ปัญญาญาณ (Intuition) เป็นคนละอันกับจินตนาการ (Imagination)
วันก่อนผมแนะนำผู้เข้ารีทรีต ให้รู้จักปัญญาญาณ (intuition) โดยวิธีให้ผู้เข้ารีทรีตทำงานปั้นดินเหนียว เนื้อหามีอยู่ตอนหนึ่งพูดถึงวิธีแยกแยะว่าอะไรเป็นจินตนาการ อะไรเป็นปัญญาญาณ ผมเห็นว่าเนื้อหาอาจจะมีประโยชน์กับท่านผู้อ่าน จึงตัดเอามาเล่าให้ฟัง
............................................
จินตนาการ (imagination) เป็นกระบวนการก่อความคิดหรือการสร้างคอนเซ็พท์ขึ้นในใจแบบที่เราทำอยู่เป็นประจำนี่แหละ เพียงแต่ยึดโยงกับความคิดหรือคอนเซ็พท์เดิมที่มีอยู่ให้น้อยที่สุด ปล่อยคอนเซ็พท์ใหม่แล่นไปไกลแสนไกลตามที่มันอยากไป แต่จนแล้วจนรอดจินตนาการก็ยังเป็นกระบวนการปรุงความคิด หรือเป็นกระบวนการที่เราเป็นผู้ลงมือ (active) อยู่นั่นเอง
ส่วน ปัญญาญาณ (intuition) ไม่ใช่กระบวนการปรุงความคิด แต่มันเป็นการ ปิ๊ง..ง ไอเดีย หรือการเห็นสิ่งใหม่โผล่ขึ้นมาเองจากความไม่มีอะไรเลย มันเป็นการสาธิตสอนแสดงให้เราเห็นตรงๆตามที่มันเป็น มันเป็นการเกิดขึ้นเองขณะเราไม่ได้ลงมือ (passive) เหมือนเราเป็นผู้นั่งดู อยู่ๆมันก็ลงมาสอน เหมือนเรากำลังกางเกงขาสั้นดายหญ้าอยู่หน้าบ้าน อยู่ๆบุรุษไปรษณีย์ก็มากดกริ่งเอาของมาส่งให้ มันเกิดขึ้นของมันเอง เราไม่ได้ทำให้เกิด มันเกิดเมื่อใจเป็นสมาธิ ปลอดจากความคิด แม้ความคิดเชิงจินตนาการก็ไม่มีในตอนนี้ ใจกลายเป็นท่อนำเปล่าๆโล่งๆ ปัญญาญานจึงจะไหลเข้ามาตามท่อได้ ถ้าใจเราไม่ว่าง ไปอยู่เสียที่ในความคิด ปัญญาญาณก็ไม่เกิด เสมือนว่าเราต้องอยู่บ้านบุรุษไปรษณีย์จึงจะส่งของให้เราได้ ถ้าเราไม่อยู่เสียอย่าง ใครก็เอาของมาให้เราไม่ได้
ถ้าไม่แน่ใจว่านี่เป็นปัญญาญาณหรือเป็นความคิดที่ชงขึ้นมาจากสำนึกความเป็นบุคคลของเราเอง ให้คุณเช็คที่สองจุด คือ "ซู่ซ่า" กับ "ผ่อนคลาย"
"ซู่ซ่า" หมายความว่าให้คุณเช็คดูว่าเรามีความรู้ตัวทั่วพร้อมอยู่หรือเปล่า คือหายใจเข้าลึกๆแล้วผ่อนลมหายใจออกเบาๆแล้วรับรู้อาการซู่ซ่าตามผิวหนังทั่วร่างกาย เหมือนสมัยก่อนหมอที่หากินทางทำคลินิกชอบฉีดแคลเซียมเข้าเส้นให้คนไข้เพื่อให้เกิดความรู้สึกซู่ซ่าจะได้ศรัทธาว่านี่เป็นยาแรง ถ้ารับรู้ "ซู่ซ่า" ไม่ได้ก็แสดงว่าความสนใจกำลังไปอยู่ที่ความคิด จึงไม่สามารถรับรู้ร่างกายได้ สิ่งที่เกิดขึ้นในขณะนั้นน่าจะเป็นความคิด ไม่ใช่ปัญญาญาณ
"ผ่อนคลาย" หมายความว่าให้ทดลองหายใจเข้าลึกๆ ปล่อยลมหายใจออกช้าๆ แล้วสั่งให้กล้ามเนื้อร่างกายทั้งตัวรวมทั้งหัวคิ้วและใบหน้าให้ผ่อนคลาย ดูซิว่าร่างกายเราผ่อนคลายได้หรือเปล่า หากร่างกายตึงเครียดไม่ผ่อนคลาย แสดงว่าความสนใจไปอยู่ที่ความคิด เพราะความคิดนี้มีสองขา ขาหนึ่งเป็นเนื้อหาสาระของเรื่องที่คิด อึกขาหนึ่งเป็นอาการบนร่างกาย เมื่อร่างกายตึงเครียดแสดงว่ากำลังมีความคิด แต่ถ้าร่างกายผ่อนคลายได้ ก็แสดงว่าความคิดตกไปแล้ว อะไรที่เกิดขึ้นขณะที่ร่างกายผ่อนคลายได้ จึงมีแนวโน้มที่จะเป็นปัญญาญาณมากกว่าที่จะเป็นความคิดของเราเอง
ซู่ซ่า กับ ผ่อนคลาย จำไว้นะ เช็คก่อนเสมอ ก่อนที่จะทึกทักว่าปัญญาญาณได้สอนความรู้แจ้งแก่คุณแล้ว ถ้าขณะนั้นคุณไม่ซู่ซ่า ไม่ผ่อนคลาย แสดงว่าคุณกำลังถูกความคิดของคุณเองหลอกเอาแล้ว อย่าไปหลงกลมัน ให้คุณกลับไปตั้งต้นสนามหลวงเริ่มทำใจให้เป็นสมาธิใหม่ตามสูตรไหนก็ได้ที่คุณถนัด ในทางกลับกัน ถ้าคุณรู้สึกซู่ซ่าและผ่อนคลาย แสดงว่าใจคุณอยู่ในสมาธิแล้ว ณ ตรงนี้จะมีความคิดอะไรเกิดก็ปล่อยให้มันเกิดขึ้นมา อย่าไปบล็อก อย่าไปห้าม ความคิดเห่ยๆแย่ๆก็ปล่อยให้มันเกิดขึ้นมา แต่เมื่อมันผ่านมาแล้วก็ปล่อยให้มันผ่านไปเหมือนก้อนเมฆที่ถูกลมพัดผ่านหน้าเราไป ขณะที่กำลังซู่ซ่าและผ่อนคลายอยู่นั้น ปล่อยๆใจไป เดี๋ยวอะไรดีๆก็จะปิ๊ง..ง ขึ้นมาให้คุณเห็นและร้องว่า อ้อ..อ เข้าใจแล้ว
ความชำนาญในการรับรู้ปัญญาญาณเกิดจากการฝึกรับ นำมาใช้ แล้วย้อนประมวลผล (feed back) คือจับสัญญาณ เชื่อ ทำตาม แล้วประมวลผล โดยต้องทำใจว่ามันอาจจะเป็นการตัดสินใจผิดแบบเข้าป่าไปเลยไว้ด้วย ฝึกรับไป ประมวลผลตามไป นานไปก็จะชำนาญเอง
การแยกแยะปัญญาญาณกับจินตนาการ
ให้คุณสังเกตอารมณ์หรือความตื่นเต้นที่มาพร้อมกับปัญญาญาณ จับสัญญาณความตื่นเต้นนั้นให้เป็น ให้เก่ง ในที่สุดคุณก็จะเรียนรู้ว่าอะไรเป็นของจริง อะไรเป็นของไม่จริง
สิ่งที่ไม่ใช่ปัญญาญาณ
1. เสียงที่พูดกรอกหูให้คุณรู้สึกไม่ดี พร่ำบอกให้คุณถอย คอยชี้ข้อเสีย นั่นไม่ใช่ เพราะปัญญาญาณจะเวอร์คเฉพาะกับความตื่นเต้นยินดีเร้าใจของคุณ อะไรที่เวอร์คกับความกลัวของคุณ นั่นไม่ใช่ปัญญาญาณ นั่นมีแนวโน้มที่จะเป็นความคิดที่ชงขึ้นมาจากความเป็นบุคคลของคุณมากกว่า
2. เสียงที่บอกอะไรที่คลุมๆเครือๆ ไม่ชัดแจ้ง นั่นก็ไม่ใช่ เพราะปัญญาญาณนั้นเป็นข่าวสารที่แจ้งชัดและลงตัวเป๊ะกับส่วนที่ขาดหายไปจากห้วงความคิดหรือจินตนาการของคุณ เหมือนกับว่าเป็นสิ่งที่คุณเฝ้ารอแล้วมันก็มาพอดี๊..พอดี
3. เสียงที่รบเร้าให้คุณเชื่อฟังมัน เสียงที่ลงทุนลงแรงรบเร้าอ้อนวอนคุณบอกคุณว่าให้เชื่อมันเถอะทั้งๆที่คุณดูแล้วไม่เมคเซ็นส์เลย ให้ทิ้งมันไปดีกว่า เพราะปัญญาญาณนั้นเป็นความรู้บริสุทธิ์ที่ไม่มีวาระซ่อนเร้น ไม่เกี่ยวกับความอยากได้ใคร่มีที่ฝังแฝงอยู่ในใจคุณ มันเป็นแค่การฉายภาพใหญ่ลงมา เป็นการสาธิตสอนแสดงให้คุณเห็น คุณจะทำไม่ทำตามนั่นเรื่องของคุณ ปัญญาญาณไม่ได้สนหรือแคร์อะไรมากไปกว่าเปิดของที่คว่ำอยู่หงายขึ้นให้คุณได้เห็น
4. ถ้าไม่แน่ใจ อย่ากังวล ปล่อยมันไปก่อน ปัญญาญาณที่แท้จริงจะเปิดเผยต่อคุณซ้ำๆซากๆถ้าครั้งแรกคุณไม่เก็ทมัน
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์