หมอสันต์คุยกับลูกแค้มป์ก่อนเริ่มกิจกรรมตอนเช้า

..เช้าตรู่วันอาทิตย์ในแค้มป์ หมอสันต์คุยกับลูกแค้มป์ ก่อนที่จะเริ่มเล่นเกมส์ออกกำลังกาย

https://www.youtube.com/watch?v=2w1-I62dLOg&feature=youtu.be

นอนหลับมาแล้ว พอมีเรี่ยวมีแรงนะครับ

คืออยากทำความเข้าใจกันนิดหน่อย ว่าในชีวิตเราเนี้ยะ มีสิ่งที่มีความสำคัญที่สุดแค่สองอย่างเท่าเอง

หนึ่งก็คือ ความสนใจของเรา (attention) เมื่อเราสนใจอะไร สิ่งนั้นจะมีความหมายขึ้นมาทันที ถ้าเราไม่สนใจอะไร สิ่งนั้น..ไม่มีอยู่ในชีวิตเราด้วยซ้ำไป

อันที่สองคือ ความเชื่อของเรา (belief) ถ้าเราเชื่ออะไร สิ่งนั้นจะเกิดขึ้น ถ้าเราไม่เชื่อ ไม่มีทางที่สิ่งนั้นจะเกิดขึ้น ความกลัวนี่เป็นความเชื่อนะ ความกลัวคือความเชื่อว่าสิ่งร้ายๆจะเกิดขึ้นกับเรา ความกลัวว่าเราจะทำอะไรไม่สำเร็จนี่ก็เป็นความเชื่อ เราจะทำอะไรไม่สำเร็จเลยถ้าเรากลัวว่าเราจะทำไม่สำเร็จ

เพราะฉนั้นวันนี้ ในการที่เราจะทำอะไรให้สำเร็จขึ้นมาเนี่ย ผมอยากจะคุยถึงว่า เราจะต้องมาปลูกสร้างความเชื่อใหม่ ในสามสี่ประเด็นนะ

ประเด็นที่หนึ่งก็คือ ชีวิตนี้ ใครเป็นหมู่ ใครเป็นจ่า เมื่อคืนเรานั่งฝึกความรู้ตัวใช่ไหมครับ ชีวิตนี้มีองค์ประกอบสามอย่างนะ หนึ่งคือร่างกายของเรา สองคือความคิดของเรา สามคือความรู้ตัวที่เราฝึกทำเมื่อคืน คือตอนที่เรารู้ตัวอยู่โดยไม่มีความคิด ในสามองค์ประกอบนี้ความรู้ตัวคือ "เรา" ที่แท้จริงนะ ไม่ใช่ความคิดของเรา ความคิดของเราเป็นขี้ข้าของเรานะ ร่างกายเป็นของที่เรายืมเขามาใช้

เราเป็นนาย

ไม่ใช่ความอยากที่เป็นแค่ความคิดนะ เราเป็นนายของเรา ไม่ใช่ความอยากเป็นนายของเรา อันนั้นคืออันที่หนึ่ง

อันที่สอง คือเราต้องสร้างความเชื่อใหม่ ถ้าเราไม่เชื่อว่าเราทำได้ เราก็จะทำไม่ได้

เราคุ้นเคยกับการหัวเราะเยาะ เราหัวเราะเยาะคนอื่น เป็นเรื่องตลกบ้าง เป็นเรื่องที่..ในความลึกๆนั้นก็คือในสิ่งที่เรากำลังหัวเราะเยาะเขานั้นเรากำลังหัวเราะเยาะตัวเอง เราไม่เชื่อว่าเราจะทำอะไรได้ อันนี้เราจะต้องสร้างความเชื่อขึ้นมาใหม่

อันที่สาม ก็คือการที่ในชีวิตนี้ ถ้าเรา "ปักธง" ว่าอะไรที่เป็นสิ่งที่ต่อรองไม่ได้ สิ่งนั้นมันก็จะต่อรองไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่นการที่เราจะยอมตายง่ายๆเนี่ยมันเป็นสิ่งที่ต่อรองไม่ได้หรอก เราไม่ยอม เวลาเราจะตายขึ้นมาเราต้องดิ้นรน ต่อสู้ขัดขืนเพื่อให้เราอยู่รอดใช่ไหมครับ เพราะฉะนั้นเราอยากประสบความสำเร็จอะไร ยกตัวอย่างในการลดน้ำหนักหรือลดความอ้วน "เราต้องปักธง" ว่าสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ต่อรองไม่ได้ เราต้องทำด้วยชีวิต ทำด้วยจิตใจของเรา แล้วมันก็จะสำเร็จ อันนี้เป็นประเด็นสำคัญนะครับ

เช้าวันนี้ เราจะทำในสิ่งที่ธรรมดาเราคิดว่าเราจะทำไม่ได้ ความเชื่อเดิมๆคิดว่าเราจะทำไม่ได้ แต่ถ้าเราเชื่อว่าเราทำได้เราก็จะทำได้ ทั้งทีมเราจะพากันเดินขึ้นเขาไปกิโลครึ่ง และเราจะต้องไปให้ถึงที่นั่นทุกคนภายในเวลาครึ่งชั่วโมง เราจะไปเป็นทีมนะ ไปเป็นทีม คนที่เข้มแข็งก็ต้อง.. ร่างกายคนเราไม่ต่างกันหรอก ผมเป็นหมอผมรู้ว่าร่างกายคนเรานี่มันไม่ต่างกันหรอก แต่ใจผมยอมรับว่ามันต่างกัน คนที่มีจิตใจเข้มแข็งก็ต้องช่วยคนที่ไม่มีแรงให้ไปให้ถึงทันเวลา

วันนี้เราจะเรียนสามอย่าง ในเกมนี้นะ

อันที่หนึ่งเราจะเรียนการออกกำลังกายแบบแอโรบิก ซึ่งมีคำสำคัญอยู่สามคำนะ หนึ่งแอโรบิกนิยามว่าคือการออกกำลังกายแบบที่ทำให้ร่างกายมีการเคลื่อนไหว ทำอะไรก็ได้ให้ร่างกายได้เคลื่อนไหวจนถึงระดับหนักพอควร ซึ่งนิยามหนักพอควรว่าจะต้องหอบ หอบแฮ่ก แฮ่ก จนรองเพลงไม่ได้ ฟืด ฟาด ฟืด ฟาด แบบนี้ ถึงจะเรียกว่าแอโรบิกนะ ถ้าเราเคลื่อนไหวแล้วไม่หอบ ยังร้องเพลงได้ นั่นไม่ใช่แอโรบิกนะ นั่นนิยามที่หนึ่ง

อันที่สองก็คือหอบแฮ่ก แฮ่กนี่ มันจะต้องต่อเนื่องไปอย่างน้อยครึ่งชั่วโมง วันนี้เราไม่ถึงครึ่งชั่วโมงไม่เป็นไร เพราะเราจะต้องไปให้ถึงเป้าหมายก่อนครึ่งชั่วโมง แต่แอโรบิกจริงๆนั้นต้องหอบไปอย่างน้อยครึ่งชั่วโมง

อันที่สามคือมันต้องมีความสม่ำเสมอ ซึ่งนิยามว่าสัปดาห์หนึ่งอย่างน้อยให้ได้ห้าครั้ง นั่นคือแอโรบิกนะ หอบแฮ่ก แฮ่ก ร้องเพลงไม่ได้ ต่อเนื่องกันไปครึ่งชั่วโมง สัปดาห์ละห้าครั้ง นี่คือเรื่องที่หนึ่งที่เราจะเรียน

เรื่องที่สองที่เราจะเรียนคือเราจะเรียนวิธีวัดสมรรถนะของร่างกายด้วยวิธีเดินหนึ่งไมล์ กิโลครึ่งนี่คือหนึ่งไมล์ One Mile Walk Test วิธีเดินคือเดินให้เร็วที่สุดแต่ห้ามวิ่ง เดินให้เร็วที่สุดที่ห้ามวิ่ง ผมจะจับเวลาตอนออกเดิน ทันทีที่ไปถึงผมก็จะบอกเวลาของแต่ละคนนะ เช่นสิบเจ็ดนาทีสิบห้าวิ ทุกคนก็จดเวลาของตัวเอง เขามีดินสอให้จดลงไปบนป้ายชื่อ แล้วทุกคนก็ต้องให้หมอหรือพยาบาลที่นั่นจับชีพจร เขาจะบอกชีพจรมา เช่นร้อยแปดสิบ เราก็ต้องจดชีพจรของเราไว้ One Mile Walk Test ใครไปถึงเร็วที่สุดคือฟิตสุด หัวใจเต้นช้าที่สุดคือฟิตสุดนะครับ แต่ว่าเนื่องจากเราจะไปกันเป็นทีม ใครไปถึงก่อนถึงหลังไม่สำคัญ สำคัญว่าคะแนนความฟิตของทั้งกลุ่มนี่มันโอเค.หรือเปล่า ทุกคนจะต้องไปถึงให้ได้ภายใน 30 นาทีโดยการช่วยเหลือกันและกัน นั่นเป็นเรื่องที่สองที่เราจะเรียน

เรื่องที่สามที่เราจะเรียนคือเราจะเรียนสิ่งที่เรียกว่าอดรินาลินรัช (Adrenaline rush) อะดรินาลินเป็นชื่อฮอร์โมน ฮอร์โมนที่เวลาร่างกายเราถูกบีบคั้น เหมือนกับทหารที่ในสงครามยิงกันปุ้งปั้งปุ้งปั้งจะตายในวินาทีไหนก็ไม่รู้ ร่างกายมันจะมีความตื่นตัว ร่างกายจะปั๊มฮอร์โมนชื่ออะดรินาลินออกมา แล้วเราก็จะรู้สึกมีกำลังขึ้นมาต่อสู้กับสิ่งที่เราคิดว่าเราทำไม่ได้ แล้วเราก็จะทำได้ เราจะเรียนสามอย่างนี้นะครับ

เส้นทางเดินเนี่ย หมอพอจะเดินนำ คนที่ไปถึงเร็ว บันทึกเวลาแล้ว จะกลับลงมาช่วยเพื่อนก็ได้นะ เพราะท่อนสุดท้ายเป็นท่อนขึ้นเขา จะเป็นท่อนที่อาจจะหนักที่สุด

โอเค. ก่อนอื่นลองเช็คก่อนซิ ใครที่เชื่อว่า "เราทำได้" ชูกำปั้นขึ้น

ฮ่า..บางคนยังอี้อ่าอี้อ่า เอ้า ลองเปลงเสียงพร้อมกันซิ หนึ่ง สอง สาม ว่า เราทำได้ นะ เอ้า หนึ่ง สอง สาม

"เราทำได้"

โอเค้. เอาหมอพอนำไป เดี๋ยวผมจับเวลาก่อนนะ ทุกคนดูนาฬิกาของตัวเองนะ เราจะต้องไปถึงที่โน่นก่อนหกโมงสี่สิบห้านะ ก่อนหกโมงสี่สิบห้า โอเค. ห้า สี่ สาม สอง หนึ่ง โก...

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์




โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เจ็ดใครหนอ

สอนวิธีแปลผลเคมีของเลือด

กินคีโตไข่ต้มไก่ต้มทุกวันแล้วหลอดเลือดหัวใจตีบ

ความแก่..เหมือนหมาถูกต้อนเข้ามุมให้จนตรอก

ชีวิตเมื่อตายไปแล้ว

เปลี่ยนอาหาร ปั่นจักรยาน น้ำตาลลด ความดันลด แต่ไขมันทำไมไม่ลด

ท่านอายุเก้าสิบแล้วยังไม่รู้ แล้วท่านจะรู้มันไปทำพรื้อละครับ

สิ่งที่ขาดหายไปจากชีวิตคนเราคือความเบิกบาน (Joy)

อายุ 70 ปีถูกคนในบ้านไล่ให้ไปฉีดวัคซีนไข้เลือดออก

มะเร็งต่อมลูกหมากแพร่กระจายไปกระดูกขาแล้ว จะไปต่อไงดี