ีเรียนรู้จากเรื่องเล่า "การวางตัวตน"

สวัสดีครับคุณหมอสันต์

     อยากขอบคุณคุณหมอสำหรับบทความต่างๆ ที่คุณหมอพิมพ์ให้อ่านโดยเฉพาะเรื่องการละตัวตน ผมเป็นคนตั้งใจกับทุกเรื่องโดยเฉพาะเรื่องงาน ทำให้มีปัญหากับเพื่อนร่วมงานบ่อยครั้ง เพราะผมต้องประสานงานกับเกือบทุกแผนกในออฟฟิซที่ผมอยู่ และต้องคอยแก้งานของพวกเขา บ่อยครั้งต้องทะเลาะกันเพราะผมอธิบายแล้วพวกเขาไม่ฟัง เป็นอย่างนี้มาเกือบ 4 ปีในบริษัทนี้ รวมถึง 6 เดือนในที่ทำงานแรกหลังจบป.ตรี หลังทะเลาะกันแต่ละครั้ง ผมจะรู้สึกร้อนรุ่มในใจ โกรธ อยากเอาคืน(แต่ไม่เคยแก้แค้นใครนะครับ) ใช้วิธีปล่อยให้ผ่านไปหลายวันก็จะลืมความทุกข์นั้นไปเอง

แต่พักหลังๆงานที่ออฟฟิซเยอะขึ้น เร่งรัดเรื่องเวลาจนพลาดเมื่อไหร่บริษัทจะเสียหายหลายหมื่นหรือหลายแสน ผมทะเลาะกับเพื่อนร่วมงานถี่ขึ้น ผมเริ่มแสดงออกโดยการไปทำงานสาย อันที่จริงมันค่อยๆสายขึ้นทีละนิดมานานแล้วแต่ผมหลอกตัวเองว่าผมแค่รักสบาย แต่หลายครั้งที่ผมบอกตัวเองว่าไม่อยากตื่นไปทำงานเลย บางครั้งอยากลาออก อยากฆ่าตัวตาย ที่ใกล้เคียงสุดคือเอาขาข้างหนึ่งพาดไว้บนราวระเบียงห้องแล้วก็รีบชักกลับเพราะถ้าเราเป็นอะไรไป แม่กับญาติๆต้องเสียใจมากแน่ๆ ผมอ่านข่าวคนฆ่าตัวตายทุกวันรู้ว่าทุกปัญหาการฆ่าตัวตายไม่ใช่ทางออก เลยเตือนสติตัวเองได้บ้าง แถมปัญหาก็แค่เรื่องงาน อย่างเลวร้ายที่สุดลาออกก็จบ แต่ก็ไม่เคยแก้ปัญหาที่ต้นเหตุได้

ที่เป็นประเด็นคือผมทะเลาะกับคุณกอไก่(เพื่อนร่วมงานในออฟฟิซ)อย่างหนักที่สุด หนักถึงขั้นว่าผมเขียนใบลาออกไว้เรียบร้อยแล้วเหลือแต่ยื่นให้บิ๊กบอส คุณกอไก่ต้องรับคำสั่งผมในบางครั้ง(คือเขารับคำสั่งจากหัวหน้าคนอื่นมาช่วยงานผมบางเวลา) บางทีเขาจะแสดงออกในทางประชด ไม่อยากฟังคำสั่งผม แกล้งให้ผมยกเอกสารกองใหญ่ทั้งที่เป็นหน้าที่เขา แล้วผมก็เลี่ยงจะทำงานกับคุณกอไก่ไม่ได้เสียด้วย เรื่องคุณกอไก่เป็นเหมือนฟางเส้นสุดท้าย จากปัญหาอื่นๆที่หมักหมมมาก่อนหน้า ทั้งงานที่กดดันพลาดแล้วบริษัทจะเสียหายเป็นตัวเงิน การทะเลาะกับเพื่อนร่วมงานคนอื่น บิ๊กบอสโยนงานที่พนักงานคนเก่าทำไม่เสร็จแต่ลาออกไปแล้วมาให้ผมทำแทน ฯลฯ ผมเคยคิดว่าลาออกเป็นทางออกที่ดีที่สุด

แต่คืนก่อนที่ผมจะยื่นใบลาออกนั้นเอง ผมก็ได้กลับมาอ่านเรื่องที่คุณหมอแนะนำคนที่เจอความทุกข์ให้รู้จักวางตัวตน อ่านอันแรกจบผมก็ตามไปอ่านอื่นๆในบล็อกย้อนหลังไปด้วย ผมเริ่มรู้สึกว่านี่คือทางออกที่ผมต้องการในเวลานี้ ก่อนหน้านี้ผมเคยอ่านเรื่องนี้ของคุณหมอมาหลายครั้ง แต่ไม่เคยเข้าใจเพราะผมยังไม่ทุกข์มากพอ

ผมกลับมามองตัวเองว่า สาเหตุของความทุกข์ทั้งหมดของผมมีต้นกำเนิดจากอัตตาทั้งนั้น ถ้าทิ้งอัตตาว่าผมคือใคร ชื่ออะไร นามสกุลอะไร แล้วเหลือแต่ความตระหนักรู้โดยไม่คิดอะไรทั้งสิ้น ความทุกข์ก็ดับลงทุกเรื่อง เวลาทะเลาะกับเพื่อนร่วมงาน อัตตาของผมโดนกระทบอย่างหนัก การให้อภัยหรือขอโทษเป็นวิธีที่ดี แต่ไม่ใช่คำตอบที่ทำให้พ้นทุกข์ เพราะให้อภัยหรือขอโทษไปแล้วเดี๋ยววันหลังก็ทะเลาะกันอีก ต้นเหตุจริงๆอยู่ที่ผมถือดีว่าตัวผมมีอยู่ พอตัวผมมีอยู่ คนอื่นจะทำผิดจากสิ่งที่ผมต้องการไม่ได้ แต่พอตัวผมไม่มี มีแต่ความตระหนักรู้ที่ไม่เป็นพิษเป็นภัยกับใคร ผมก็ไม่โกรธใครอีก ไม่เป็นทุกข์อีก
ผมเคยคิดว่าการลาออกแล้วไม่ต้องทำงานสักพัก หรือย้ายที่ทำงานใหม่จะช่วยให้พ้นทุกข์ได้ แต่คุณหมอช่วยให้ผมรู้ว่า ความทุกข์จริงๆเกิดจากความคิดของผมต่างหาก ต่อให้ผมลาออกจริง ระหว่างว่างงานก็อาจเกิดความทุกข์เรื่องอื่น หรือในที่ทำงานใหม่ผมก็อาจไปทะเลาะกับคนอื่น ถ้าจะหยุดทุกข์ก็คือหยุดทุกข์ในเวลาปัจจุบัน ในพื้นที่ปัจจุบันที่ผมอยู่ ต่อให้ผมหนีไปเรื่อยๆ ไปท่องเที่ยว ลาออกกลับบ้านต่างจังหวัด ไปเข้าวัดปฏิบัติธรรม แต่ถ้าผมหนีอัตตาตัวเองไม่ได้ แหล่งกำเนิดทุกข์ตัวจริงก็ติดอยู่ในหัวผมอย่างนั้นเอง วันต่อมาผมเก็บใบลาออกไว้แล้วนั่งทำงานไปตามปกติ เวลาคุยกับคุณกอไก่ก็มีความเครียดขึ้นแวบหนึ่ง แต่แล้วก็วาง เพราะไม่รู้จะจับความคิดไปเพื่ออะไร สามารถทำงานได้ตามปกติ และคงอยู่ทำงานได้จนจบโครงการ(ออฟฟิซผมทำเป็นโครงการๆไป) เดี๋ยวนี้ยังมีความคิดแย่ๆ วาบขึ้นมาบ้าง (หมายรวมถึงความทุกข์อื่นๆที่นอกเหนือจากเรื่องงานด้วย) แต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจมัน ปล่อยให้มันมา พอไม่สนใจมันก็ไป

ขอบคุณบทความของคุณหมออย่างสุดซึ้งครับ

...............................................................

ตอบครับ

บางครั้งจดหมายเล่าเรืื่องตัวเองของท่านผู้อ่าน ก็มีประโยชน์ต่อท่านผู้อ่านท่านอื่นๆด้วย เพราะ "เรื่องเล่า" มักจะเป็นบทเรียนที่ดีกว่าตัวเนื้อวิชาเสียอีก ขอบคุณท่านผู้อ่านท่านนี้นะครับที่ช่วยเขียนมา

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เจ็ดใครหนอ

สอนวิธีแปลผลเคมีของเลือด

กินคีโตไข่ต้มไก่ต้มทุกวันแล้วหลอดเลือดหัวใจตีบ

ความแก่..เหมือนหมาถูกต้อนเข้ามุมให้จนตรอก

ชีวิตเมื่อตายไปแล้ว

สิ่งที่ขาดหายไปจากชีวิตคนเราคือความเบิกบาน (Joy)

อายุ 70 ปีถูกคนในบ้านไล่ให้ไปฉีดวัคซีนไข้เลือดออก

วิตามินดีเกิน 150 หมอบอกมากเกินไป ท้ังๆที่ไม่ได้ทานวิตามินดี

Life Skill Camp for Kids แค้มป์ทักษะชีวิตเยาวชนที่มิวเซียมสยาม 16 พย. 67

มะเร็งต่อมลูกหมากแพร่กระจายไปกระดูกขาแล้ว จะไปต่อไงดี