ผัวไม่ดี จะทำอย่างไรดี

เรื่อง  ขอความอนุเคราะห์ปรึกษาปัญหาครอบครัว
เรียน  Dr.Sant
หากมีค่าใช้จ่ายยินดีโอนให้ทางบัญชีธนาคารออนไลน์นะคะ
ขอขอบพระคุณล่วงหน้า หากคุณหมอมีโอกาสตอบคำถาม
เคยได้อ่านเรื่องที่คุณหมอตอบปัญหาผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งแบกรับภาระลูกสามคนที่กำลังเรียนแต่เด็กไม่เอาใจใส่ มีเพื่อนที่เป็นหมอแบ่งปันมา รู้สึกประทับใจค่ะ
เรื่องที่เกิดขึ้น เป็นปัญหาสามีที่ไปมีอะไรกับผู้หญิงนอกบ้าน เหตุการณ์นี้น่าจะเกิดขึ้นราวปี 2560 สุดท้ายสามีคงจะอยากเลิกแต่ผู้หญิงไม่ยอม จึงสะกดรอยตามมาดูที่อยู่ และคงขู่ว่าจะบอกลูกและภรรยาหากเลิกกับหล่อน
ราวตุลาคม 2561 ผู้หญิงทักใน msg FB ของดิฉันมา ดิฉันไม่ได้สนใจ จนสามีอ้างว่าไปรับ job ต่างจังหวัดสามวัน ช่วงนั้นเราอยู่บ้าน ว่างๆ เลยเปิดดู ว่า ใครส่งอะไรมา พอเห็นภาพก็ตกใจ มือสั่น ตั้งสติ และแชตไปถามสามีว่า นี่คืออะไร เขาบอกว่าอย่าเพิ่งคิดอะไรมากมาย กลับมาจะเล่าให้ฟัง
พอกลับมาก็ไม่เล่า จนดิฉันรอลูกๆ (16,13 ปี) หลับ เราคุยกันถึงตีสามเขาก็ยังปิดเรื่องที่ควรจะเปิด ซึ่งเขาน่าจะให้ครอบครัวได้รับรู้และช่วยกันแก้ไข หากแก้ไม่ได้ ควรจะบอกความจริงเพื่อแยกทางกัน คืนนั้นต่างคนต่างหลับ โดยไม่มีข้อสรุป
หลายเดือนผ่านไป ดิฉันคิดว่าเขาคงเลิกกันแล้ว เพราะถ้าผู้หญิงมาตาม แสดงว่า ผู้ชายเริ่มออกห่าง เปล่าค่ะ หกเดือนผ่านไป รู้สึกมีพิรุธ มีอยู่วันหนึ่งเราอยู่ในรถขากลับบ้าน เขานั่ง ดิฉันขับ ลูกอยู่ข้างหลัง เห็นเขาใช้โทรศัพท์ หลบหน้าจอ อาการนี้มันฟ้อง รุ่งขึ้นดิฉันมีโอกาสก็ถามถึงเรื่องการพูดคุยกับคนใน social เขายอมรับ แต่ยังไม่เปิดเผยว่าอะไรเป็นอะไร มีประโยคหนึ่งที่ดิฉันสะดุดใจ "ทำไมใครๆ ต้องคาดหวังในตัวเขาด้วย" ฉันอึ้งมากที่เขาใช้คำนี้กับภรรยา แสดงว่ามีอะไรแอบแฝง
(ทั้งๆ ที่ในอดีตก่อนหน้านี้เราอยู่กันอย่างมีความสุขจนคนรอบข้างอิจฉา ฉันไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะเกิดเรื่องราวแบบนี้ในชีวิต เหมือนตั้งรับไม่ทัน)
หนึ่งสัปดาห์ต่อมา ดิฉันปลีกตัวไปทานข้าวเองนอกบ้าน (บอกลูกๆ ให้ทานข้าวกับพ่อ) ดิฉันไปตามสถานที่ต่างๆ ที่ทำให้สบายใจขึ้น เพราะหลังจากเหตุการณ์วันนั้น และสิ่งที่ฉันเห็นใน msg ของผู้หญิงคนนั้น เราไม่เคยมีความสุขอีกเลย ฉันหมดความไว้วางใจ ความเชื่อใจ เชื่อมั่นที่เคยมี มันถอยลงทุกวัน
สุดสัปดาห์นั้น ฉันไปพบหมอดูที่เพื่อนแนะนำ และทำตามที่หมอดูบอก เพียงสัปดาห์เดียว คืนหนึ่งผู้หญิงคนนั้นตามมาถึงบ้าน เขานัดกันไปเคลียร์ที่ปั๊มใกล้หมู่บ้าน ดิฉันเอะใจจึงตามขึ้นรถไปตามที่หมอดูบอก เขาบอกว่าไม่ต้องกลัว ดิฉันใช้นามสกุลเขาอยู่ เท่านี้ดิฉันก็เดาได้ว่า จะเกิดอะไรขึ้น พอใกล้ถึงปั๊ม ดิฉันก็บอกว่า ไม่เคลียร์อะไรกับใครทั้งนั้น ขับรถกลับบ้าน ลูกๆ รออยู่
เราวนรถจะเข้าหมู่บ้าน ไม่ทันถึงป้อมยามก็ได้ยินเสียงมือตบกระจกประตูรถดังถี่มาก เขาจอดรถ ผู้หญิงคนนั้นบอกให้ลงไปคุย ดิฉันบอกว่าไม่ต้อง กลับเลย หล่อนไม่หยุด ขวางรถไว้ ในที่สุดเขาก็ลงไป ผู้หญิงพูดด่าเขาดังมากหลายคำ สุดท้ายตบฉาดที่หน้าสามี ดิฉันรีบโทร.แจ้ง 191 แต่ตำรวจไม่รับคดี ดิฉันจึงลงไปพูดกับผู้หญิงคนนั้นอยู่นานมาก หล่อนใช้คำพูดที่ดิฉันตกตะลึง สิ่งที่สามีดิฉันพูดกับหล่อนถึงดิฉัน ด่าและจะทำร้ายดิฉัน และไม่ยอมกลับ สุดท้าย ดิฉันบอกให้สามีขับรถออกจากที่นั่น หล่อนขี่จักรยานยนต์ตาม ดิฉันบอกให้จอด ไม่อยากให้เรื่องถึงลูกๆ .. สักพักหล่อนยอมกลับ แต่ฝากแววตาอาฆาตและสีหน้ายิ้มเยาะไว้
อีกสัปดาห์ต่อมา หล่อนมาทุบกระจกประตูบ้าน เลือดกระจายเต็มประตูและพื้นหน้าบ้าน
คืนนั้นเรื่องถึงโรงพัก เราย้ายของออกมาอยู่ที่บ้านใน กทม.และเดินทางไปตามคำสั่งเจ้าหน้าที่ เป็นระยะ .. แต่จนบัดนี้เรื่องยังคาอยู่ เพราะดิฉีฝันไม่อยากเอาความ มันไม่คุ้มกับชีวิตและความปลอดภัยของลูกๆ
หลังจากอยู่บ้านคุณแม่สามีใน กทม.ได้สองเดือน ดิฉันก็พบความผิดปกติอีก .. ทุกคืน สามีจะไม่ขึ้นมานอนด้วย แต่ไปนั่งในห้องแม่ (ที่นอนป่วย) พอมองผ่านหน้าต่างจะเห็นเขากำลังคุยกับคนในโทรศัพท์ เป็นแบบนี้นาน จนเข้าเดือนที่สาม คืนหนึ่งราวตีหนึ่งครึ่ง ขณะที่เขากำลังจะเข้านอน เอนตัวเหมือนจะหลับ ดิฉันย่องไปข้างเตียงในห้องนอนแม่  เห็นเขารู้สึกตัว หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาตอบแชต ผญ.คนหนึ่ง ดิฉันอดรนทนไม่ไหว จึงดึงโทรศัพท์จากมือ เขารีบยึดโทรศัพท์ไว้มั่น เราแย่งโทรศัพท์จนถูกตัวลูก ลูกร้องว่าเจ็บ ดิฉันยื้อตัวเขาออกมาจากห้อง คืนนั้น เราแทบไม่ได้นอน โต้กันเรื่องผู้หญิงในโทรศัพท์ไม่หยุด ดิฉันเห็นข้อความและชื่อแว้บๆ .. เราขึ้นไปทะเลาะกันบนดาดฟ้านาน คำพูดหลายคำที่ฟังแล้วเหมือนเขาอยากออกไปจากชีวิตที่ต้องเลี้ยงดูครอบครัวและแม่ที่ป่วยติดเตียง เขาย่อตัวลงนั่งและเอนตัวนอนบนพื้นในที่สุด
หลังจากนั้น ดิฉันเริ่มวางแผนขนของออกจากบ้าน พาลูกไปเช่าอยู่ใกล้ๆ โรงเรียน ชีวิตดิฉันกับลูกสองคนสงบขึ้น เขาไปๆ มาๆ หาลูกบ้าง .. ดิฉันมักไม่คุยกับเขาถ้าไม่จำเป็น เราอยู่จนลูกคนโตเรียนจบ ม.6 แล้วย้ายมาบ้านแม่ใน กทม. ตอนนั้นแม่เสียชีวิตแล้ว
หลายครั้งที่เขายังแชตกับผู้หญิงคนนั้นให้ลูกและดิฉันเห็น นั่นทำให้ดิฉันไม่สามารถลดทิฐิเปลี่ยนใจมาดีกับเขาได้เหมือนเดิม
จนวันนี้ ลูกคนโต อายุ 17 ปี ดิฉันทำใจนั่งทานข้าวด้วยกันพร้อมหน้าอีกครั้ง หลังจากหลบหน้าเขามานานครึ่งปี แต่สิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ดิฉันสังหรณ์ใจ แกล้งลุกและเดินผ่านไปข้างหลัง พบภาพผู้หญิงถ่างขาโชว์เป้าในแชต เท่านั้นแหละค่ะ ดิฉันทิ้งอาหารมื้อสำคัญ เพราะทำใจไม่ได้ที่เขาทำแบบนี้บนโต๊ะอาหารในวันอยู่พร้อมหน้ากับลูก
ดิฉันขอปรึกษาว่า จะทำอย่างไรต่อดีคะ ทนอยู่กับเขาอย่างทุกข์ทรมาน (เพราะเขาไม่เคยคิดจะแก้ปัญหา แถมบอกว่าอยากอยู่คนเดียว และชอบไปแว้นค้างคืนกับเพื่อนที่ต่างจังหวัดเดือนละครั้ง โดยไม่สนใจว่าดิฉันและลูกจะรู้สึกอะไรหรืออยู่อย่างไร) หรือ แยกออกไปอยู่ที่อื่นกับลูกๆ ดีคะ
ขอขอบพระคุณอาจารย์หมอมากๆ ค่ะ

.....................................................................

ตอบครับ

     1. อามิตตาภะ พุทธะ

     2. เรื่องการชำระเงิน หิ หิ หมอสันต์รับปรึกษาปัญหาสุขภาพโดยไม่เก็บเงิน ไม่ใช่ว่าหมอสันต์รวยจนไม่รู้จะเอาเงินไปทำอะไรหรอกนะ หมอสันต์ยังมีทรัพย์น้อยอยู่เหมือนเดิม ยิ่งตอนนี้ยิ่งกรอบหนักเพราะต้องมีค่าใช้จ่ายสู้กับภัยแล้งและโควิด19 แต่เป็นเพราะต้องการแลกการตอบปัญหาสุขภาพกับการเอาปัญหาสุขภาพนั้นมาเปิดเผยเพื่อให้ท่านผู้อ่านท่านอื่นที่มีปัญหาอย่างเดียวกันได้ประโยชน์ด้วย โดยผมรับประกันว่าจะปิดบังชื่อแซ่ที่อยู่และเปลี่ยนเรื่องไปเพื่อไม่ให้คนใกล้ชิดของผู้ถามรู้ว่าเป็นจดหมายของใคร ดังนั้นผมย้ำเป็นครั้งที่เท่าไหร่จำไม่ได้แล้วอีกครั้งว่าหมอสันต์ไม่รับตอบจดหมายแบบส่วนตั๊ว ส่วนตัว ใครที่เขียนจม.มาแบบของความเป็นส่วนตัวจะถูกทิ้งตะกร้าหมด

     3. ถามว่าจะทำอย่างไรดีกับ ผ. เฮงซวย ตอบว่า ช่างแม..(อุ๊บ ขอโทษ) ช่างเขาเถอะ การที่ผัวจะเป็นคนดีหรือเป็นคนเฮงซวย มันอยู่นอกเขตอำนาจของคุณ คุณทำอะไรไม่ได้ดอกครับ ดังนั้นอย่าไปพยายามทำอะไรกับตรงนั้น

     แต่การที่คุณจะมีความสุขหรือมีความทุกข์ ตรงนี้อยู่ในเขตอำนาจของคุณ คุณทำอะไรกับมันได้นะ

     4. สิ่งที่ผมแนะนำให้คุณทำกับการไร้สุขของตัวเองมีอยู่สี่อย่างแค่นั้นเอง คือ (1) ขอบคุณ (2) ขอโทษ (3) ให้อภัย (4) เมตตา

     ขอบคุณสามีของคุณ ที่เขาเคยเป็นสามีที่รักลูกเมียจนชาวบ้านต้องอิจฉา ขอบคุณนะคะสำหรับสิ่งดีๆที่ผ่านมา ขอบคุณอย่างจริงใจ

     ขอโทษสามีของคุณ ที่คุณเผลอละลาบละล้วงระรานเขาจนเขาต้องหลบลงรูไปสู่ทางออกที่เขาถนัดครั้งแล้วครั้งเล่า ถ้าได้พบหน้ากันอีก หรือถ้ามีโอกาส ให้คุณขอโทษเขาอย่างจริงใจ

     ให้อภัยสามีของคุณอย่างไม่มีเงื่อนไข ที่คุณทำกับฉันที่ผ่านมาฉันให้อภัยหมด ไม่ผูกใจเจ็บอาฆาตจองเวรอะไรอีกต่อไปแล้ว ขอให้คุณสบายใจได้ หากฉันจะมีความต้องการอะไรสักอย่างในตัวคุณ ก็คือความต้องการอยากให้คุณมีความสุขในชีวิตของคุณเองก็พอแล้ว

     เมตตาต่อสามีของคุณ เหมือนคุณเมตตาต่อหมาน้อยตัวหนึ่ง คนเรามีร่างกายที่เหมือนกับร่างกายของสัตว์ที่ต้องดิ้นรนกระเสือกกระสนอยู่รอดไปตามพลังขับดันของฮอร์โมนให้ต้องไปกิน ถ่าย สืบพันธ์ และนอนหลับ วนเวียนซ้ำซากไม่รู้จบ เรียกว่าเป็นการถูกบังคับทำซ้ำซากเดิมๆ หรือ compulsiveness เป็นการใช้ชีวิตอยู่ใน survival mode มนุษย์มีเชาวน์ปัญญาเหนือกว่าสัตว์ก็จริง แต่มีคนจำนวนหนึ่งเท่านั้นเองที่จะอาศัยเชาวน์ปัญญาพาตัวเองให้พ้นจากบ่วงของวงจรการกิน ถ่าย สืบพันธุ์ แล้วนอน ด้วยปัญญาที่พอจะมองเห็นสิ่งอื่นที่สร้างสรรค์นอกจากแค่มีชีวิตเพื่ออยู่รอด นอกจากนี้มนุษย์ยังมีอะไรอีกอย่างหนึ่งที่สัตว์ไม่มีคือความสามารถที่จะวางความคิดเพื่อเข้าถึงความรู้ตัวอันเป็นพลังงานต้นกำเนิดของสรรพชีวิต เพียงแต่ว่ามียิ่งน้อยคนนักที่จะเข้าถึงตรงนั้น แล้วคนแต่ละคนก็มีขั้นตอนพัฒนาการที่แตกต่างกัน คุณก็ยอมรับระดับพัฒนาการของเขา ยอมรับเขาตามที่เขาเป็นแล้วก็ทำใจซะ

     เขียนมาถึงตอนนี้คิดขึ้นได้ ผมขอนอกเรื่องหน่อยนะ ขอเล่าเรื่องสมัยผมอายุประมาณ 12 ขวบ เป็นเด็กวัดอาศัยวัดอยู่อาศัยข้าวพระกินเพื่อจะได้โอกาสไปเรียนหนังสือในเมือง ผมเป็นคนมีนิสัยทำอะไรเป็นขั้นตอนและมีแผน เวลาอาหารที่วัดมีมากเหลือล้นผมก็เก็บของแห้งที่เหลือเอาไว้กินตอนช่วงอดอยาก แต่มีเพื่อนเด็กวัดคนหนึ่งเป็นเด็กวัดโข่งตัวโตอายุมากและเป็นคนไม่เอาไหน ไม่เคยสนใจเก็บอะไร หิวมาก็ขโมยของผมกิน ผมก็ฟ้องพระอาจารย์ พระอาจารย์ก็เรียกมาตักเตือนเฆี่ยนตี พอเกิดเรื่องและผมฟ้องบ่อยพระอาจารย์คงรำคาญจึงพูดกับผมว่า

     "ช่างมันเถอะ ชาติที่แล้วมันคงเพิ่งพ้นจากการเป็นเปรตมา" 

     คือพระอาจารย์สอนผมให้ยอมรับคนอื่นตามที่เขาเป็น เพราะขั้นตอนพัฒนาการชีวิตของแต่ละชีวิตนั้นมีความเป็นมายาวสั้นต่างกัน คุณก็ใช้หลักนี้กับสามีของคุณได้เลย

     5. ข้อนี้คุณไม่ได้ถาม แต่ผมแถมให้ คือชีวิตคนทั่วไปในสังคม เราใช้ชีวิตไปบนกรอบของ "คอนเซ็พท์" ที่เรากุขึ้นมาในใจในรูปของความถูกผิด ดีชั่ว ศีลธรรม ประเพณี ความเป็นสามีภรรยา ความเป็นพ่อแม่ลูก ทั้งหมดนี้เป็นคอนเซ็พท์ ประเด็นคือคอนเซ็พท์ทั้งหมดเป็นเพียงความคิดนะ สมมุติว่าลูกสาวคุณมาเล่าให้คุณฟังว่าเธอชอบคิดถึงช้างสีชมพูในใจตัวหนึ่ง เธอชอบมันมากอย่างนั้นอย่างนี้ คุณฟังแล้วก็แค่รับรู้ เออ เออ แต่อยู่มาวันหนึ่งลูกสาวมานั่งร้องห่มร้องไห้ คุณถามเธอว่ามันเรื่องอะไรหรือ เธอตอบว่า

     "ช้างสีชมพูของหนูตายเสียแล้ว" 

     แล้วคุณจะตอบเธอว่าอย่างไรละ เพราะคุณรู้อยู่เต็มอกว่าช้างสีชมพูนั้นมันเป็นแค่ความคิดของลูกสาว มันไม่ได้มีอยู่จริง คำตอบที่คุณจะให้กับลูกสาว นั่นแหละคือคำตอบที่ผมจะให้กับคุณเมื่อคุณมาร้องไห้คร่ำครวญว่าเจ้าชายในฝันที่แสนดีของคุณตายไปเสียแล้ว

    หัวใจของความสำเร็จของการเอาแนวทางแก้ปัญหาที่ผมให้นี้ไปใช้คือการพัฒนาทักษะในการวางความคิด ดังนั้นให้คุณขยันนั่งสมาธิ ฝึกสติ ฝึกผ่อนคลายร่างกาย ฝึกวางความคิด หาอ่านเอาจากบล็อกของผมก็ได้ ผมเขียนถึงบ่อยมาก และถ้ามีเวลาและโรคโควิด19 หายแล้ว ให้หาโอกาสมาเข้า Spiritual Retreat

     ผมจะจบจดหมายแล้วนะ ผมดูในเนื้อหาของจดหมายคุณไม่ได้เล่าว่าคุณไปหาจิตแพทย์มาแล้วหรือยัง ถ้ายัง หากอ่านจดหมายของผมแล้วคุณยังแก้ปัญหาของคุณไม่ตก ผมแนะนำให้คุณคุยกับจิตแพทย์ เพราะในสังคมยุคปัจจุบันนี้คนที่จะฟังเราพูดถึงปัญหาในใจของเราอย่างใส่อกใส่ใจจะช่วยแก้ไขดูจะมีเหลืออยู่คนเดียว คือจิตแพทย์

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เจ็ดใครหนอ

สอนวิธีแปลผลเคมีของเลือด

กินคีโตไข่ต้มไก่ต้มทุกวันแล้วหลอดเลือดหัวใจตีบ

หนังสือคัมภีร์สุขภาพดี (Healthy Life Bible) จะพิมพ์ครั้งที่ 3 แน่นอนแล้ว เชิญสั่งซื้อได้

ความแก่..เหมือนหมาถูกต้อนเข้ามุมให้จนตรอก

ชีวิตเมื่อตายไปแล้ว

อายุ 70 ปีถูกคนในบ้านไล่ให้ไปฉีดวัคซีนไข้เลือดออก

สิ่งที่ขาดหายไปจากชีวิตคนเราคือความเบิกบาน (Joy)

วิตามินดีเกิน 150 หมอบอกมากเกินไป ท้ังๆที่ไม่ได้ทานวิตามินดี

Life Skill Camp for Kids แค้มป์ทักษะชีวิตเยาวชนที่มิวเซียมสยาม 16 พย. 67