เชื้อสะแต๊ฟกับเชื้อเบอร์คโฮลในจมูก

สวัสดีค่ะคุณหมอ
ดิฉันอายุ 49ปี ไปตรวจร่างกาย เอ็กซเรย์ปอด ได้ผลว่ามีถุงลมโป่งพอง ดิฉันได้ไปปรึกษาคุณหมอ ent เพราะปกติดิฉันเป็นโรคจมูกอักเสบ ชอบจามและมีน้ำมูกตอนเช้า ก้อทานยาแก้แพ้ aerius อยู่ตลอด คุณหมอดูฟิล์มแล้วบอกว่าปอดไม่เป็นไร(ซึ่งเคยให้คุณหมอปอดอีกท่านดูก้อบอกว่าไม่เป็นไร)  และให้เอ็กซเรย์โพรงจมูก ก้อปกติ แต่คุณหมอบอกจมูกดูเยินมากและเอาเชื้อในจมูกไปตรวจโดยใช้ก้านสำลีใส่เข้าไปในจมูก ได้ผลว่ามีเชื้อ staphylococcus aureus และเชื้อ burkholderia cepacia และคุณหมอให้ยาฆ่าเชื้อ co-trimoxazole กับ dacin-f มาทาน ซึ่งดิฉันไม่ได้ทานเพราะไม่อยากทานยาฆ่าเชื้อทั้งที่รู้สึกว่าดิฉันไม่ได้มีอาการเหมือนติดเชื้อเลย จึงอยากเรียนถามคุณหมอว่าเชื้อทั้งสองชนิดมีความร้ายแรงมากมั้ยคะ ถ้าไม่ทานยาเชื้อจะค่อยๆลุกลามหรือไม่ หรือปกติคนเราก้อมีเชื้อพวกนี้กันอยู่ในตัวเองอยู่แล้วคะ
ขอขอบพระคุณ
ด้วยความนับถือค่ะ

..................................................

     1. ถามว่าเชื้อสะแต๊ฟ (Staphylococcus aureus) ตรวจพบที่จมูกแล้วจำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะไหม คำถามนี้ตอบได้ด้วยงานวิจัยหนึ่งซึ่งทำที่ยุโรปเหนือ เขาเอาคนงานที่กำลังทำงานอยู่ในโรงงานมาตรวจจมูก 144 คน ในจำนวนนี้บ่นว่ามีอาการเรื้อรังทางจมูกหรือทางเดินหายใจส่วนบน 53 คน ผลการตรวจพบว่าคนที่มีอาการตรวจพบเชื้อสะแต๊ฟ ในจมูก 49.1% ในลำคอ 32.1% ขณะที่คนที่ไม่มีอาการตรวจพบเชื้อสะแต๊ฟในจมูกเพียง 27.4% และในปากเพียง 9.9% และเมื่อคณะวิจัยไปเอาคนงาน 22 คน จากโรงงานที่คล้ายกันอีกโรงหนึ่งซึ่งในโรงงานนั้นไม่มีใครบ่นว่ามีอาการเรื้อรังทางเดินหายใจส่วนบนเลย พบว่ามีเพียง 2 คนที่พบเชื้อสะแต๊ฟ

     ข้อสรุปจากงานวิจัยนี้คือเชื้อสะแต๊ฟเมื่อมาอยู่ในทางเดินลมหายใจส่วนบนก็มักจะก่อเรื่อง มีเพียงประมาณ 10% เท่านั้นที่อยู่แบบสงบเสงี่ยมโดยไม่ก่อเรื่อง วงการแพทย์ทราบมานานแล้วว่าวิธีก่อเรื่องของเชื้อสะแต๊ฟนั้นมักจะเป็นการทำให้เยื่อเมือก (mucous membrane) เสียหาย ทำให้ติดเชื้อโรคอย่างอื่นง่ายขึ้นอย่างซ้ำซากเรื้อรัง

     ในกรณีของคุณนี้พบว่า (1) เยื่อเมือกของจมูกยับเยินด้วย (2) มีอาการป่วยทางเดินลมหายใจส่วนบนเรื้อรังด้วย และ (3) พบเชื้อสะแต๊ฟด้วย ทั้งหมดนี้บ่งชี้ว่าโอกาสที่เชื้อสะแต๊ฟจะเป็นต้นเหตุของเรื่องมีถึง 90% จึงเป็นกรณีที่สมควรใช้ยาปฏิชีวนะรักษา แต่ว่าใช้ยาแล้วก็ใช่ว่าจะนอนใจได้ว่าเชื้อจะหมดนะ ครบสองสัปดาห์แล้วต้องกลับไปให้หมอกวาดเยื่อจมูกมาเพาะเชื้อดูใหม่ เพราะเชื้อสะแต๊ฟนี้หัวแข็งไม่ใช่ว่าจะกำจัดได้ง่ายๆ ดูยาที่คุณได้มาคือ Clindamycin ก็จัดว่าเป็นยาที่สูงและแพงมากแล้วนะ แต่ก็ยังไม่วายมีเชื้อดื้อ สูงไปกว่านี้ก็เหลือยาอีกตัวเดียวคือแวนโคมัยซิน (vancomycin) ชนิดฉีดเข้าเส้น ในอเมริกาตอนนี้กำลังมีปัญหาว่าเชื้อสะแต๊ฟดื้อแวนโคมัยซิน เนื่องจากยี่สิบสามสิบปีที่ผ่านมานี้วงการแพทย์ไม่เคยค้นพบยาปฏิชีวนะใหม่เลย ดังนั้นอนาคตของคนติดเชื้อสะแต๊ฟในวันข้างหน้าก็จะเหลือทางไปทางเดียว คือกลับไปพึ่งภูมิคุ้มกันหรือ antibody ของใครของมันแล้วละครับ ใครที่ฟูมฟักระบบภูมิคุ้มกันของตัวเองไว้ไม่ดีพอก็..บ๊าย บาย

     2. ถามว่าตรวจพบเชื้อเบิร์คโฮลเดรีอา (Burkholderia cepacia) อยู่ในโพรงจมูกต้องใช้ยาปฏิชีวนะทำลายไหม ตอบว่าเชื้อเบิร์คโฮลนี้ที่อยู่ปกติของมันคือในดิน กรณีเดียวที่มันจะมาอยู่ในคนได้ก็คือเมื่อภูมิคุ้มกันของร่างกายคนตกต่ำถึงระดับแล้ว เช่นคนเป็นโรคซิสติกไฟโบรซีส (cysticfibrosis) และคนป่วยเรื้อรังนอนติดเตียงในไอซียู.นานๆเป็นต้น เนื่องจากเชื้อนี้มันเป็นเชื้อบ้านนอก มันไม่รู้จักยาปฏิชีวนะ หมายความว่ายาปฏิชีวนะทำลายมันได้ยากมาก อีกทางหนึ่งที่มันจะเข้ามาสู่ตัวเราก็โดยการที่เราเอาอะไรที่คิดว่าสอาดปราศจากเชื้อแล้วมาใส่ตัว ที่มีหลักฐานว่าเคยเกิดขึ้นมาแล้วแน่นอนก็เช่น (1) ใช้ยาพ่นจมูกเพื่อการใดก็ตาม แล้วยานั้นปราศจากเชื้อปกติก็จริงแต่มีเชื้อในดินปนเปื้อนอยู่ (2) ใช้น้ำยาบ้วนปากเพื่อฆ่าเชื้อในปากเป็นประจำ แต่น้ำยานั้นมีเชื้อบ้านนอกติดมาด้วย หรือเช่น (3) คนไข้นอนในไอซียู.หมอพยาบาลเอาท่อดูดน้ำลายที่แช่น้ำยาฆ่าเชื้อแล้วมาดูดน้ำลายในปาก แต่ท่อดูดนั้นไม่มีเชื้อในกรุงก็จริง แต่มีเชื้อบ้านนอกอยู่ คนไข้ก็เลยติดเชื้อด้วยประการฉะนี้

     ในกรณีของคุณ เมื่อตรวจพบเชื้อจากดินมาอยู่ในรูจมูกโดยที่มีอาการของทางเดินลมหายใจส่วนบนด้วย ก็ควรใช้ยารักษา ยา Cotrimox ที่หมอเขาให้มาก็มีผลรักษาเชื้อนี้ได้อยู่บ้าง บ้างเท่านั้นนะ เมื่อรักษาครบคอร์สแล้วก็ต้องตรวจซ้ำ เพราะบางครั้งเชื้อจากดินนี้มันมาอาศัยอยู่เฉยๆ เมื่อตรวจซ้ำแล้วมันยังยิ้มเผล่อยู่ที่เดิม หากร่างกายเราไม่มีอาการผิดปกติอะไรก็ช่างม้นเถอะ อยู่กับมันไปงี้แหละ นโยบาย "อยู่กันไปงี้แหละ" เนี่ยเป็นนโยบายใหม่ของวงการแพทย์นะ เพราะเชื้อโรคบางอย่างเช่นวัณโรคไล่อย่างไรมันก็ไม่ไปจนคนไข้จะมาตายเพราะความพยายามจะทำลายเชื้อโรคเสียมากกว่าตายเพราะเชื้อโรค จึงเกิดนโยบายอยู่กันไปงี้แหละขึ้นมา นโยบายนี้จะถูกงัดออกมาใช้บ่อยมากขึ้นเรื่อยๆเพราะเชื้อหลายชนิดต่างพากันพัฒนาจนดื้อยาทุกอย่างที่เรามีใช้ ถ้าไม่อยู่กับมันไปแล้วจะทำไงได้ละครับ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

บรรณานุกรม
1. Christensen P, Haeger-Aronsen B, Kamme C, Nilsson NI, Welinder H. Staphylococcus aureus in the throat: A saprophyte or a pathogen? Scand J Infect Dis. 1977;9(1):27-30.
2. Center of Disease Control. Notice to Readers: Manufacturer's Recall of Nasal Spray Contaminated with Burkholderia cepacia Complex. MMWR. March 26, 2004 / 53(11);246
Chest. 2007 Dec;132(6):1825-31. Epub 2007 Oct 9.
3. Kutty PK1, Moody B, Gullion JS, Zervos M, Ajluni M, Washburn R, Sanderson R, Kainer MA, Powell TA, Clarke CF, Powell RJ, Pascoe N, Shams A, LiPuma JJ, Jensen B, Noble-Wang J, Arduino MJ, McDonald LC. Multistate outbreak of Burkholderia cenocepacia colonization and infection associated with the use of intrinsically contaminated alcohol-free mouthwash. Chest. 2007 Dec;132(6):1825-31.
4. Center of Disease Control. Notice to Readers: Nosocomial Burkholderia cepacia Infections Associated with Exposure to Sublingual Probes. WWWR. September 3, 2004 / 53(34);796

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เจ็ดใครหนอ

สอนวิธีแปลผลเคมีของเลือด

กินคีโตไข่ต้มไก่ต้มทุกวันแล้วหลอดเลือดหัวใจตีบ

ความแก่..เหมือนหมาถูกต้อนเข้ามุมให้จนตรอก

ชีวิตเมื่อตายไปแล้ว

เปลี่ยนอาหาร ปั่นจักรยาน น้ำตาลลด ความดันลด แต่ไขมันทำไมไม่ลด

ท่านอายุเก้าสิบแล้วยังไม่รู้ แล้วท่านจะรู้มันไปทำพรื้อละครับ

สิ่งที่ขาดหายไปจากชีวิตคนเราคือความเบิกบาน (Joy)

อายุ 70 ปีถูกคนในบ้านไล่ให้ไปฉีดวัคซีนไข้เลือดออก

มะเร็งต่อมลูกหมากแพร่กระจายไปกระดูกขาแล้ว จะไปต่อไงดี