หนูเกลียดตัวเอง


กราบเรียนคุณหมอสันต์
หนูมองคุณหมอเป็นญาติผู้ใหญ่เพราะตัวเองไม่มีญาติผู้ใหญ่ มีแต่ผู้ใหญ่ที่คอยซ้ำเติมว่าหนูเกิดมาเป็นเสนียดจัญไรของครอบครัว ชีวิตของหนูแตกแล้วด้วยความเศร้า หมองหม่น ได้แต่ทุรายทุรนแต่ก็หาทางออกไม่ได้ หนูทำอะไรไม่ดีไว้แยะ จนเป็นเหตุให้คนอื่นเขาเป็นทุกข์ถึงกับฆ่าตัวตาย หนูเข้าใจว่าเขาอ่อนแอไม่ใช่ความผิดของหนู บางครั้งหนูก็บอกตัวเองว่าช่วยไม่ได้ เพราะฉันยากจน แต่หนูก็เกลียดตัวเอง ว่าเกิดมาทำไม ทำได้แค่นี้หรือ คือแค่เที่ยวทำให้คนอื่นเขาเป็นทุกข์ โดยที่ตัวเองก็ไม่เห็นจะสุขเลย 
หนูไม่รู้เหมือนกันว่าเขียนมาหาคุณหมอทำไม 

........................................................

ตอบครับ

     เกลียดตัวเองเป็นการเริ่มต้นชีวิตที่ดีนะ อย่างน้อยก็ทำให้ได้เริ่มมองเห็น "ตัวเอง" แม้ว่าจะเป็นการมองเห็นด้วยความเกลียด ให้คุณมองให้ลึกเข้าไปอีกหน่อย "ตัวเอง" นั้นมันเป็นความคิดนะ มันเป็นคอนเซ็พท์ที่ก่อร่างขึ้นมาในใจคุณว่านี่คือตัวตนของคุณ ชื่อนี้ มีร่างกายอย่างนี้ มีความร้ายกาจอย่างนี้ ทั้งหมดนี้เป็นความคิด ไม่ใช่สิ่งที่ดำรงอยู่อย่างถาวร มีอยู่แต่ในฐานะที่เป็นสมมุติอยู่ในใจคุณชั่วคราว เมื่อคุณเริ่มมองเห็นมันนั้นดีแล้ว เพราะสิ่งที่คุณมองเห็นซึ่งก็คือความคิดนี้เป็นปัญหาของมนุษยชาติ  

     ความจนไม่ใช่ปัญหาของมนุษยชาติ แต่ความคิดคือปัญหาของมนุษยชาติ นักการเมืองที่ดีคิดว่าหากเขาสร้างระบบสังคมที่ขจัดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจไปได้เสียอย่างเดียว ให้ทุกคนมีเงินใกล้เคียงกัน หรือให้ทุกคนหายยากจนเหมือนๆกัน ทุกคนก็จะมีความสุข หิ หิ ฝันไปซะแล้วท่านขา มนุษย์เราไม่เหมือนแมว หมา กา ไก่ ที่พอท้องอิ่มแล้วปัญหาก็หมดเกลี้ยง สามารถนอนเขลงอาบแดดสบายใจเฉิบ แต่มนุษย์นี้ตอนท้องหิวดูเหมือนชีวิตมีปัญหาเดียว แต่พอท้องอิ่มคราวนี้ชีวิตมีอีกนับสิบปัญหา เพราะความคิดจินตนาการนี้เป็นพรสวรรค์ที่สัตว์อื่นไม่มีแต่มนุษย์มี น่าเสียใจที่การมีของดีที่สัตว์อื่นไม่มีนี้กลับทำให้มนุษย์เราเป็นทุกข์มากกว่าสัตว์อื่นๆที่ต่ำกว่าเราเสียอีก  

     ความคิดเป็นพื้นฐานการเคลื่อนไหวทุกชนิดของคนเราไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนไหวในรูปของการทำ การพูด และการคิดเอง ความคิดเป็นตัวปั้นแต่งสิ่งที่เรามอง ทำให้เราเห็นไปในทางบิดเบือนไปจากเดิม คือเห็นว่ามันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ให้เราเห็นว่าชีวิตเราแปลกแยกแตกต่างออกมาจากชีวิตอื่น ตัวเราแปลกแยกแตกต่างออกมาจากคนอื่น เป็นคนละคนกัน เป็นคนละส่วนกัน ครอบครัวของเราแปลกแยกออกมาจากครอบครัวอื่น สถาบันการศึกษาของเราแตกต่างจากสถาบันอื่น ศาสนาของเราแยกออกมาจากศาสนาอื่น ชาติของเรา แยกออกมาจากชาติอื่นๆ ด้วยความคิดพื้นฐานอย่างนี้ ความเคลื่อนไหวต่างๆในรูปของการทำการพูดการคิด ก็เกิดขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่มีทิศทางที่จะปกป้องตัวเรา ครอบครัวของเรา สถาบันของเรา ศาสนาของเรา ชาติของเรา แล้วความทุกข์ยากในชีวิตมนุษย์ในรูปแบบต่างๆก็เกิดขึ้นตามมา เพราะในความพยายามจะปกป้องนี้อย่างเบาะก็ทำลายตัวเองในรูปความรู้สึกผิด ความเศร้าเสียใจ และความกลัวอนาคต  อย่างใหญ่กว่านั้นคือมันจะทำลายชีวิตอื่นด้วยในรูปของการสร้างปราการ การกักตุน สะสม อิจฉา แย่งชิง กีดกัน กดขี่ ขูดรีด ปล้น ฆ่า ทำลายล้าง นี่เป็นกลไกการเกิดความทุกข์ที่แท้จริงของมนุษยชาติ
  
     "ตัวเอง" ที่คุณเกลียดนั้นไม่ใช่คุณนะ มันเป็นแค่ความคิด ความคิดไม่ใช่คุณ คุณเป็นความรู้ตัว คุณไม่ได้กุความคิดนี้ขึ้นมา มันมาเอง แต่เมื่อมันมาแล้วคุณก็ไม่ต้องไปเบรก ไม่ต้องไปห้าม ไม่ต้องไปไล่ ปล่อยให้มันเข้ามา แต่ ลองมาเล่นเกมแอบดูความคิด แค่ชำเลืองอยู่ รู้ว่ามันมา แอบดู แต่ไม่เข้าไปผสมโรงคิด ไม่ log in เข้าไปในความคิดนั้น ไม่ subscribe เป็นสมาชิกความคิดนั้น ปล่อยให้ความคิดมันพร่างพรูไปของมันเหมือนนั่งดูหนังแบบไม่อินไปกับเรื่องราว แค่ดูว่าเรื่องราวของหนังมันเป็นอย่างไร ถ้าคุณไม่ไปเข้าด้วย หรือไม่ไป identify กับมัน ไม่ไปให้ราคามัน แค่สังเกตดู มันก็จะค่อยๆฝ่อไป จึงเป็นเรื่องสำคัญมากที่คุณจะต้องหัดสังเกตความคิด อย่ามัวแต่พลัดหลงเข้าไปอวยกับความคิดที่โวยวายว่าเกลียดตัวเองอยู่ร่ำไป

     ความคิดมีที่มาสามระดับนะ คือ 

     (1) มาจากสัญชาติญาณ (instinct) ซึ่งฝังแฝงอยู่ในเซลร่างกายในรูปของฮอร์โมนและดีเอ็นเอ. แล้วโผล่มาในรูปของความอยาก เช่นอยากกิน อยากมีเซ็กซ์ มาทีก็มาแรงซะจนพัดพาเอาคุณไปกับมันได้ง่ายๆถ้าคุณไม่ตั้งหลักสังเกตให้มั่นเหมาะ พอเผลอไปกับมันแบบสุดๆแล้วก็มานั่งเกลียดตัวเองภายหลังครั้งแล้วครั้งเล่า 

     (2) มาจากความคิดอ่านเชาว์ปัญญา (intellect) ซึ่งชงหรือกำกับโดยความจำจากการเรียนรู้ที่ผ่านมาในอดีตที่เป็นการยัดเยียดให้ยอมรับคอนเซ็พท์ของการเปรียบเทียบระหว่างสองสิ่ง ดี-ชั่ว ถูก-ผิด ฉลาด-โง่ รวย-จน ฟังดูเป็นเรื่องสูงส่งกว่าสัญชาติญาณ แต่ก็ทำให้คุณเป็นทุกข์พอๆกัน ในรูปของความรู้สึกผิด เสียใจ เศร้าใจ หวาดกลัว

    (3) มาจากความเงียบยามที่ปลอดความคิด (intuition) คือไม่รู้มาจากไหน ราวกับดาวน์โหลดมาจากท้องฟ้า คุณไม่ได้เชิญ มันมาเอง มักจะเป็นการมาชี้ให้เห็นสิ่งต่างๆตามที่มันเป็นอย่างไม่อคติ เป็นการเปิดทางเลือกที่คุณไม่เคยคิดถึงมาก่อนให้คุณเห็น

     ทั้งสามแบบนี้ ใหม่ๆที่เริ่มต้นสังเกตความคิด คุณจะยังแยกแยะไม่ได้หรอกว่าอันใหนเป็นแบบไหน แต่หากหมั่นสังเกตความคิดนานไป สังเกตอย่างใจเย็นๆ อย่างตั้งใจมอง คุณจะแยกได้ ถ้าเป็นสองแบบแรกคุณควรแค่สังเกตดูมัน รู้ว่ามันมา แล้วก็ดูมันจนมันไป อย่าเผลอเปิดช่องให้มีความคิดอื่นมาต่อยอดแล้วเผลอไหลไปด้วยกันเหมือนเวลาหนุ่มมอไซค์มาแวะหน้าบ้านแล้วคุณก็เผลอซ้อนท้ายตามเขาไปทุกที แต่หากเป็นความคิดแบบที่สามที่เกิดขึ้นมาในความเงียบขณะคุณไร้ความคิด ให้คุณเรียนรู้จังหวะที่จะเลือกหยิบมันไว้ใช้

     กล่าวโดยสรุป ผมแนะนำให้คุณแยกตัวเองออกมาเป็นผู้สังเกตดู "ตัวเอง" ที่คุณเกลียดนักเกลียดหนานั่นแหละ การสังเกตนี้มันเป็นสิ่งที่คุณไม่เคยทำแต่คุณจำเป็นต้องหัดทำอย่างตั้งใจเสียตั้งแต่เดี๋ยวนี้  ยิ่งตอนกำลังเกลียดตัวเองยิ่งต้องรีบหัดสังเกตความคิดเพราะมันยิ่งเห็นชัดดี ทำใหม่ๆจะถูกดูดเข้าไปอยู่ในความคิดคือไปผสมโรงคิดบ่อยมากแล้วก็ทุกข์มาก แต่ก็ต้องหัดไปด้วยความพยายาม ยิ่งความคิดแรงยิ่งหัดสังเกตได้ง่าย ยกตัวอย่างความคิดอยากมีเซ็กส์ มันมาแรงเสียจนร่างกายของคุณเป็นไปด้วยกับมันหมดราวกับว่าไม่มีทางเลือกอื่นเหลือให้คุณเลย แต่ถ้าคุณปักหลักสังเกตดูนิดเดียวก็จะเห็นมันได้โดยง่าย ยิ่งความคิดแรง ยิ่งเป็นครูที่ดี ขอให้เชื่อผมไปพลางก่อนว่าชื่อว่าความคิด ไม่ว่าจะมาแรงแค่ไหน แต่เมื่อปักหลักสังเกตอยู่อย่างใจเย็น ในที่สุดมันก็จะฝ่อหายไปแบบหมดฤทธิ์ดื้อๆ ถ้ามันมาอีก ก็สังเกตอีก เอาจนมันห่างไปๆเพราะความเขิน ในที่สุดคุณก็จะได้อยู่กับความรู้ตัวที่ปลอดความคิด ซึ่งเป็นที่ที่สงบเย็นเบิกบานดี และ "ตัวเอง" ที่ขยันโผล่มาให้คุณเกลียดก็จะหายหน้าไป เมื่อคุณรู้ตัวแล้ว ทางเลือกที่หลากหลายในชีวิตจะโผล่มาให้เลือกเอง ดีดีทั้งนั้น ถึงตอนนั้นคุณค่อยๆบรรจงเลือกเอาได้

     ที่เขียนมานี้ผมไม่แน่ใจว่าคุณจะเก็ทหรือเปล่า คุณเขียนมาสั้นผมประเมินน้ำยาของคุณไม่ถูก ความสำคัญของเรื่องนี้ไม่ใช่อยู่ที่ความเข้าใจ แต่อยู่ที่การลงมือทดลองปฏิบัติในสถานะการณ์จริงบ่อยๆซ้ำๆเนืองๆ หากทดลองปฏิบัติแล้วก็ยังไม่เก็ทเลย ก็ให้หาเวลามาเข้า Spiritual Retreat

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์       

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เจ็ดใครหนอ

สอนวิธีแปลผลเคมีของเลือด

กินคีโตไข่ต้มไก่ต้มทุกวันแล้วหลอดเลือดหัวใจตีบ

ความแก่..เหมือนหมาถูกต้อนเข้ามุมให้จนตรอก

ชีวิตเมื่อตายไปแล้ว

เปลี่ยนอาหาร ปั่นจักรยาน น้ำตาลลด ความดันลด แต่ไขมันทำไมไม่ลด

ท่านอายุเก้าสิบแล้วยังไม่รู้ แล้วท่านจะรู้มันไปทำพรื้อละครับ

สิ่งที่ขาดหายไปจากชีวิตคนเราคือความเบิกบาน (Joy)

อายุ 70 ปีถูกคนในบ้านไล่ให้ไปฉีดวัคซีนไข้เลือดออก

มะเร็งต่อมลูกหมากแพร่กระจายไปกระดูกขาแล้ว จะไปต่อไงดี