มารร้ายของคนอายุน้อย..ตุ่มไขมันชนิดอ่อนไหวง่าย (vulnerable plaque)

เรียนคุณหมอสันต์ครับ
     ผมมีเรื่องอยากจะรบกวนถามคุณหมอดังนี้ครับ ผมอายุ 35 ปี ตรวจพบเป็นโรคหัวใจพึ่งไปทำบอลลูนมา แต่ว่าทำแล้วก็ยังมีอาการอยู่ ผมได้ไปทำการติดตามอาการโรคเส้นเลือดหัวใจตีบมาและคุณหมอเล่าให้ฟังว่า ช่วงนี้อาการของโรคเกิดขึ้นกับคนอายุน้อยๆมีมากขึ้น สัปดาห์ที่ผ่านมาหมอว่าก็มีอีก 2 เคส ผู้หญิงอายุ 32 เส้นเลือดตีบ 3 เส้น, อีกคน ผู้ชายอายุ 41 ต้องทำการปั้มหัวใจ ผมเลยคิดว่าถ้าข้อมูลของผมซึ่งเป็นโรคหัวใจตอนอายุ 35 สามารถนำไปบอกให้คนอื่นเป็นอุทาหรณ์ได้ โดยไม่เกิดผลกระทบหรือผลเสียหายกับใครผมรู้สึกยินดีครับ
     ขอเล่าเรืื่องของผมอย่างละเอียดนะครับ ผมเป็นคนไม่สูบบุหรี่ ไม่เสพยาเสพย์ติด ครอบครัวผมไม่มีใครเป็นโรคหัวใจ กินอาหารเหมือนคนปกติทั่วไปครับ ตอนเช้าใน 1 อาทิตย์ ก็มีทานข้าวเหนียวหมูปิ้ง ไก่ปิ้ง ,  แซนวิชแฮม ตอนกลางวัน ตอนเย็นก็ทั่วไปครับ ส่วนขนมหวานผมไม่ค่อยได้ทานเลยครับ แต่ว่าผลการตรวจสุขภาพประจำปีที่บริษัทแจ้งว่าผมมีไขมันในเลือดสูงมาตั้งแต่ปี 2013 ซึ่งผมก็คิดว่าไม่ซีเรียส ผมเป็นคนออกำลังกายสม่ำเสมอ ผมจะเล่นแต่เวทยกพวกดัมเบลมา 3 – 4 ปี อาทิตย์ประมาณ 3 วันแต่จะไม่ได้วิ่งและไม่ได้คาร์ดิโอครับ เรื่องวิธีจัดการความเครียดยอมรับว่า 3 – 4 ปีมานี้ผมไม่ได้มีวิธีการจัดการความเครียดครับ เวลาเครียดก็จะเก็บนำมาคิดอยู่ตลอดทำให้บางครั้งก็นอนไม่หลับ เหมือนคิดอยู่ตลอดเวลากับปัญหาที่เกิดขึ้นครับ แต่หลังจากที่ผมทำบอลลูนมาผมปล่อยวางมากขึ้นครับ รู้เลยชีวิตเป็นอะไรไม่แน่นอนจริงๆ ผมไม่คิดเลยว่าจะตรวจเจอโรคหัวใจคิดว่าเป็นโรคกระเพาะอาหารครับ
     เริ่มมาตั้งแต่ปี 2015 ผมรู้สึกเหมือนมีอะไรมากดที่ใต้ลิ้นปี้ตลอดเวลาแต่การรู้สึกคือเป็นการรู้สึกแบบรำคาญ ไม่ได้จุกแน่นมากจนทนไม่ได้ครับ (พฤติกรรมผมชอบแขม่วเกร็งท้องจนเป็นนิสัยผมไม่รู้เกี่ยวกับสาเหตุนี้หรือป่าวครับ) จนปี 2016 ผมจึงได้ไปหาคุณหมอทางเดินอาหารตรวจด้วยอาการดังกล่าวและคุณหมอให้ทำการส่องกล้องกระเพาะอาหาร ซึ่งผลตรวจออกมาว่าปกติตามที่ผมส่งมาให้ปกติ หลังจากนั้นคุณหมอให้ยาเคลือบกระเพาะมาทานแต่ผมก็ไม่หายครับ จากนั้นผมก็มีอาการเหมือนมีอะไรมากดที่ใต้ลิ้นปี่มาโดยตลอด จนถึงวันที่ 20/06/2017 ผมมีอาการจุกๆที่คอและแน่นๆที่หน้าอก แต่ที่ใต้ลิ้นปี่ก็รู้สึกเหมือนเดิม ผมเลยไปหาคุณหมอที่ รพ. ... ซึ่งตรวจพบว่าคลื่นหัวใจผิดปกติไปจากเดิมตามรูปครับ จึงได้เขียนเรื่องส่งตัวผมไปที่ รพ. ... (เพราะผมมีสิทธิประกันสังคมอยู่ที่นั่น) วันรุ่งขึ้นผมได้มาที่ รพ. ... และได้มีการเจาะเลือดดูค่าเอนไซม์หัวใจ Troponin I พบว่าตอนเช้าวัดได้ 2.6 ส่วนตอนเย็นวัดได้ 4 กว่าๆ คุณหมอเห็นว่าค่าเอนไซม์สูงเกิน 100% เลยให้ผมนอน ICU และฉีดสีให้ในวันที่ 24/06/2017 ที่ รพ. .... ผลพบว่าตีบ 1 เส้น 80% จึงทำบอลลูนไป ตามผลฉีดสีที่ผมส่งมาให้คุณหมอด้วย แล้วนี้หมอให้ยามาทานอยู่ 4 ตัวครับก็คือ
1 Plavix 75 mg เช้า 1 เม็ด
2 Aspirin 81 mg เช้า 2 เม็ด
3 Bisloc 2.5 mg เช้า 1 เม็ด (ยาเก่า),
4. Nebilet 5 mg เช้า 1/2 เม็ด (ยาใหม่)
5. xarator 40 mg ก่อนนอน 1 เม็ด
     ซึ่งหลังจากผมทำบอลลูนมา 1 เดือนกว่าจนมาถึงตอนนี้ ผมยังมีอาการไม่ปกติคือ จะรู้สึกเวียนๆหัว คิดช้า ความจำลดลง (คิดว่าจะทำอะไรแต่อีกแป็บเดียวก็ลืมที่คิดแล้วครับ), ตื่นเช้ามาจะมีน้ำมูกและรู้สึกปวดฟันกรามด้านขวาเวลาที่ทานข้าวครับ ซึ่งมันทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานของผมลดลง และเวลาเครียดผมมีอาการค่อนข้างขาดความมั่นใจ และมีอาการจุกที่คอครับ และจะเหมือนกล้ามเนื้อกระตุกถี่ๆเป็นบางครั้งครับ ซึ่งผมได้กลับไปปรึกษาคุณหมอที่ดูแลผมอยู่ คุณหมอได้ปรับยาจากตัว Bisloc เป็นยา Nebilet 5 mg โดยให้ทานเวลาเช้า 1/2 เม็ด โดยผมได้ปรับยามาประมาณ 1 อาทิตย์แต่ผมยังไม่ดีขึ้นเลยครับ ผมอยากถามคุณหมอสันต์ว่า
1) ผมจะสามารถกลับไปเล่นกีฬาฟิตเนสเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อและเตะบอลที่เป็นกีฬาที่ผมชอบได้ไหมครับ
2) ถ้าปีหน้าผมอยากลาอุปสมบทสามารถทำได้ไหมครับ
3) ผมยังมีโอกาศไปดื่มนิดๆหน่อยๆสังสรรค์กับเพื่อนได้อยู่ไหมครับ
4) ทำไมผมจึงเป็นโรคหัวใจทั้งๆที่อายุยังน้อย
5) อาการที่เป็นหลังทำบอลลูนเกิดจากอะไร
6) ผมควรจะทำอย่างไรดีครับ
7) ยาทั้ง 4 ตัวนี้ ผมทราบว่า Plavix ต้องกินไป 1 ปี ส่วนอีก 3 ตัว ผมต้องกินไปตลอดชีวิตเลยใช่ไหมครับ ผมจะลดยาอย่างไรเพราะไม่ต้องการกินยามาก
ด้วยความเคารพ

............................................................

ตอบครับ

     1) ถามว่าเป็นโรคหัวใจขาดเลือดแล้วจะกลับไปเล่นและเตะบอลได้ไหม ตอบว่าได้ครับ และเป็นสิ่งที่ควรทำ เพราะการออกกำลังกายทุกชนิด แต่เน้นชนิดแอโรบิกซึ่งรวมทั้งเตะบอลด้วย มีผลลดอาการและลดอัตราตายของโรคหัวใจขาดเลือดและเพิ่มคุณภาพชีวิตได้ดี

     2) ถามว่าจะบวชได้ไหม ตอบว่าได้ครับ ถ้าคุณยังมีจู๋อยู่ (พูดเล่น แต่คนไม่มีจู๋เขาห้ามบวชจีจีนะ)

     3) ถามว่าจะไปดื่มนิดๆหน่อยๆสังสรรค์กับเพื่อนได้ไหม ตอบว่าได้ครับ สำหรับคนเป็นโรคหัวใจ การดื่มแอลกอฮอล์ในระดับพอควร (ไม่เกินวันละสองดริ๊งค์) เทียบกันแล้วคนที่ดื่มตายน้อยกว่าคนที่ไม่ดื่ม

     4) ถามว่าทำไมคนอายุน้อยอย่างคุณจึงเป็นโรคหัวใจ ตอบว่าสมัยนี้อายุ 35 ไม่ได้น้อยแล้วสำหรับการเป็นโรคหัวใจ คนไข้รายสุดท้ายที่ผมผ่าตัดบายพาสก่อนสั่งลาอาชีพหมอผ่าตัดหัวใจ คนไข้อายุ 27 ปีเท่านั้นเอง นานมาแล้วหมอผ่าศพกลุ่มหนึ่งได้ทำงานวิจัยชื่อ PDAY โดยเอาศพคนหนุ่มคนสาวอายุ 15-34 ปีที่ตายด้วยอุบัติเหตุและฆาตกรรมจำนวน 2876 ศพมาผ่าดูหลอดเลือดหัวใจ พบว่าโรคไขมันพอกหลอดเลือดนี้เริ่มที่หลอดเลือดหัวใจตั้งแต่อายุ 15 ปี พออายุได้ 30 ปี หลายคนก็มีไขมันพอกมากระดับที่พร้อมจะเกิดหัวใจวายได้แล้ว

     แล้วถามเจาะเฉพาะตัวคุณว่าทำไมถึงเป็นโรคหัวใจตั้งแต่อายุยังน้อย บุหรี่ก็ไม่สูบ ความดันก็ไม่สูง เบาหวานก็ไม่เป็น อ้วนก็ไม่อ้วน แถมขยันออกกำลังกายด้วย ตอบว่าก็เพราะคุณมีไขมันในเลือดสูงติดต่อกันอยู่นานหลายปีโดยไม่ได้รับการแก้ไขนะสิครับ ตรวจสุขภาพประจำปีหมอเขาก็บอกมาทุกปีว่าคุณมีไขมันในเลือดสูง แต่คุณก็ไม่ทำอะไร นี่มันเข้าคำพังที่ผมเคยอ่านในหนังสือหิโตปเทศที่ว่า

     "..คนได้รับความไร้สุขก็ลงเอาเคราะห์
     ผู้โง่เขลาไม่รู้จักโทษการกระทำของตัวเอง.."

     ผมเปล่าว่าคุณนะ แค่อ้างภาษิตโบราณเฉยๆ หิ หิ ตะแล้น ตะแล้น ตะแล้น

    อย่างไรก็ตาม ความสงสัยของคุณนี้วงการแพทย์ก็สงสัยมานานว่าทำไมคนอายุน้อยเส้นเลือดดี๊ดี มีตุ่มบนไขมันนิี้ดเดียวบางทีก็มีแค่ตุ่มเดียวอย่างคุณนี้เป็นต้น แต่พอเกิดหัวใจวายทีแทบเอาชีวิตไม่รอด คือไม่ตายก็คางเหลือง คนแก่เสียอีกเส้นเลือดเขรอะไปด้วยตุ่มไขมันจนแข็งโป้กไปทั้งลำอย่างกับท่อประปา กลับไม่เห็นจะเกิดหัวใจวายแบบรุนแรงเลย จึงเป็นที่มาของสมมุติฐาน (แปลว่าเรื่องที่มะโนเอา) ที่เป็นที่ยอมรับกันทั่วไปในวงการหมอหัวใจว่าตุ่มไขมันในคนหนุ่มนี้มันเป็นตุ่มไขมันชนิดอ่อนไหวง่าย (vulnerable plaque) พอมีอะไรกระแทกกระทั้น (เช่นความดัน) มีอะไรบีบ (เช่นความเครียดที่ทำให้หลอดเลือดหดตัว) หรือมีสารเคมีอะไรมากัดให้ถลอก (เช่นสารเคมีจากบุหรี่ ไขมัน น้ำตาล เกลือ) เยื่อคลุมตุ่มซึ่งบางจ๋อยอยู่แล้วก็จะแตกโพล้ะออกง่ายๆ น่าเสียดายที่ความรู้แพทย์ปัจจุบันนี้ยังไม่มีมุขอะไรใหม่ๆมาช่วยให้คนหนุ่มคนสาวป้องกันหัวใจวายได้มากขึ้น นอกเหนือไปจากการดูแลปัจจัยเสี่ยงอย่างที่รู้ๆกันอยู่

    5) ถามว่าอาการที่เป็นหลังทำบอลลูนเกิดจากอะไร ตอบว่าฟังตามอาการที่เล่า มันเป็นอาการคลาสสิกของหัวใจขาดเลือด ซึ่งเกิดขึ้นแม้ว่าหมอจะได้แก้ไขรอยตีบที่หลอดเลือดไปแล้ว ทั้งนี้เป็นเพราะการที่เลือดไหลไม่สะดวก มันเกิดขึ้นได้ทั้งในระดับที่ตามองเห็นและระดับที่ตามองไม่เห็น หมายความว่าเกิดในระดับหลอดเลือดที่เล็กระดับหลอดเลือดฝอย วงการหมอหัวใจเรียกว่า cardiac syndrom X แปลว่าเป็นอะไรไม่รู้ รู้แต่ว่าเจ็บหน้าอก กล้ามเนื้อหัวใจตาย และฉีดสีดูหลอดเลือดก็เห็นโล่งดี

     6) ถามว่าควรจะทำอย่างไรดี ตอบว่าให้ทำสองอย่าง คือ

     อย่างที่ 1. ให้หัดดูแลตัวเองโดยใช้ตัวชี้วัดง่ายๆ 7 ตัว (Simple Seven) ได้แก่น้ำหนัก ความดัน ไขมันเลว น้ำตาลในเลือด การกินผักผลไม้ การออกกำลังกาย การไม่สูบบุหรี่ ซึ่งคุณทำได้ดีเกือบหมดยกเว้นการปรับอาหารเพื่อลดไขมันในเลือดคุณยังทำไม่เป็น ให้หาอ่านวิธีทำเอาจากบทความเก่าๆของผม

     อย่างที่ 2. ให้ระวังปัจจัยกระตุกให้เกิดหลอดเลือดหดตัวเฉียบพลันอันเป็นปฐมเหตุของหัวใจวาย ซึ่งจากงานวิจััยพบว่ามีอยู่ห้าปัจจัยคือ

- การโมโหปรี๊ดแตก ทำให้ตายกะทันหันเพิ่มขึ้น 8.5 เท่า

- อาหารไขมันมื้อหนักๆ เหน่งๆมื้อเดียว ก็ทำให้หลอดเลือดหดตัวฟุบ..บ ได้นานถึง 6 ชั่วโมง

- เกลือ ซึ่งก็ได้จากอาหารเค็มๆ

- การที่ร่างกายขาดน้ำ คือดื่มน้ำไม่พอ

- การสูบบุหรี่

     7) ถามว่ายาที่กินทั้งหมดนี้จะลดได้ไหม ต้องทำอย่างไร ตอบว่าลดได้ครับ ส่วนทำอย่างไรนั้น แต่เดิมผมเคยบอกวิธีให้คนไข้ลดละเลิกยาของตัวเองเป็นขั้นๆทางอีเมล แล้วพบว่ามีผลเสียมากกว่าผลดีเพราะคนไข้เอาไปทำแบบผิดๆถูกๆ อีกทั้งการสั่งยาโดยไม่เห็นตัวไม่ได้ตรวจร่างกายคนไข้มันเป็นการประกอบโรคศิลป์ที่ผิดวิธี หากขืนดื้อดึงทำไปวันหนึ่งผมคงจะโดนแพทยสภาเล่นงานเอาแน่ ผมจึงเลิกวิธีแนะนำเช่นนั้นเสีย ดังนั้นคุณจึงเหลือทางเลือกอีกสองวิธีคือ

     วิธีที่ 1. คุยกับคุณหมอหัวใจของคุณถึงแผนการลดยา โดยให้คุณตัั้งใจปรับอาหารและการใช้ชีวิตนำหน้าให้ตัวชี้วัดมันดีขึ้นแล้วขอให้หมอลดยาตาม จนเลิกยาได้ในที่สุด

     วิธีที่ 2. คุณมาเข้าแค้มป์พลิกผันโรคด้วยตัวเอง (RDBY) ซึ่งวิธีการทำแค้มป์นี้คือผมจะเป็นหมอประจำตัว (family doctor) ให้ผู้มาเข้าแค้มป์ทุกคนนาน 1 ปี ผมได้ตรวจร่างกายทุกคนเอง ได้ประเมินโรคทุกคนเองอย่างละเอียด เป็นคนวางแผนการรักษาเอง และสอนให้คนไข้ดูแลตัวเองโดยมีผมเป็นพี่เลี้ยงให้คำปรึกษาใกล้ชิดทางอีเมลและทางโทรศัพท์ รวมทั้งคอยติดตามแนะนำการลด ละ เลิก ยาด้วย

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เจ็ดใครหนอ

สอนวิธีแปลผลเคมีของเลือด

กินคีโตไข่ต้มไก่ต้มทุกวันแล้วหลอดเลือดหัวใจตีบ

ความแก่..เหมือนหมาถูกต้อนเข้ามุมให้จนตรอก

ชีวิตเมื่อตายไปแล้ว

สิ่งที่ขาดหายไปจากชีวิตคนเราคือความเบิกบาน (Joy)

อายุ 70 ปีถูกคนในบ้านไล่ให้ไปฉีดวัคซีนไข้เลือดออก

วิตามินดีเกิน 150 หมอบอกมากเกินไป ท้ังๆที่ไม่ได้ทานวิตามินดี

Life Skill Camp for Kids แค้มป์ทักษะชีวิตเยาวชนที่มิวเซียมสยาม 16 พย. 67

มะเร็งต่อมลูกหมากแพร่กระจายไปกระดูกขาแล้ว จะไปต่อไงดี