เรื่องระยำเรื่องแล้วเรื่องเล่าไม่รู้จักหยุดจักหย่อน

     ...ผมมีความเครียดนอนไม่หลับ ทั้งการงาน ครอบครัว งานที่ผมทำเลี้ยงลูกเลี้ยงเมียอยู่ ใช่ว่ามันจะถาวร หากผมมีอันต้องทำงานต่อไม่ได้ ผมจะทำอย่างไรกับลูกเมีย แค่มองไปปีหน้า ผมก็ยังไม่รู้เลยว่าปีหน้าเงินรายได้จะมาจากไหน งานที่ผมทำมันไม่ใช่งานที่น่าภาคภูมิใจนัก แต่จะเลิกก็ไม่ได้เพราะจะเอาอะไรมาส่งเสียลูก อีกด้านหนึ่งก็คือเมียและลูกเอง พวกเขาก็ใช่ว่าจะเป็นอย่างที่ผมคาดหวัง

......................................................

ตอบครับ

     หลายปีมาแล้ว หลานผมคนหนึ่ง ซึ่งเป็นฝรั่ง (ลูกของเพื่อน) เขียนมาหาบอกว่าอยากจะมาอยู่เมืองไทยสักเดือนหนึ่ง เพื่อมาไตร่ตรองทบทวนชีวิต (reflection of my life) ผมบอกเขาไปว่ามาอยู่กับลุงหนะมาได้ แต่ถ้าจะมาตั้งไกลเพื่อมานั่งคิดโน่นคิดนี่ไม่ต้องเสียเวลามาดอก มาไกลขนาดนี้มันต้องมาเพื่อจะได้วางความคิดเดิมๆมาอยู่กับสิ่งแปลกๆใหม่ๆที่อยู่ตรงหน้า จึงจะคุ้มค่าที่จะมา

     นี่คุณก็เหมือนกัน คุณเอาแต่นั่งทบทวนสถานะการณ์ชีวิต แล้วคุณก็พลาดโอกาสที่จะใช้ชีวิต ย้ำ คุณมัวแต่ทบทวนสถานะการณ์ในชีวิต (life situation) ทำให้คุณพลาดโอกาสใช้ชีวิต (living)  เพราะเมื่อคุณคิดทบทวนสถานะกาณ์ชีวิต คุณไปอยู่ในความคิด ซึ่งเป็นมิติของอดีตอนาคต แต่การใช้ชีวิต เราใช้ที่ที่นี่เดี๋ยวนี้ แทนที่จะปล่อยให้ความคิดเรื่องสถานะการณ์ชีวิตดูดซับเอาพลังชีวิตไปจากคุณหมด ทำไมคุณไม่นอนลง หายใจเข้าลึกๆ รับเอาพลังงานเข้ามา ผ่อนลมหายใจออกยาวๆ รับรู้พลังงานที่แผ่กระจายไปทั่วทุกเซลทุกรูขุมขน แล้วหลับที่ตรงนั้น ไม่ใช่หลับไปพร้อมกับความคิดไร้สาระ สิ่งที่คุณกลัวคือคอนเซ็พท์ในหัวของคุณ แต่คุณนอนอยู่ในเตียงในห้องแอร์นะ อะไรจะมาทำร้ายคุณได้ในโมเมนต์นี้ สิ่งที่อยู่ในความคิดของคุณมันเป็นความจริงที่ที่นี่เดี๋ยวนี้สักอย่างหนึ่งไหมละ ไม่มีเลย คุณนะเครียดฟรีนะ ในทางตรงกันข้ามถ้าคุณมาอยู่ที่ที่นี่เดี๋ยวนี้ คุณนอนสบายอยู่ในห้องแอร์ มีอะไรคุณก็รับมือกับมันได้แบบช็อตต่อช็อต รับมือกับทุกอย่างแบบยอมรับสิ่งที่มีอยู่เป็นอยู่แบบไม่มีเงื่อนไข หมดช็อตนี้แล้วก็รับมือกับช็อตต่อไปโดยไม่ต้องคาดการณ์อะไรไว้ก่อน ความสงบเย็นนั้นจะเกิดได้ก็เฉพาะที่ที่นี่เดี๋ยวนี้เท่านั้น จะสงบได้ ต้องวางความคิด มายอมรับเดี๋ยวนี้ อยู่ที่เดี๋ยวนี้ แล้วชีวิตก็จะกลายเป็นเรื่องแสนสุขสนุกสนานขึ้นมาทันตาเห็น

     ความคิดของคนเรานี้มันไม่ใช่ของดีนะคุณ ว่าจริงๆแล้วความคิดของคนเรามันคือความบ้าดีๆนี่เอง ถ้าความคิดเรามีแต่ของดี มนุษย์ก็คงไม่เข่นฆ่าทำลายล้างกัน ทำสงครามกัน คิดสร้างระเบิดมาปล่อยใส่กันจนตายทีละเป็นเบือหรอก ความคิดไม่ว่าจะแล่นไปในอนาคตหรือย้อนไปในอดีต สิ่งที่โผล่ขึ้นมาในความคิดมีแน้วโน้มจะเป็นเรื่องสั่วๆทั้งนั้น พูดถึงอดีตหรือประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ วินสตัน เชอร์ชิล (นายกอังกฤษสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง) ได้นิยามประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติไว้อย่างถูกใจหมอสันต์มาก ว่าประวัติศาสตร์ของมนุษย์ชาติคือ

     "...One damn thing after another.”     

     "...เรื่องระยำเรื่องแล้วเรื่องเล่าไม่รู้จักหยุดจักหย่อน"

     สมัยผมเป็นแพทย์ฝึกหัดไปฝึกงานที่รพ.หลังคาแดง (รพ.สมเด็จเจ้าพระยา) ซึ่งเป็นที่รักษาคนบ้า จ๊อบหลักของแพทย์ฝึกหัดคือต้องซักประวัติจิตเวชของผู้ป่วยแล้วบันทึกลงในใบโอพีดี.คาร์ดหรือเวชระเบียน ในการซักประวัตินี้เราจะต้องบันทึกว่าความคิดของผู้ป่วยเป็นอย่างไร อารมณ์ของผู้ป่วยเป็นอย่างไร ถ้าให้ผมเขียนเวชระเบียนของผู้ป่วยที่ชื่อ "มนุษย์" ผมคงจะต้องเขียนว่า

     "...มีความคิดว่าตัวเองขาดแคลนอะไรไปสาระพัดอย่างและมีความหวาดระแวงเกือบตลอดเวลา สลับกับมีความรู้สึกปกติดีนาน น้าน..ครั้ง"

     หยุดพูดถึงการจมอยู่ในสถานะการณ์ของชีวิต มาพูดถึงการใช้ชีวิตหรือการมีชีวิตดีกว่า การมีชีวิตมันเกิดขึ้นจากความรู้สึก (feeling) ต่อสิ่งที่อยู่ตรงหน้า พลังชีวิตหรือ "ปราณ" นั้นรับรู้ได้จากการรู้สึกเอา ไม่ใช่คิดเอา ชีวิตไม่ยึดติดอะไร มีแค่ความคิดเท่านั้นที่ยึดติดอยู่กับความเป็นบุคคล แต่ว่ามันเป็นแค่ความคิด มันจะมารู้สึกรู้สาอะไรไม่ได้หรอก

     ดังนั้นพลังชีวิตเป็นคนละเรื่องกับความคิดยึดถือในร่างกายและความเป็นบุคคล คุณลองมองดูดอกไม้ หรือพวกนกสิ หรือดูทิวทัศน์ที่สวยงามสงบเย็นสิ มันจะเชื่อมโยงความรู้สึกของคุณไปหาความรักและเบิกบาน หรือคุณมองดูเด็กทารกหรือลูกหมาลูกแมวตัวเล็กๆก็ได้ แค่มองคุณก็จะรู้สึกได้ถึงความไร้เดียงสา ใสซื่อ อ่อนหวาน สวยงาม ความรู้สึกหรือ feeling อย่างนี้แหละที่เป็นพื้นฐานให้รู้จักกับความตื่นหรือความรู้ตัวซึ่งเป็นพลังชีวิต ผมแนะนำให้คุณย้ายความสนใจของคุณออกมาจากความคิดมาอยู่กับความตื่นหรือความรู้ตัวนี้ ผมรู้ว่าไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีความพร้อม แต่ผมมั่นใจว่าคุณและท่านผู้อ่านบล็อกนี้จำนวนมากพร้อมแล้ว ความคิดหรือความยึดถือในความเป็นบุคคล (ego) นั้นมันเป็นเหมือนความมืด เราจะไปเอาชนะมันด้วยการขับไล่หรือเอาไม้กวาดไล่ตีไม่ได้หรอก เราต้องจุดเทียนสร้างแสงสว่างขึ้นมาความมืดมันจึงจะหายไปเอง ฉันใดก็ฉันเพล คุณไปเอาชนะหรือขับไล่ความคิดยึดมั่นถือมั่นในความเป็นบุคคลไม่ได้หรอก แต่เพียงแค่คุณหันมาสนใจความตื่น ความคิดเหล่านั้นก็จะหายไปเอง

     ขณะที่คุณไม่พยายามปกป้องอีโก้ของคุณ แต่ก็อย่าขับไล่ แค่คุณยิ้มหรือหัวเราะออกมาก็พอ อีโก้ไม่ใช่คุณ เว้นเสียแต่คุณจะไปเข้าเป็นพวกกับมัน สถานะการณ์ทั้งหลายในชีวิตนั้นมันไม่ได้เกิดจริงตอนนี้ อย่าไปคิด ปล่อยทุกอย่างไป อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด สิ่งที่คุณกล้วคือการสูญเสียครั้งใหญ่นั้นหากมันเกิดขึ้นจริงมันกลับจะเป็นเรื่องดีนะ เพราะคนจำนวนมากประสบความสูญเสียครั้งใหญ่แล้วถึงค่อยเกิดความเบิกบานสงบเย็นขึ้นในใจ ก็เพราะเมื่อสูญเสียครั้งใหญ่อีโก้มันตายไปด้วยกับความสูญเสียนั้น เมื่ออีโก้ตาย ชีวิตจริงก็โผล่ขึ้นมา นั่นคือความสงบเย็นและเบิกบานในความสูญเสีย ดังนั้นอย่าไปกลัวอะไร อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิด

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์



โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เจ็ดใครหนอ

สอนวิธีแปลผลเคมีของเลือด

กินคีโตไข่ต้มไก่ต้มทุกวันแล้วหลอดเลือดหัวใจตีบ

ความแก่..เหมือนหมาถูกต้อนเข้ามุมให้จนตรอก

ชีวิตเมื่อตายไปแล้ว

เปลี่ยนอาหาร ปั่นจักรยาน น้ำตาลลด ความดันลด แต่ไขมันทำไมไม่ลด

ท่านอายุเก้าสิบแล้วยังไม่รู้ แล้วท่านจะรู้มันไปทำพรื้อละครับ

สิ่งที่ขาดหายไปจากชีวิตคนเราคือความเบิกบาน (Joy)

อายุ 70 ปีถูกคนในบ้านไล่ให้ไปฉีดวัคซีนไข้เลือดออก

มะเร็งต่อมลูกหมากแพร่กระจายไปกระดูกขาแล้ว จะไปต่อไงดี