวเองคอยตอบเรื่อยไป หรือด้วยการเสาะหาอาจารย์เพิ่ม อ่านหนังสือเพิ่ม ดูวิดิโอเพิ่ม ตลอดชีวิต ซึ่งนั่นก็คือการกลับไปอยู่ในโลกของความคิดเดิมๆอีกครั้ง เพื่อจะได้หลบเลี่ยงการแตกหักกับอีโก้ในโอกาสที่ต้องเผชิญหน้ากันตรงด่านสุดท้ายนี้

     ไฮไลท์ที่ผมจะพูดถึงในโอกาสส่งท้ายปีเก่านี้ก็คือการจะฝ่าด่านตรงนี้ให้ใช้กลยุทธ์สองอย่าง คือ 

     (1) ต้องเดินหน้าแบบมอบกายถวายชีวิต คือพูดง่ายๆว่าถึงจุดนี้ต้องอาศัย"ศรัทธา" ศรัทธาไม่ใช่ "ความเชื่อ" นะ ความเชื่อเป็นความคิด เป็นเขตอิทธิพลของอีโก้ แต่ศรัทธาเป็นการยอมรับเดี๋ยวนี้อย่างไม่มีเงื่อนไขโดยไม่ต้องคิดอะไร เป็นสิ่งที่อยู่เหนืออีโก้ ดังนั้นให้ยอมหมด เปิดอ้าซ่ารับได้หมด เดินหน้าไปแบบคนไม่รู้อะไรเลย ไม่มีวาระอะไรล่วงหน้า ไม่มีข้อบ่งชี้ ไม่มีข้อบ่งห้าม ไม่มีความคาดหวัง มีแต่ความอยากรู้อยากเห็นว่าข้างหน้าจะมีอะไรโผล่เข้ามา เป็นการเดินเข้าหาความตื่นเต้นมหัศจรรย์ ผมแนะนำอย่างนี้จากประสบการณ์ของผมเอง ตัวผมเองมีความก้าวหน้าเพราะกล้าลอง กล้าเสี่ยง กล้าตาย อะไรจะเกิดก็เปิดรับให้มันเกิด จะแตกให้มันแตก จะตายให้มันตาย เพราะเราจะเรียนรู้สิ่งใหม่ได้อย่างไรหากเราหงออยู่แต่ในกรอบคอนเซ็พท์ที่กุขึ้นมาจากประสบการณ์ในอดีตของเราเองเท่านั้น เราต้องกล้าวิ่งออกไปกลางทุ่งของความไม่รู้อะไรเลย ยอมรับว่าในที่อย่างนั้นเราเป็นคนโง่ไม่รู้อะไรเลย เราจึงจะได้ค้นพบสิ่งใหม่ ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ซึ่งในทุ่งของความไม่รู้อะไรเลยนี้ อีโก้มันกลัวนักกลัวหนา และมันจะลากเราให้ถอยกลับออกมาอยู่เรื่อย แต่หน้าสิ่วหน้าขวานอย่างนี้อย่าไปเชื่ออีโก้ เพราะโอกาสที่จะหลุดพ้นจากสิ่งเก่าไปค้นพบสิ่งใหม่กำลังอยู่แค่เอื้อม 

    (2) ต้องตีกรอบเวลาในใจให้แคบลง จากเดิมที่ในใจมีมิติของเวลา มีปีเก่า มีปีใหม่ บีบลงมาให้เหลือเป็นมีแค่เดี๋ยวนี้ ทีละวินาที ไม่มีอดีต ไม่มีอนาคต เพราะอดีตทำให้ความเศร้าเสียใจมีที่ซุกซ่อนอาศัย อนาคตทำให้ความกลัวและความอยากได้อยากดีมีที่ซุกซ่อนอาศัย เมื่อเหลือแค่เดี๋ยวนี้แล้วการรับรู้และยอมรับทุกอย่างตามที่มันเป็นจะง่ายขึ้น เพราะเดี๋ยวนี้มันสั้นแค่วินาทีเดียว สิ่งที่ซีเรียสในเดี๋ยวนี้มีอย่างเดียวคือมีใครมาบีบคอให้เราหายใจไม่ออกหรือเอาปืนมาจ่อหัวเราอยู่หรือเปล่า อย่างอื่นล้วนไม่ซีเรียส ถ้าไม่มีใครกำลังบีบคอเราให้หายใจไม่ออกอยู่ เราก็ยอมรับเดี๋ยวนี้ได้แล้ว ให้รับรู้ทุกอย่างที่เดี๋ยวนี้ตามที่มันเป็น หมายความว่ารับรู้เป็นภาพ เสียง สัมผัส โดยไม่ต้องมีภาษาเข้ามาเกี่ยวข้อง เหมือนทำตัวเป็นกล้องถ่ายรูปแบบสะแน็ปช็อต กดถ่ายภาพเหตุการณ์ที่เข้าที่เดี๋ยวนี้ แชะ แชะ โดยไม่มีคำบรรยายภาพ ไม่มีการตั้งชื่อ ไม่มีการนิยาม หรือพิพากษา หรือตีความ หรือพาดพิงเกี่ยวพันกับผลประโยชน์ส่วนตนใดๆทั้งสิ้น เพราะผลประโยชน์ส่วนตนก็คือโครงสร้างของอีโก้นั่นเอง ให้รับรู้แบบมาแบบไหนรับรู้แบบนั้น รวมทั้งการเข้ามาของความคิดซึ่งชงขึ้นมาโดยอีโก้ด้วย รับรู้แล้วเลือกวิธีสนองตอบอันเป็นการสร้างแต่ละประสบการณ์ใหม่อย่างมีความใส่ใจ สนอกสนใจจริงจังไปทีละประสบการณ์ ทีละช็อต ทีละช็อต ไม่ใช่ปล่อยให้การสนองตอบเกิดขึ้นแบบอัตโนมัติจากวงจรย้ำคิดย้ำทำที่ปลูกฝังมาแต่อดีต เพราะแบบนั้นจะกลายเป็นการเตะหมูเข้าปากหมา คือเป็นการไปให้อำนาจกับอีโก้ลากเราถอยกลับไปที่เดิม 

     ทั้งสองกลยุทธ์นี้คือของฝากส่งท้ายปีเก่า 2563 จากหมอสันต์ ขอให้แฟนบล็อกทุกท่านมีความสุขกับเทศกาลคริสต์มาส-ปีใหม่ ขอแจ้งข่าวด้วยว่า โปรแกรมฟังเปียโนของหมอสันต์ที่บ้านโกรฟเฮ้าส์ (เวลเนสวีแคร์) วันเสาร์นี้ (26 ธค. 63) ก็ยังเดินหน้าไม่เลิกนะ เพราะลุงตู่ไม่ได้สั่งให้เลิกผมก็จึงไม่เลิก ใครที่ขี้ป๊อดจะไปไหนช่วงคริสตมาสปีใหม่ก็กลัวโควิด19 ให้ไปฟังเปียโนกับหมอสันต์ได้ ไม่มีความเสี่ยง เพราะไม่มีการแออัดยัดเยียด และครัวของหมอสันต์เป็นครัวมังสวิรัติ ไม่ต้องไปซื้อกุ้งที่มหาชัย หิ หิ 

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เจ็ดใครหนอ

ทะเลาะกันเรื่องฝุ่น PM 2.5 บ้าจี้ เพ้อเจ้อ หรือว่าไม่รับผิดชอบ

สอนวิธีแปลผลเคมีของเลือด

ชีวิตเมื่อตายไปแล้ว

แจ้งข่าวด่วน หมอสันต์ตัวปลอมกำลังระบาดหนัก

อายุ 70 ปีถูกคนในบ้านไล่ให้ไปฉีดวัคซีนไข้เลือดออก

เลิกเสียทีได้ไหม ชีวิตที่ต้องมีอะไรมาจ่อคิวต่อรอให้ทำอยู่ตลอดเวลา

ไปเที่ยวเมืองจีนขึ้นที่สูงแล้วกลับมาป่วยยาว (โรค HAPE)

หมอสันต์สวัสดีปีใหม่ 2568 / 2025

"ลู่ความสุข" กับ "ลู่เงิน"