ถามหมอสันต์เรื่องการวางแผนการศึกษาของลูก
คุณหมอสันต์คะ
หนูกับแฟนอยากปรึกษาคุณหมอด่วนเรื่องการศึกษาของลูกชาย เขากำลังจะเข้ามหาวิทยาลัยปีหน้า แฟนอยากกัดฟันส่งเขาไปเรียนออสเตรเลีย แต่ดูเขาเนือยๆผิดเพื่อนวัยเดียวกัน ความรู้เขาไม่น่าห่วง เพราะหนูให้เขากวดวิชากับอาจารย์ดีๆมาตั้งแต่ป.5 หนูกำลังไม่มั่นใจ เรียนในประเทศ ต่างประเทศ เรียนแพทย์ หรือเรียนธุรกิจ ลูกชายเขาไม่ออกเสียงอะไรเลย เหมือนกับว่าพ่อแม่เองไงเองงั้น ไม่กระตือรือล้นเลย
ขอบคุณค่ะ
......................................................
ตอบครับ
1. ให้เลิกคิดส่งลูกเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเสีย
มาถึงสมัยนี้ การส่งลูกเข้าเรียนมหาวิทยาลัยให้จบปริญญาตรีเป็นก้าวพลาดครั้งใหญ่ที่สุดของพ่อแม่ อย่าไปพูดไกลถึงปริญญาโทเอกหรือโพสท์ด็อค โห..นั่นเป็นความคิดที่โบราณและไร้สาระมากที่สุด ฟังแล้วต้องรีบไปล้างหูเลย เพราะคนเราเกิดมาเพื่อใช้ชีวิตอย่างสงบเย็น เบิกบาน และสร้างสรรค์ แต่มหาวิทยาลัยจะทำให้เด็กไม่มีวันได้พบสิ่งเหล่านั้น มหาวิทยาลัยเป็นที่ที่จะดองสมองเด็กจากการเป็นคนที่มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์และมีความสามารถสำรวจขุดค้นมาแต่กำเนิดให้กลายเป็นหุ่นยนต์ซื่อบี้อไม่สามารถจะคิดอ่านริเริ่มสร้างสรรค์อะไรต่อไปได้ แม้แต่จะหาความสุขในชีวิตตัวเองก็ยังทำไม่ได้เพราะมหาวิทยาลัยได้โปรแกรมคอนเซ็พท์เก๊ให้เด็กเข้าใจว่าขี้หมาคือความสุขในชีวิต กว่าเด็กจะพบว่าสิ่งนั้นที่แท้เป็นขี้หมาไม่ใช่ความสุขในชีวิตเขาก็แก่หง่อมเสียแล้ว ดังนั้นสิ่งสุดท้ายที่พ่อแม่ที่รักลูกจะทำก็คือการส่งลูกไปเรียนมหาวิทยาลัย ผมแนะนำว่าให้เรียนจบภาคบังคับก็พอแล้ว จากนั้นให้ออกมาทำมาหากิน หรือหากไม่อยากทำมาหากิน ออกมาเป็นบักหำน้อยพเนจรตุปัดตุเป๋ไม่ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันก็ยังดีกว่าไปเรียนมหาวิทยาลัย
โลกต่อจากนี้ไปสิ่งที่แน่นอนที่สุดคือความไม่แน่นอน การมีความคิดสร้างสรรค์ (creativity) หรือจินตนาการ (imagination) เป็นคุณสมบัติเดียวที่จะทำให้คนอยู่ในโลกแบบนี้ได้อย่างมีความสุข แต่โรงเรียนกวดวิชาและมหาวิทยาลัยได้ลบสิ่งนี้ออกไปจากหัวเด็กเสียแล้ว จินตนาการเป็นท่อต่อไปหาสิ่งที่เรียกว่าปัญญาญาณ (intuition) หรือไอเดียที่ปิ๊งขึ้นมาในหัวของเขาขณะไม่ได้ตั้งใจคิดอะไร เมื่อไม่มีจินตนาการก็ยากที่จะเกิดปัญญาญาณ โอกาสที่จะรับมือกับความเปลี่ยนแปลงใหม่ๆในชีวิตได้นั้นจึงริบหรี่เต็มที อย่างดีก็รู้จักแค่ทำตามปัญญาประดิษฐ์ (AI) และชีวิตอนาคตของเขาก็จะถูกนำทางหรือบงการด้วยปัญญาประดิษฐ์เท่านั้น
ความสุขในชีวิตเกิดจากการได้สำรวจค้นหาเรียนรู้สิ่งใหม่ แต่โรงเรียนและมหาวิทยาลัยปิดโอกาสที่เด็กจะได้สนใจธรรมชาติรอบตัว หมดโอกาสที่จะได้ทำตาโต (wonder) กับปรากฏการณ์ใดๆในธรรมชาติ ไม่มีความรู้สึก (feeling) ที่ลึกซึ้งกับสิ่งสวยงามรอบตัวหรือแม้กระทั่งกับสัตว์เลี้ยงอย่างหมาแมว เพราะสิ่งที่เขาเรียนจากโรงเรียนและมหาวิทยาลัยมีอย่างเดียวคือการจดจำและเชื่อตามที่คนอื่นบอก ซึ่งล้วนเป็นความจำเก่าๆของคนรุ่นเก่าที่ล้าสมัยเสียเก้าสิบเปอร์เซ็นต์
2. ครูที่สำคัญที่สุดคือพ่อแม่
สิ่งที่สำคัญที่สุดในแง่ของการศึกษาคือการบ่มเพาะ
(1) จินตนาการ (imagination) ที่สามารถคิดอะไรพ้นกรอบที่อายตนะรับรู้ออกไปได้ และ
(2) ปัญญาญาณ (intuition) อันจะนำไปสู่
(3) ความบันดาลใจ (inspiration) ในการจะใช้ชีวิตนี้ให้มีความหมายและมีคุณค่า
คนที่จะเปิดให้เด็กบ่มเพาะสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาได้คือพ่อแม่เป็นหลัก โรงเรียนเป็นรอง ทั้งสามประการนี้เด็กเขาจะบ่มเพาะขึ้นมาเองโดยไม่ต้องมีใครสอนเพราะมนุษย์เราธรรมชาติให้สมองส่วนหน้ามาเพื่อการนี้อยู่แล้ว เพียงแค่เปิดโอกาสให้เขาได้สัมผัสศึกษาธรรมชาติ ให้เด็กได้ใช้ชีวิตกลางแจ้งกลางแดดกลางฝน คลุกดิน คลุกต้นไม้ใบหญ้า หมาแมว เป็ดไก่ บวกกับให้เด็กได้มีโอกาสฝึกสมาธิวางความคิดเข้าสู่ความว่างอันสงบเย็นแล้วเฝ้ามองและเลือกหยิบปัญญาญาณที่จะโผล่ขึ้นมาในรูปของไอเดียที่ปิ๊งขึ้นมาขณะที่ใจปลอดความคิด ทั้งหมดนี้จะเป็นไปได้ง่ายขึ้นถ้าพ่อแม่ในฐานะเพื่อนร่วมเรียนรู้มีความเข้าใจและทำเป็นอยู่ก่อน แต่หากพ่อแม่มัวแต่ทำมาหากินเก็บเงินไว้ส่งลูกเรียนมหาวิทยาลัยไม่ว่าเมืองไทยหรือเมืองนอกโดยพ่อแม่ก็ไม่มีโอกาสได้รู้จักสิ่งเหล่านี้เลย สิ่งที่เด็กจะได้จากพ่อแม่ก็มีแค่การลอกเลียนแบบความเครียดกังวลมาจากพ่อแม่ เพราะเมื่อชีวิตของพ่อแม่เป็นชีวิตที่เคร่งเครียด แน่นอนว่าสิ่งที่เขาเรียนรู้จดจำจะต้องมีแต่วิธีการสนองตอบต่อสิ่งเร้าไปในทางเพิ่มความเครียดให้ตัวเองเสียเป็นส่วนใหญ่ สิ่งที่เขาเรียนรู้มาในวัยนี้จะวนเวียนอยู่กับความคิดลบหน้าเดิมไม่กี่อย่าง เช่น โทษคนอื่น (blame) รู้สึกด้อย (shame) รู้สึกว่าตัวเองตกเป็นเหยื่อ (victim) รู้สึกผิด (guilt) แล้วสิ่งเหล่านี้ก็จะฝังเป็นจิตใต้สำนึกให้เขาเอาไปใช้งานในตลอดชีวิตในวันหน้า
ความที่พ่อแม่ตั้งใจที่จะเลี้ยงดูลูกให้ได้ดีมากเป็นพิเศษตามความเชื่อของตนซึ่งได้รับการถ่ายทอดมาจากวิธีการเลี้ยงลูกของชาวบ้านในซอยหรือในที่ทำงานเดียวกันอีกต่อหนึ่ง ทำให้เด็กหมดโอกาสได้เรียนรู้การรับมือกับความไม่แน่นอนในชีวิต เด็กที่พ่อแม่รักลูกมากจึงกลายเป็นเด็กที่ทุกข์ง่าย สุขยาก จดจำแต่ความคับข้องใจที่พ่อแม่ไม่ตามใจเขา และถนัดแต่การประท้วงสำแดงพลังเพื่อให้ตัวเองอุ่นใจว่าพ่อแม่ยังคงเป็นทาสที่ซื่อสัตย์ของเขาอยู่ โดยที่ลึกๆในใจเขามีความกลัวที่พ่อแม่จะตายจากเขาไป เพราะเขาใช้บริการพ่อแม่มากจนเขาไม่รู้จะมีชีวิตอยู่ด้วยตนเองได้อย่างไรหากไม่มีพ่อแม่ ดังนั้นหากเป็นพ่อแม่ที่เปิดโอกาสให้ลูกฝึกรับมือกับความไม่แน่นอนในชีวิตไม่ได้ ก็เหลืออีกทางเดียวเท่านั้นคือปล่อยให้ลูกได้มีโอกาสผจญชีวิตจริงแบบตุปัดตุเป๋ด้วยตัวเองผ่านการทำงานตั้งแต่อายุยังน้อยจะดีกว่า การทำงานนั้นเป็นชีวิตจริงแต่มหาวิทยาลัยเป็นชีวิตเทียมที่ดองเด็กเอาไว้รอวันให้ออกไปมีปัญหากับชีวิตจริงที่ไม่ได้มีอะไรเหมือนที่มหาวิทยาลัยสอนเลย
3. เริ่มที่ความตั้งใจจริงที่จะทำเพื่อลูกก่อน
การไม่ส่งลูกเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเป็นการฝ่าแรงต้านสาระพัด โดยเฉพาะแรงต้านในใจของพ่อแม่เอง แต่ขอให้ครวญ คิด พินิจ ให้ดี ความคิดต่อต้านนั้นมาจากไหน ถ้าไม่ใช่มาจากความยึดมั่นในความเป็นบุคคลของเราผู้เป็นพ่อแม่เอง เราอยากให้ลูกเป็นอย่างใจเรา ลูกจะได้เป็นที่ยอมรับของสังคม นั่นหมายถึงเราจะได้เป็นที่ยอมรับของสังคมด้วย เรากลัวถูกตราหน้า่าเป็นพ่อแม่ที่ล้มเหลวมีลูกที่ไม่ได้เรื่อง การจะไม่ส่งลูกไปเข้ามหาวิทยาล้ยจึงเป็นการคิดแหกคอกครั้งใหญ่ จะต้องวาง identity หรืออัตตาว่าเราเป็นบุคคลผู้ที่อยากให้ใครต่อใครยอมรับนี้ลงไปก่อน จึงจะทำการใหญ่นี้ได้สำเร็จ
ขั้นต่อไปก็คือการเป็นเพื่อนลูกในการทำความรู้จักกับธรรมชาติรอบตัว เริ่มจากธรรมชาติรอบตัวที่บ้าน ท้องฟ้า หญ้า ต้นไม้ริมทาง รวมไปถึงการซึมซับศิลปะและความสวยงาม แล้วหาโอกาสพาเขาเดินทางไปพักในธรรมชาติ เช่นวนอุทยาหรือป่าเขาลำเนาไพร ไปพักแบบเพื่อศึกษาความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ อยู่กับแสงแดด ธารน้ำต้นไม้ หญ้าระบัดสัตว์เล็กสัตว์น้อย ซึ่งจะเป็นสื่อธรรมชาติพาไปสู่ความรักในการขุดค้นดูความมหัศจรรย์ของสิ่งรอบตัว อันเป็นช่องเปิดไปหา creativity ทั้งหมดนี้มันควรจะเริ่มมาตั้งแต่ชั้นอนุบาลแล้ว แต่ว่ามาเริ่มตอนนี้ก็ยังไม่สายเกินไป ดีกว่าดันให้เขาไปผิดทางจนกว่าที่เขาจะรู้ตัวก็แก่เสียแล้ว
จากนั้นจึงคุยกับเขาถึงสิ่งที่เขาชอบ สิ่งที่เขาอยากทำ และบอกเขาว่าพ่อกับแม่อยากให้เขามีความสุขในชีวิตแค่น้้นเป็นพอ เขามีอิสระที่จะเลือกทางเดินชีวิตของเขาเองได้ จะเข้ามหาวิทยาลัยหรือไม่เข้า หากเขาไม่เลือก หรือหากเขาขอคำแนะนำพ่อแม่ พ่อกับแม่ก็ควรแนะนำให้เขาว่าไม่ควรไปเข้ามหาวิทยาลัยโดยชี้แจงเหตุผลตามความเป็นจริง เมื่อไม่เข้ามหาลัยก็อาจเริ่มต้นการทำงานอะไรก็ได้ ตะก๊อก ตะแก๊ก ทำงานไปเรียนรู้ชีวิตไป ฝึกใช้ชีวิตให้มีความสุข นั่นแหละคือปลายทางที่คนเราเกิดมา คือเกิดมาเพื่อใช้ชีวิตให้มีความสุข
ผลการคุยกันจะออกมาอย่างไรก็ต้องเป็นไปตามนั้น เพราะชีวิตเป็นของเขา เขาต้องเป็นผู้เลือก
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
.....................................................
จดหมายจากท่านผู้อ่าน1.
เห็นด้วยกับคุณหมออย่างยิ่งค่ะ ถึงแม้ว่าลูกจะจบโทถาปัดอีกไม่นาน แต่นั่นคือความสุขที่เธอเลือกเอง ได้เรียนอย่างสนุกมาตลอด ไม่เคยต้องเรียนพิเศษ เหมือนเด็กอื่น ดิฉันสอนลูกเอง และดิฉันก็ได้เห็นแบบที่ คุณหมอแนะนำ เมือ่ไปหาลูกที่เมืองนอก จึงได้เห็นว่า ตปท เค้าไม่สนใจกระดาษปริญญา เค้าเลือกคนที่ ความสามารถ ปสก ที่คนนั้นมี เด็กๆที่นั่น เรียน เล่น และได้ทำงานที่ดี มีความสุข จริงๆ ถ้าจะมีก็เรียนเพิ่มทักษะ เป็นคอร์สๆไป. ถ้าเข้าไปค้นอ่านจะพบว่า บ.ใหญ่ทั่วโลก รับสมัคร พนง โดยไม่กำหนดวุฒิ จะจบอะไรก็ได้ แต่คุณต้องมี ปสก ในงานที่เค้ารับ เท่านั้นปี. ดังนั้น พออ่าน ที่คุณหมอเริ่มต้น รู้สึกว่า นี่คือเส้นทางที่ถูกต้องจริงๆค่ะ
......................................................
จดหมายจากท่านผู้อ่าน2.
คำตอบของคุณหมอมันไม่น่าเชื่อเลยว่าตัวดิฉันได้ทำตัวแบบนั้นโดยที่ดิฉันเรียนหนังสือจบการศึกษาผู้ใหญ่แค่มอ 3 ก็ใช้ชีวิตแบบที่คุณหมอพูดเนื่องมาจากว่าพ่อแม่ยากจนก็มีความเพียรพยายามแล้วก็ทำให้ตัวเองได้ยืนขึ้นมาสู่จุดเป็นหมอแผนไทยที่สามารถปรุงยาได้รักษาคนได้แล้วส่วนลูกลูกดิฉันก็เลี้ยงตามที่คุณหมอพูดทุกอย่างไม่ได้ส่งให้ลูกเรียนหนังสือสูงๆแต่ส่งให้ลูกได้เรียนรู้ชีวิตความเป็นจริงของธรรมชาติจนบัดนี้ลูกคนโตอายุ 38 ลูกคนเล็กอายุ 26 ทั้งสองคนมีความสุขและช่วยเหลือตัวเองได้เมื่อเวลาที่มีร้านร้านก็มีความสุขสรุปคนในบ้านเรามีความสุขมากเลยค่ะจากการที่เรียนรู้ที่จะหาความสุขจากธรรมชาตินี่แหละค่ะขอบคุณคุณหมอมากค่ะที่คำตอบของคุณหมอทำให้เรารู้ว่าเราเดินมาถูกทาง
.......................................................
จดหมายจากท่านผู้อ่าน3.
แนวทางที่คุณหมอแนะนำดิฉันบังเอิญได้เจอกับตัวเองด้วยชีวิตที่พลิกผัน_จากที่ลูกๆได้เข้ามหาวิทยาลัยได้แต่แล้วลูกก้าวข้ามชีวิตนักศึกษาไม่ได้จะเรียน4ปีไม่จบ_ต่อรองยึดให้1ปีถ้ายังมีปัญหาไม่สามารถจบตามที่คุยกัน. ดิฉันขอให้ลูกเดินตามที่ดิฉันวางไว้. และวินาทีที่การยึดหยุ่นมันจบคือจะจบช้ากว่าที่ตกลง ดิฉันตัดสินใจหาวิชาชีพที่ทำมาหากินได้ ให้เขาขายก๋วยเตี๋ยวที่ดิฉันทำให้ครอบครัวกินเองตั้งแต่เขาเป็นเด็ก ฝึกทุกอย่างให้ลูกพาไปหาวัตถุดิบที่ดี ไปตลาด สอนเปิด ปิดเตาแก้ส_สอนลวกเส้น สอนการเรียงลำดับความสำคัญงานทุกอย่างในร้านๆหนึ่งที่ควรจะมี.ดิฉันโดนกระแสจากเพื่อนๆญาติๆต่อว่ามากมาย แต่ดิฉันคิดว่านี่แหละคือสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่มอบให้ลูก.
เขาเรียนรุ้กะดิฉัน2ปีเขาเริ่มมีความมั่นใจเพราะจากคำชมของลูกค้าว่าก๋วยเตี๋ยวอร่อย.ยอมรับว่าเหนื่อยมากๆเพราะดิฉันก้อเริ่มอายุมากเเล้ว.แต่เหนื่อยแบบมีความสัขคะ.
จนมาวันนี้เจอพิษโควิท_19 ลูกๆดิฉันก้ออยู่ได้ไม่ตกงานขายอยุ่กับบ้าน.มีความสุขแบบพอเพียงคะ.แต่กว่าจะเจอว่าเราทำสวนกระแสแบบแนวคิดอาจารย์หมอ_มันถูกต้องที่สุด ดิฉันโดนสังคมโจมตีมากๆ
แต่ดิฉันมุ่งมั่นว่านี่คือสมบัติอันยิ่งใหญ่ที่จะมอบให้ลูกได้.ห้กำลังใจทุกๆครอบครัวนะคะ.
สู้ๆคะ
ขอบคุณอาจารย์คะที่นำความรู้มาให้อ่านและมีประโยชน์มาก
............................................................
จดหมายจากท่านผู้อ่าน4.
ขอบคุณ คุณหมอมากค่ะ เป็นแนวความคิดที่ดีมากค่ะ ไม่ยึดติดกับใบปริญญา มีความอิสระในการใช้ชีวิต ออกแบบชีวิตที่เราชอบด้วยตนเอง เรียนรู้ชีวิตด้วยตนเอง หาความสุข และมีความสุขได้ง่ายๆ เข้าใจตนเอง เข้าใจผู้อื่น
...................................................
จดหมายจากท่านผู้อ่าน5.
ขอบคุณมากค่ะคุณหมอ ลูกดิฉันกำลังจะขึ้น ม.4 และดิฉันก็ไม่ได้ส่งลูกเรียนกวดวิชาเลย อาศัยเรียนใน รร. คะแนนก็กลางๆอ่ะค่ะ หน้าบ้านฉันเป็นถนนใหญ่ในเมืองนราธิวาสและหลังบ้านเป็นแม่น้ำบางนรา และงานอดิเรกของครอบครัวคือเลี้ยงนกเลี้ยงไก่ และตกปลาหลังบ้าน และที่สำคัญเมื่อคืนเมื่อคืนพวกตกปลาได้ปลากระพง1ตัวโอ้ยดีใจไหญ่เลย และดูพวกเขามีความสุขมากเลยค่ะ ตรงกับข้อมูลที่คุณหมอบอกเลยค่ะ และวันนี้เป็นหน้าที่คุณแม่ต้องทำปลากระพงนึ่งมะนาวแล้วล่ะ
..................................................
หนูกับแฟนอยากปรึกษาคุณหมอด่วนเรื่องการศึกษาของลูกชาย เขากำลังจะเข้ามหาวิทยาลัยปีหน้า แฟนอยากกัดฟันส่งเขาไปเรียนออสเตรเลีย แต่ดูเขาเนือยๆผิดเพื่อนวัยเดียวกัน ความรู้เขาไม่น่าห่วง เพราะหนูให้เขากวดวิชากับอาจารย์ดีๆมาตั้งแต่ป.5 หนูกำลังไม่มั่นใจ เรียนในประเทศ ต่างประเทศ เรียนแพทย์ หรือเรียนธุรกิจ ลูกชายเขาไม่ออกเสียงอะไรเลย เหมือนกับว่าพ่อแม่เองไงเองงั้น ไม่กระตือรือล้นเลย
ขอบคุณค่ะ
......................................................
ตอบครับ
1. ให้เลิกคิดส่งลูกเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเสีย
มาถึงสมัยนี้ การส่งลูกเข้าเรียนมหาวิทยาลัยให้จบปริญญาตรีเป็นก้าวพลาดครั้งใหญ่ที่สุดของพ่อแม่ อย่าไปพูดไกลถึงปริญญาโทเอกหรือโพสท์ด็อค โห..นั่นเป็นความคิดที่โบราณและไร้สาระมากที่สุด ฟังแล้วต้องรีบไปล้างหูเลย เพราะคนเราเกิดมาเพื่อใช้ชีวิตอย่างสงบเย็น เบิกบาน และสร้างสรรค์ แต่มหาวิทยาลัยจะทำให้เด็กไม่มีวันได้พบสิ่งเหล่านั้น มหาวิทยาลัยเป็นที่ที่จะดองสมองเด็กจากการเป็นคนที่มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์และมีความสามารถสำรวจขุดค้นมาแต่กำเนิดให้กลายเป็นหุ่นยนต์ซื่อบี้อไม่สามารถจะคิดอ่านริเริ่มสร้างสรรค์อะไรต่อไปได้ แม้แต่จะหาความสุขในชีวิตตัวเองก็ยังทำไม่ได้เพราะมหาวิทยาลัยได้โปรแกรมคอนเซ็พท์เก๊ให้เด็กเข้าใจว่าขี้หมาคือความสุขในชีวิต กว่าเด็กจะพบว่าสิ่งนั้นที่แท้เป็นขี้หมาไม่ใช่ความสุขในชีวิตเขาก็แก่หง่อมเสียแล้ว ดังนั้นสิ่งสุดท้ายที่พ่อแม่ที่รักลูกจะทำก็คือการส่งลูกไปเรียนมหาวิทยาลัย ผมแนะนำว่าให้เรียนจบภาคบังคับก็พอแล้ว จากนั้นให้ออกมาทำมาหากิน หรือหากไม่อยากทำมาหากิน ออกมาเป็นบักหำน้อยพเนจรตุปัดตุเป๋ไม่ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันก็ยังดีกว่าไปเรียนมหาวิทยาลัย
โลกต่อจากนี้ไปสิ่งที่แน่นอนที่สุดคือความไม่แน่นอน การมีความคิดสร้างสรรค์ (creativity) หรือจินตนาการ (imagination) เป็นคุณสมบัติเดียวที่จะทำให้คนอยู่ในโลกแบบนี้ได้อย่างมีความสุข แต่โรงเรียนกวดวิชาและมหาวิทยาลัยได้ลบสิ่งนี้ออกไปจากหัวเด็กเสียแล้ว จินตนาการเป็นท่อต่อไปหาสิ่งที่เรียกว่าปัญญาญาณ (intuition) หรือไอเดียที่ปิ๊งขึ้นมาในหัวของเขาขณะไม่ได้ตั้งใจคิดอะไร เมื่อไม่มีจินตนาการก็ยากที่จะเกิดปัญญาญาณ โอกาสที่จะรับมือกับความเปลี่ยนแปลงใหม่ๆในชีวิตได้นั้นจึงริบหรี่เต็มที อย่างดีก็รู้จักแค่ทำตามปัญญาประดิษฐ์ (AI) และชีวิตอนาคตของเขาก็จะถูกนำทางหรือบงการด้วยปัญญาประดิษฐ์เท่านั้น
ความสุขในชีวิตเกิดจากการได้สำรวจค้นหาเรียนรู้สิ่งใหม่ แต่โรงเรียนและมหาวิทยาลัยปิดโอกาสที่เด็กจะได้สนใจธรรมชาติรอบตัว หมดโอกาสที่จะได้ทำตาโต (wonder) กับปรากฏการณ์ใดๆในธรรมชาติ ไม่มีความรู้สึก (feeling) ที่ลึกซึ้งกับสิ่งสวยงามรอบตัวหรือแม้กระทั่งกับสัตว์เลี้ยงอย่างหมาแมว เพราะสิ่งที่เขาเรียนจากโรงเรียนและมหาวิทยาลัยมีอย่างเดียวคือการจดจำและเชื่อตามที่คนอื่นบอก ซึ่งล้วนเป็นความจำเก่าๆของคนรุ่นเก่าที่ล้าสมัยเสียเก้าสิบเปอร์เซ็นต์
2. ครูที่สำคัญที่สุดคือพ่อแม่
สิ่งที่สำคัญที่สุดในแง่ของการศึกษาคือการบ่มเพาะ
(1) จินตนาการ (imagination) ที่สามารถคิดอะไรพ้นกรอบที่อายตนะรับรู้ออกไปได้ และ
(2) ปัญญาญาณ (intuition) อันจะนำไปสู่
(3) ความบันดาลใจ (inspiration) ในการจะใช้ชีวิตนี้ให้มีความหมายและมีคุณค่า
คนที่จะเปิดให้เด็กบ่มเพาะสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาได้คือพ่อแม่เป็นหลัก โรงเรียนเป็นรอง ทั้งสามประการนี้เด็กเขาจะบ่มเพาะขึ้นมาเองโดยไม่ต้องมีใครสอนเพราะมนุษย์เราธรรมชาติให้สมองส่วนหน้ามาเพื่อการนี้อยู่แล้ว เพียงแค่เปิดโอกาสให้เขาได้สัมผัสศึกษาธรรมชาติ ให้เด็กได้ใช้ชีวิตกลางแจ้งกลางแดดกลางฝน คลุกดิน คลุกต้นไม้ใบหญ้า หมาแมว เป็ดไก่ บวกกับให้เด็กได้มีโอกาสฝึกสมาธิวางความคิดเข้าสู่ความว่างอันสงบเย็นแล้วเฝ้ามองและเลือกหยิบปัญญาญาณที่จะโผล่ขึ้นมาในรูปของไอเดียที่ปิ๊งขึ้นมาขณะที่ใจปลอดความคิด ทั้งหมดนี้จะเป็นไปได้ง่ายขึ้นถ้าพ่อแม่ในฐานะเพื่อนร่วมเรียนรู้มีความเข้าใจและทำเป็นอยู่ก่อน แต่หากพ่อแม่มัวแต่ทำมาหากินเก็บเงินไว้ส่งลูกเรียนมหาวิทยาลัยไม่ว่าเมืองไทยหรือเมืองนอกโดยพ่อแม่ก็ไม่มีโอกาสได้รู้จักสิ่งเหล่านี้เลย สิ่งที่เด็กจะได้จากพ่อแม่ก็มีแค่การลอกเลียนแบบความเครียดกังวลมาจากพ่อแม่ เพราะเมื่อชีวิตของพ่อแม่เป็นชีวิตที่เคร่งเครียด แน่นอนว่าสิ่งที่เขาเรียนรู้จดจำจะต้องมีแต่วิธีการสนองตอบต่อสิ่งเร้าไปในทางเพิ่มความเครียดให้ตัวเองเสียเป็นส่วนใหญ่ สิ่งที่เขาเรียนรู้มาในวัยนี้จะวนเวียนอยู่กับความคิดลบหน้าเดิมไม่กี่อย่าง เช่น โทษคนอื่น (blame) รู้สึกด้อย (shame) รู้สึกว่าตัวเองตกเป็นเหยื่อ (victim) รู้สึกผิด (guilt) แล้วสิ่งเหล่านี้ก็จะฝังเป็นจิตใต้สำนึกให้เขาเอาไปใช้งานในตลอดชีวิตในวันหน้า
ความที่พ่อแม่ตั้งใจที่จะเลี้ยงดูลูกให้ได้ดีมากเป็นพิเศษตามความเชื่อของตนซึ่งได้รับการถ่ายทอดมาจากวิธีการเลี้ยงลูกของชาวบ้านในซอยหรือในที่ทำงานเดียวกันอีกต่อหนึ่ง ทำให้เด็กหมดโอกาสได้เรียนรู้การรับมือกับความไม่แน่นอนในชีวิต เด็กที่พ่อแม่รักลูกมากจึงกลายเป็นเด็กที่ทุกข์ง่าย สุขยาก จดจำแต่ความคับข้องใจที่พ่อแม่ไม่ตามใจเขา และถนัดแต่การประท้วงสำแดงพลังเพื่อให้ตัวเองอุ่นใจว่าพ่อแม่ยังคงเป็นทาสที่ซื่อสัตย์ของเขาอยู่ โดยที่ลึกๆในใจเขามีความกลัวที่พ่อแม่จะตายจากเขาไป เพราะเขาใช้บริการพ่อแม่มากจนเขาไม่รู้จะมีชีวิตอยู่ด้วยตนเองได้อย่างไรหากไม่มีพ่อแม่ ดังนั้นหากเป็นพ่อแม่ที่เปิดโอกาสให้ลูกฝึกรับมือกับความไม่แน่นอนในชีวิตไม่ได้ ก็เหลืออีกทางเดียวเท่านั้นคือปล่อยให้ลูกได้มีโอกาสผจญชีวิตจริงแบบตุปัดตุเป๋ด้วยตัวเองผ่านการทำงานตั้งแต่อายุยังน้อยจะดีกว่า การทำงานนั้นเป็นชีวิตจริงแต่มหาวิทยาลัยเป็นชีวิตเทียมที่ดองเด็กเอาไว้รอวันให้ออกไปมีปัญหากับชีวิตจริงที่ไม่ได้มีอะไรเหมือนที่มหาวิทยาลัยสอนเลย
3. เริ่มที่ความตั้งใจจริงที่จะทำเพื่อลูกก่อน
การไม่ส่งลูกเข้าเรียนมหาวิทยาลัยเป็นการฝ่าแรงต้านสาระพัด โดยเฉพาะแรงต้านในใจของพ่อแม่เอง แต่ขอให้ครวญ คิด พินิจ ให้ดี ความคิดต่อต้านนั้นมาจากไหน ถ้าไม่ใช่มาจากความยึดมั่นในความเป็นบุคคลของเราผู้เป็นพ่อแม่เอง เราอยากให้ลูกเป็นอย่างใจเรา ลูกจะได้เป็นที่ยอมรับของสังคม นั่นหมายถึงเราจะได้เป็นที่ยอมรับของสังคมด้วย เรากลัวถูกตราหน้า่าเป็นพ่อแม่ที่ล้มเหลวมีลูกที่ไม่ได้เรื่อง การจะไม่ส่งลูกไปเข้ามหาวิทยาล้ยจึงเป็นการคิดแหกคอกครั้งใหญ่ จะต้องวาง identity หรืออัตตาว่าเราเป็นบุคคลผู้ที่อยากให้ใครต่อใครยอมรับนี้ลงไปก่อน จึงจะทำการใหญ่นี้ได้สำเร็จ
ขั้นต่อไปก็คือการเป็นเพื่อนลูกในการทำความรู้จักกับธรรมชาติรอบตัว เริ่มจากธรรมชาติรอบตัวที่บ้าน ท้องฟ้า หญ้า ต้นไม้ริมทาง รวมไปถึงการซึมซับศิลปะและความสวยงาม แล้วหาโอกาสพาเขาเดินทางไปพักในธรรมชาติ เช่นวนอุทยาหรือป่าเขาลำเนาไพร ไปพักแบบเพื่อศึกษาความมหัศจรรย์ของธรรมชาติ อยู่กับแสงแดด ธารน้ำต้นไม้ หญ้าระบัดสัตว์เล็กสัตว์น้อย ซึ่งจะเป็นสื่อธรรมชาติพาไปสู่ความรักในการขุดค้นดูความมหัศจรรย์ของสิ่งรอบตัว อันเป็นช่องเปิดไปหา creativity ทั้งหมดนี้มันควรจะเริ่มมาตั้งแต่ชั้นอนุบาลแล้ว แต่ว่ามาเริ่มตอนนี้ก็ยังไม่สายเกินไป ดีกว่าดันให้เขาไปผิดทางจนกว่าที่เขาจะรู้ตัวก็แก่เสียแล้ว
จากนั้นจึงคุยกับเขาถึงสิ่งที่เขาชอบ สิ่งที่เขาอยากทำ และบอกเขาว่าพ่อกับแม่อยากให้เขามีความสุขในชีวิตแค่น้้นเป็นพอ เขามีอิสระที่จะเลือกทางเดินชีวิตของเขาเองได้ จะเข้ามหาวิทยาลัยหรือไม่เข้า หากเขาไม่เลือก หรือหากเขาขอคำแนะนำพ่อแม่ พ่อกับแม่ก็ควรแนะนำให้เขาว่าไม่ควรไปเข้ามหาวิทยาลัยโดยชี้แจงเหตุผลตามความเป็นจริง เมื่อไม่เข้ามหาลัยก็อาจเริ่มต้นการทำงานอะไรก็ได้ ตะก๊อก ตะแก๊ก ทำงานไปเรียนรู้ชีวิตไป ฝึกใช้ชีวิตให้มีความสุข นั่นแหละคือปลายทางที่คนเราเกิดมา คือเกิดมาเพื่อใช้ชีวิตให้มีความสุข
ผลการคุยกันจะออกมาอย่างไรก็ต้องเป็นไปตามนั้น เพราะชีวิตเป็นของเขา เขาต้องเป็นผู้เลือก
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
.....................................................
จดหมายจากท่านผู้อ่าน1.
เห็นด้วยกับคุณหมออย่างยิ่งค่ะ ถึงแม้ว่าลูกจะจบโทถาปัดอีกไม่นาน แต่นั่นคือความสุขที่เธอเลือกเอง ได้เรียนอย่างสนุกมาตลอด ไม่เคยต้องเรียนพิเศษ เหมือนเด็กอื่น ดิฉันสอนลูกเอง และดิฉันก็ได้เห็นแบบที่ คุณหมอแนะนำ เมือ่ไปหาลูกที่เมืองนอก จึงได้เห็นว่า ตปท เค้าไม่สนใจกระดาษปริญญา เค้าเลือกคนที่ ความสามารถ ปสก ที่คนนั้นมี เด็กๆที่นั่น เรียน เล่น และได้ทำงานที่ดี มีความสุข จริงๆ ถ้าจะมีก็เรียนเพิ่มทักษะ เป็นคอร์สๆไป. ถ้าเข้าไปค้นอ่านจะพบว่า บ.ใหญ่ทั่วโลก รับสมัคร พนง โดยไม่กำหนดวุฒิ จะจบอะไรก็ได้ แต่คุณต้องมี ปสก ในงานที่เค้ารับ เท่านั้นปี. ดังนั้น พออ่าน ที่คุณหมอเริ่มต้น รู้สึกว่า นี่คือเส้นทางที่ถูกต้องจริงๆค่ะ
......................................................
จดหมายจากท่านผู้อ่าน2.
คำตอบของคุณหมอมันไม่น่าเชื่อเลยว่าตัวดิฉันได้ทำตัวแบบนั้นโดยที่ดิฉันเรียนหนังสือจบการศึกษาผู้ใหญ่แค่มอ 3 ก็ใช้ชีวิตแบบที่คุณหมอพูดเนื่องมาจากว่าพ่อแม่ยากจนก็มีความเพียรพยายามแล้วก็ทำให้ตัวเองได้ยืนขึ้นมาสู่จุดเป็นหมอแผนไทยที่สามารถปรุงยาได้รักษาคนได้แล้วส่วนลูกลูกดิฉันก็เลี้ยงตามที่คุณหมอพูดทุกอย่างไม่ได้ส่งให้ลูกเรียนหนังสือสูงๆแต่ส่งให้ลูกได้เรียนรู้ชีวิตความเป็นจริงของธรรมชาติจนบัดนี้ลูกคนโตอายุ 38 ลูกคนเล็กอายุ 26 ทั้งสองคนมีความสุขและช่วยเหลือตัวเองได้เมื่อเวลาที่มีร้านร้านก็มีความสุขสรุปคนในบ้านเรามีความสุขมากเลยค่ะจากการที่เรียนรู้ที่จะหาความสุขจากธรรมชาตินี่แหละค่ะขอบคุณคุณหมอมากค่ะที่คำตอบของคุณหมอทำให้เรารู้ว่าเราเดินมาถูกทาง
.......................................................
จดหมายจากท่านผู้อ่าน3.
แนวทางที่คุณหมอแนะนำดิฉันบังเอิญได้เจอกับตัวเองด้วยชีวิตที่พลิกผัน_จากที่ลูกๆได้เข้ามหาวิทยาลัยได้แต่แล้วลูกก้าวข้ามชีวิตนักศึกษาไม่ได้จะเรียน4ปีไม่จบ_ต่อรองยึดให้1ปีถ้ายังมีปัญหาไม่สามารถจบตามที่คุยกัน. ดิฉันขอให้ลูกเดินตามที่ดิฉันวางไว้. และวินาทีที่การยึดหยุ่นมันจบคือจะจบช้ากว่าที่ตกลง ดิฉันตัดสินใจหาวิชาชีพที่ทำมาหากินได้ ให้เขาขายก๋วยเตี๋ยวที่ดิฉันทำให้ครอบครัวกินเองตั้งแต่เขาเป็นเด็ก ฝึกทุกอย่างให้ลูกพาไปหาวัตถุดิบที่ดี ไปตลาด สอนเปิด ปิดเตาแก้ส_สอนลวกเส้น สอนการเรียงลำดับความสำคัญงานทุกอย่างในร้านๆหนึ่งที่ควรจะมี.ดิฉันโดนกระแสจากเพื่อนๆญาติๆต่อว่ามากมาย แต่ดิฉันคิดว่านี่แหละคือสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่มอบให้ลูก.
เขาเรียนรุ้กะดิฉัน2ปีเขาเริ่มมีความมั่นใจเพราะจากคำชมของลูกค้าว่าก๋วยเตี๋ยวอร่อย.ยอมรับว่าเหนื่อยมากๆเพราะดิฉันก้อเริ่มอายุมากเเล้ว.แต่เหนื่อยแบบมีความสัขคะ.
จนมาวันนี้เจอพิษโควิท_19 ลูกๆดิฉันก้ออยู่ได้ไม่ตกงานขายอยุ่กับบ้าน.มีความสุขแบบพอเพียงคะ.แต่กว่าจะเจอว่าเราทำสวนกระแสแบบแนวคิดอาจารย์หมอ_มันถูกต้องที่สุด ดิฉันโดนสังคมโจมตีมากๆ
แต่ดิฉันมุ่งมั่นว่านี่คือสมบัติอันยิ่งใหญ่ที่จะมอบให้ลูกได้.ห้กำลังใจทุกๆครอบครัวนะคะ.
สู้ๆคะ
ขอบคุณอาจารย์คะที่นำความรู้มาให้อ่านและมีประโยชน์มาก
............................................................
จดหมายจากท่านผู้อ่าน4.
ขอบคุณ คุณหมอมากค่ะ เป็นแนวความคิดที่ดีมากค่ะ ไม่ยึดติดกับใบปริญญา มีความอิสระในการใช้ชีวิต ออกแบบชีวิตที่เราชอบด้วยตนเอง เรียนรู้ชีวิตด้วยตนเอง หาความสุข และมีความสุขได้ง่ายๆ เข้าใจตนเอง เข้าใจผู้อื่น
...................................................
จดหมายจากท่านผู้อ่าน5.
ขอบคุณมากค่ะคุณหมอ ลูกดิฉันกำลังจะขึ้น ม.4 และดิฉันก็ไม่ได้ส่งลูกเรียนกวดวิชาเลย อาศัยเรียนใน รร. คะแนนก็กลางๆอ่ะค่ะ หน้าบ้านฉันเป็นถนนใหญ่ในเมืองนราธิวาสและหลังบ้านเป็นแม่น้ำบางนรา และงานอดิเรกของครอบครัวคือเลี้ยงนกเลี้ยงไก่ และตกปลาหลังบ้าน และที่สำคัญเมื่อคืนเมื่อคืนพวกตกปลาได้ปลากระพง1ตัวโอ้ยดีใจไหญ่เลย และดูพวกเขามีความสุขมากเลยค่ะ ตรงกับข้อมูลที่คุณหมอบอกเลยค่ะ และวันนี้เป็นหน้าที่คุณแม่ต้องทำปลากระพงนึ่งมะนาวแล้วล่ะ
..................................................