ไม่เข้าใจเรื่องเจอเสือในความฝัน
ผมอ่านบทความของคุณหมอเรื่องนอนหลับอยู่ในคอนโดแล้วฝันว่าพาลูกเมียไปเดินป่าแล้วเจอเสือจะเข้ามากินลูกเมีย ( http://visitdrsant.blogspot.com/2017/06/blog-post.html ) ผมรู้สึกว่าอาจารย์พยายามสื่ออะไรบางอย่าง ผมอ่านอยู่เกือบสิบเที่ยวในช่วงเวลาหลายเดือน รู้สึกว่าเกือบจะเข้าใจ แต่ก็ไม่เข้าใจ
วันนี้ผมมาอ่านอีก ก็ยังติดอยู่ที่เดิมอีก จึงเขียนมาหาคุณหมอ ขอให้ช่วยเขียนเพิ่มเติมอีกสักหน่อยได้ไหมครับ ว่าอาจารย์จะสื่ออะไร
...................................................................
ตอบครับ
คุณไม่ใช่คนแรกดอกที่อ่านบทความของหมอสันต์เป็นหลายเที่ยว แต่คนอื่นที่เขาอ่านหลายๆเที่ยวนั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพ แต่คุณดูจะเป็นคนแรกที่อ่านเรื่องทางจิตวิญญาณเป็นสิบๆเที่ยว น่ากลุ้มใจแทนหมอสันต์จริงๆ เขียนยังไงนะ คนอ่านเป็นสิบๆเที่ยวแล้วยังไม่เข้าใจ
ก่อนตอบคำถาม สำหรับท่านผู้อ่านท่านอื่นที่ไม่เคยอ่านบทความนั้น ผมสรุปย่อให้สักหน่อยนะ ผมจำได้ว่าผมตอบจดหมายของผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งซึ่งกลัวตายมากท่านหนึ่ง ผมได้สมมุติเรื่องเป็นเชิงอุปมาว่าเขานอนหลับฝันว่าไปเที่ยวป่าแล้วกำลังจะถูกเสือกินแต่ตื่นขึ้นมาทัน พอตื่นขึ้นมาเสือและป่าก็หายไป และเปรียบเทียบว่าชีวิตของเขาซึ่งทุกข์เพราะมะเร็งอยู่ตอนนี้ก็เหมือนกำลังหลับฝันเห็นเสือ เมื่อเขาตื่นขึ้นทั้งหมดนี้มันก็จะหายไป และผมก็ชี้แนะให้เขาปลุกตัวเองให้ตื่น โดยการสอบสวนความคิดของตัวเองว่า "ฉันคือใคร" เปิดโปงความคิดของตัวเองให้เห็นล่อนจ้อนว่าความคิดทั้งหลายที่ประดังขึ้นมานั้นแท้จริงแล้วล้วนชงหรือนำเสนอขึ้นมาโดยความเป็นบุตตลของเขาเองซึ่งไม่ได้มีอยู่จริง ถ้าเขาวางความคิดว่าเขาเป็นบุคคลนี้ลงได้เดี๋ยวนี้ เขาก็จะเข้าไปอยู่ในความรู้ตัวทันที ณ เดี๋ยวนี้ ซึ่งเป็นที่ที่ไม่มีความเป็นบุคคลที่ทำให้เขาทุกข์ นั่นก็คือเขาจะตื่นจากสิ่งที่ไม่ได้มีอยู่จริงนี้ เรื่องทั้งหมดมีประมาณนี้
เอาละ คราวนี้มาตอบคำถาม ที่คุณว่าอ่านเป็นสิบเที่ยวแล้วยังไม่เข้าใจ ผมเดาว่าคุณไม่เข้าใจว่าผมสมมุติเรื่องฝันๆตื่นๆเพื่อจะสื่อความหมายถึงอะไร
โอเค. จะพยายามอธิบายนะ นะโมตัสสะ ภควโต อันว่าโลกที่ปรากฎต่อเรานี้ มันจะปรากฎต่อเราก็ต่อเมื่อเรามีความรู้ตัวหรือจิตสำนึกรับรู้ไปรับรู้มันเท่านั้น เมื่อไม่มีจิตสำนึกรับรู้ไปรับรู้เสียอย่าง เช่นตอนเรานอนหลับโดยไม่ฝัน โลกนี้ก็จะหายไป
และเมื่อโลกปรากฎต่อเรา สภาวะดั้งเดิมที่มันมีอยู่จริงๆในโลกหรือในจักรวาลนี้นั้นมันมีอยู่ในรูปของคลื่น (vibration) ที่ความถี่ต่างๆเท่านั้น เมื่ออายาตนะร่างกายของเรารับคลื่นเหล่านั้นมามันจะไปผ่านกลไกการแปลเป็นภาษาเสียก่อน คือแปลเป็นชื่อที่เรียกได้ (names) หรืออะไรที่บอกรูปร่างได้ (forms) แล้วจึงจะตกกระทบสู่การรับรู้ของใจเรากลายมาเป็นความคิด ดังนั้นความคิดที่อ้างไปถึงสิ่งใดๆที่เรียกชื่อได้หรือบอกรูปร่างได้นี้ล้วนไม่ใช่ของจริง มันเป็นสิ่งสมมุติที่ใจเราทำขึ้นมาทั้งนั้น แบบที่เขาเรียกว่าสมมุติบัญญัตินั่นแหละ
เมื่อเรานอนหลับโดยไม่ฝัน ความสนใจ (attention) จอดนิ่งอยู่ในความรู้ตัวซึ่งซุ่มเงียบอยู่ในสภาพหลับ เราจึงไม่รับรู้อะไร ไม่มีสมมุติบัญญัติ และจำอะไรไม่ได้เลย
เมื่อเราฝัน ความสนใจไปอยู่ในความคิดที่นำเสนอในรูปของสิ่งต่างๆที่บอกเป็นชื่อหรือบอกรูปร่างได้ จึงเกิดเรื่องราวขึ้นในใจ เกิดมีสมมุติบัญญัติ เป็นโลกแห่งความฝันที่ทุกอย่างดูสมจริงสมจังตราบใดที่เรายังฝันอยู่ แต่ทันทีที่เราตื่นขึ้นมา ทั้งหมดนั้นก็หายแว้บไป เพราะอย่างที่ผมบอกแล้วว่าอะไรที่เรียกเป็นชื่อได้หรือบอกรูปร่างได้นั้นล้วนไม่ใช่ของจริง
เมื่อเราตื่นขึ้นมาอยู่ในชีวิตประจำวันตอนกลางวัน โลกที่ปรากฎต่อเราก็ปรากฎใหม่อีกครั้งในลักษณะของสิ่งต่างๆที่เราเรียกชื่อ (names) และบอกรูปร่างได้ (forms) อีกแล้ว สไตล์เดียวกับที่ปรากฎในความฝันเด๊ะ ต่างกันแต่นี่เป็นฝันกลางวันและเป็นฝันยาว ซึ่งผมย้ำเป็นครั้งที่สามว่ามันไม่ใช่ของจริง มันเป็นความคิดที่ใจเราสร้างขึ้นมาจากความยึดถือว่าความเป็นบุคคล (ego) ของเรานี้มีตัวตนอยู่จริงจังถาวร ความยึดถึอนี้เป็นผลสืบเนื่องจากการเพิกเฉยต่อความจริง (ignorance) ที่ว่าความเป็นบุคคลของเรานี้แท้จริงแล้วมันไม่มี เราก็รู้ว่ามันไม่มีอยู่จริง แต่เราเพิกเฉย ทำทีเหมือนไม่รู้
ดังนั้นหากเราตื่นขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง ไปอยู่ในระดับที่วางความคิดยึดถือที่งอกรากแตกแขนงมาจากความหลงเชื่อว่าความเป็นบุคคลของเรานี้เป็นเรื่องจริง กลับไปอยู่ในความรู้ตัว อันเป็นการถอยความสนใจ (attention) ออกจากความคิดไปจอดสงบนิ่งอยู่ในความว่างซึ่งเป็นบ้านเดิมตามปกติที่แท้จริงของเราเสีย สิ่งที่เราเรียกเป็นชื่อได้และบอกเป็นรูปร่างได้ทั้งหลายนี้ก็จะหายไปอีกครั้ง เหมือนเมื่อมันหายไปตอนเราตื่นจากความฝัน เหลือแต่ความรู้ตัวซึ่งว่าง ตื่น และสบายๆอยู่ นั่นก็คือ "การตื่นรู้ (awakening) หรือ "การหลุดพ้น" ที่คนเขาพูดถึงกันนั่นเอง
เอวังเรื่องฝันๆตื่นๆของหมอสันต์ก็มีด้วยประการฉะนี้ หวังว่าคงจะเข้าใจนะโยม ส่วนประเด็นถัดไปที่ว่าการจะตื่นขึ้นไปอีกระดับหนึ่งจะต้องทำอย่างไรนั้น ผมเข้าใจว่าคุณไม่ได้ข้องใจในส่วนนั้น จึงไม่พูดถึงดีกว่านะ อีกประการหนึ่งนี่มันก็..ดึกแล้วคุณขา หมดเวลา ขอลาก่อน
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
วันนี้ผมมาอ่านอีก ก็ยังติดอยู่ที่เดิมอีก จึงเขียนมาหาคุณหมอ ขอให้ช่วยเขียนเพิ่มเติมอีกสักหน่อยได้ไหมครับ ว่าอาจารย์จะสื่ออะไร
...................................................................
ตอบครับ
คุณไม่ใช่คนแรกดอกที่อ่านบทความของหมอสันต์เป็นหลายเที่ยว แต่คนอื่นที่เขาอ่านหลายๆเที่ยวนั้นเป็นเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพ แต่คุณดูจะเป็นคนแรกที่อ่านเรื่องทางจิตวิญญาณเป็นสิบๆเที่ยว น่ากลุ้มใจแทนหมอสันต์จริงๆ เขียนยังไงนะ คนอ่านเป็นสิบๆเที่ยวแล้วยังไม่เข้าใจ
ก่อนตอบคำถาม สำหรับท่านผู้อ่านท่านอื่นที่ไม่เคยอ่านบทความนั้น ผมสรุปย่อให้สักหน่อยนะ ผมจำได้ว่าผมตอบจดหมายของผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งซึ่งกลัวตายมากท่านหนึ่ง ผมได้สมมุติเรื่องเป็นเชิงอุปมาว่าเขานอนหลับฝันว่าไปเที่ยวป่าแล้วกำลังจะถูกเสือกินแต่ตื่นขึ้นมาทัน พอตื่นขึ้นมาเสือและป่าก็หายไป และเปรียบเทียบว่าชีวิตของเขาซึ่งทุกข์เพราะมะเร็งอยู่ตอนนี้ก็เหมือนกำลังหลับฝันเห็นเสือ เมื่อเขาตื่นขึ้นทั้งหมดนี้มันก็จะหายไป และผมก็ชี้แนะให้เขาปลุกตัวเองให้ตื่น โดยการสอบสวนความคิดของตัวเองว่า "ฉันคือใคร" เปิดโปงความคิดของตัวเองให้เห็นล่อนจ้อนว่าความคิดทั้งหลายที่ประดังขึ้นมานั้นแท้จริงแล้วล้วนชงหรือนำเสนอขึ้นมาโดยความเป็นบุตตลของเขาเองซึ่งไม่ได้มีอยู่จริง ถ้าเขาวางความคิดว่าเขาเป็นบุคคลนี้ลงได้เดี๋ยวนี้ เขาก็จะเข้าไปอยู่ในความรู้ตัวทันที ณ เดี๋ยวนี้ ซึ่งเป็นที่ที่ไม่มีความเป็นบุคคลที่ทำให้เขาทุกข์ นั่นก็คือเขาจะตื่นจากสิ่งที่ไม่ได้มีอยู่จริงนี้ เรื่องทั้งหมดมีประมาณนี้
เอาละ คราวนี้มาตอบคำถาม ที่คุณว่าอ่านเป็นสิบเที่ยวแล้วยังไม่เข้าใจ ผมเดาว่าคุณไม่เข้าใจว่าผมสมมุติเรื่องฝันๆตื่นๆเพื่อจะสื่อความหมายถึงอะไร
โอเค. จะพยายามอธิบายนะ นะโมตัสสะ ภควโต อันว่าโลกที่ปรากฎต่อเรานี้ มันจะปรากฎต่อเราก็ต่อเมื่อเรามีความรู้ตัวหรือจิตสำนึกรับรู้ไปรับรู้มันเท่านั้น เมื่อไม่มีจิตสำนึกรับรู้ไปรับรู้เสียอย่าง เช่นตอนเรานอนหลับโดยไม่ฝัน โลกนี้ก็จะหายไป
และเมื่อโลกปรากฎต่อเรา สภาวะดั้งเดิมที่มันมีอยู่จริงๆในโลกหรือในจักรวาลนี้นั้นมันมีอยู่ในรูปของคลื่น (vibration) ที่ความถี่ต่างๆเท่านั้น เมื่ออายาตนะร่างกายของเรารับคลื่นเหล่านั้นมามันจะไปผ่านกลไกการแปลเป็นภาษาเสียก่อน คือแปลเป็นชื่อที่เรียกได้ (names) หรืออะไรที่บอกรูปร่างได้ (forms) แล้วจึงจะตกกระทบสู่การรับรู้ของใจเรากลายมาเป็นความคิด ดังนั้นความคิดที่อ้างไปถึงสิ่งใดๆที่เรียกชื่อได้หรือบอกรูปร่างได้นี้ล้วนไม่ใช่ของจริง มันเป็นสิ่งสมมุติที่ใจเราทำขึ้นมาทั้งนั้น แบบที่เขาเรียกว่าสมมุติบัญญัตินั่นแหละ
เมื่อเรานอนหลับโดยไม่ฝัน ความสนใจ (attention) จอดนิ่งอยู่ในความรู้ตัวซึ่งซุ่มเงียบอยู่ในสภาพหลับ เราจึงไม่รับรู้อะไร ไม่มีสมมุติบัญญัติ และจำอะไรไม่ได้เลย
เมื่อเราฝัน ความสนใจไปอยู่ในความคิดที่นำเสนอในรูปของสิ่งต่างๆที่บอกเป็นชื่อหรือบอกรูปร่างได้ จึงเกิดเรื่องราวขึ้นในใจ เกิดมีสมมุติบัญญัติ เป็นโลกแห่งความฝันที่ทุกอย่างดูสมจริงสมจังตราบใดที่เรายังฝันอยู่ แต่ทันทีที่เราตื่นขึ้นมา ทั้งหมดนั้นก็หายแว้บไป เพราะอย่างที่ผมบอกแล้วว่าอะไรที่เรียกเป็นชื่อได้หรือบอกรูปร่างได้นั้นล้วนไม่ใช่ของจริง
เมื่อเราตื่นขึ้นมาอยู่ในชีวิตประจำวันตอนกลางวัน โลกที่ปรากฎต่อเราก็ปรากฎใหม่อีกครั้งในลักษณะของสิ่งต่างๆที่เราเรียกชื่อ (names) และบอกรูปร่างได้ (forms) อีกแล้ว สไตล์เดียวกับที่ปรากฎในความฝันเด๊ะ ต่างกันแต่นี่เป็นฝันกลางวันและเป็นฝันยาว ซึ่งผมย้ำเป็นครั้งที่สามว่ามันไม่ใช่ของจริง มันเป็นความคิดที่ใจเราสร้างขึ้นมาจากความยึดถือว่าความเป็นบุคคล (ego) ของเรานี้มีตัวตนอยู่จริงจังถาวร ความยึดถึอนี้เป็นผลสืบเนื่องจากการเพิกเฉยต่อความจริง (ignorance) ที่ว่าความเป็นบุคคลของเรานี้แท้จริงแล้วมันไม่มี เราก็รู้ว่ามันไม่มีอยู่จริง แต่เราเพิกเฉย ทำทีเหมือนไม่รู้
ดังนั้นหากเราตื่นขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง ไปอยู่ในระดับที่วางความคิดยึดถือที่งอกรากแตกแขนงมาจากความหลงเชื่อว่าความเป็นบุคคลของเรานี้เป็นเรื่องจริง กลับไปอยู่ในความรู้ตัว อันเป็นการถอยความสนใจ (attention) ออกจากความคิดไปจอดสงบนิ่งอยู่ในความว่างซึ่งเป็นบ้านเดิมตามปกติที่แท้จริงของเราเสีย สิ่งที่เราเรียกเป็นชื่อได้และบอกเป็นรูปร่างได้ทั้งหลายนี้ก็จะหายไปอีกครั้ง เหมือนเมื่อมันหายไปตอนเราตื่นจากความฝัน เหลือแต่ความรู้ตัวซึ่งว่าง ตื่น และสบายๆอยู่ นั่นก็คือ "การตื่นรู้ (awakening) หรือ "การหลุดพ้น" ที่คนเขาพูดถึงกันนั่นเอง
เอวังเรื่องฝันๆตื่นๆของหมอสันต์ก็มีด้วยประการฉะนี้ หวังว่าคงจะเข้าใจนะโยม ส่วนประเด็นถัดไปที่ว่าการจะตื่นขึ้นไปอีกระดับหนึ่งจะต้องทำอย่างไรนั้น ผมเข้าใจว่าคุณไม่ได้ข้องใจในส่วนนั้น จึงไม่พูดถึงดีกว่านะ อีกประการหนึ่งนี่มันก็..ดึกแล้วคุณขา หมดเวลา ขอลาก่อน
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์