สามีเสียชีวิตกะทันหัน ลูกสอง ตัวเองเพิ่งรักษามะเร็งเสร็จ

(ภาพวันนี้ : มีแต่รูปฝนตกให้ดู)

เรียนคุณหมอ

ดิฉันเป็นแฟนประจำของคุณหมอได้อ่านบทความดีๆ หลายบทความ แต่วันหนึ่งดิฉันได้เจอเหตุการณ์สูญเสียสามีที่รัก เขาเป็นสโตกที่สมอง กับปอดและติดโควิทเมื่อเดิอนธค.65  เขาเป็นทุกอย่างให้ดิฉันและลูกๆทั้งสองดิฉันเป็นผู้ป่วยมะเร็งเต้านมและหัวใจ เขาพาดิฉันรักษาจนจบคอร์สทุกอย่าง จนถึงวันนี้ดิฉันอยู่ด้วยความเศร้า ดิฉันไม่อยากเศร้าหรือเสียใจให้ลูกเห็น #ดิฉันควรเริ่มตรงไหนก่อน ภาระมันเยอะมากคะ #สุขภาพก็ดูแล เงินก็ต้องหา ลูกก็ต้องเลี้ยง#แนะนำหน่อยคะ อะไรคือทางออกที่ดี
กราบขอบพระคุณหมอคะ

…………………………………………………………..

ตอบครับ

มีจดหมายแบบนี้เข้ามาเยอะมาก แต่ผมไม่ได้ตอบ บ้างอกหัก บ้างตกงาน บ้างนายลดตำแหน่ง บ้างผัวทิ้ง บ้างเมียทิ้ง ผมหยิบจดหมายของคุณขึ้นมาตอบเพราะของคุณมันจะถือว่าสุดๆของจดหมายแนวนี้เลยก็ว่าได้ สำหรับท่านอื่นที่ถามเรื่องคล้ายกันแล้วผมยังไม่ได้ตอบ ก็ขอให้ถือว่าคำตอบนี้เป็นคำตอบสำหรับท่านด้วยก็แล้วกัน

1.. ถามว่า สามีอันเป็นที่พึ่งและที่รักตายไปอย่างกะทันหัน ตัวเองเพิ่งรักษามะเร็งเสร็จ ลูกสองคนกำลังกินต้องหาเงินเลี้ยง สุขภาพตัวเองก็ต้องดูแล จะออกจากตรงนี้อย่างไร ตอบว่า คุณพูดเหมือนกับว่าคุณไปติดกับดักหรือถูกจับขังไว้ที่ไหนสักแห่งจึงดิ้นรนหาทางออก ความจริงเปล่าเลย คุณไม่ได้ติดกับดักหรือถูกจับขัง คุณก็อยู่ของคุณดีๆตรงนี้แหละ แต่มีสิ่งต่างๆผ่านเข้ามาในชีวิตเป็นช็อตๆ เพียงแต่ช็อตสุดท้ายนี้มันเป็นช็อตเซอร์ไพร้ส์เหมือนจะน็อคคุณให้กลิ้ง แต่..เปล่าเลย ความจริงมันก็เป็นเพียงสิ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิต แล้วมันก็จะผ่านออกไป พูดอีกอย่างว่ามันเป็นเพียง “ประสบการณ์” ที่ทะยอยดาหน้ากันเข้ามา มันเป็นเช่นนี้ตั้งแต่เราเกิดมาแล้ว และจะเป็นเช่นนี้ไปจนกว่าเราจะตาย ดังนั้นคุณไม่ต้องตื่นเต้ล..ล์ แค่อยู่นิ่งๆตรงกลาง ไม่ต้องหาทางออกหรือหาทางหนีไปไหน อยู่ตรงที่คุณเคยอยู่นี่แหละ ยอมรับว่ามันมา ให้มันผ่านเข้ามา ให้มันผ่านออกไป ไม่จำเป็นต้องไปดราม่าหรือเต้นแร้งเต้นกากับมันมาก เพราะทั้งหมดนี้ หรือที่เราเรียกอีกอย่างว่า “สถานะการในชีวิต” แท้จริงแล้วมันเป็นแค่ชุดของความคิดที่คุณประมวลขึ้นจากสิ่งเร้าต่างๆที่เข้ามาในช่วงนี้ คุณผูกมันขึ้นเป็นคอนเซ็พท์ เป็นเรื่องราว มีที่มาในอดีต และจินตนาการที่ไปในอนาคตได้เป็นตุเป็นตุ แต่แท้จริงแล้วมันก็เป็นแค่ความคิดที่ลอยขึ้นมาในหัวของคุณเอง ถ้าคุณอยู่นิ่งๆไม่แกว่งหนีหรือแกว่งเข้าหาอะไร สิ่งที่เรียกว่าสถานะการณ์ในชีวิตนี้มันทำอะไรคุณไม่ได้ดอก ไม่เชื่อคุณลองสูดหายใจเข้าลึกๆดูสิ เห็นแมะ คุณยังหายใจได้อยู่เลย แสดงว่าคุณยังใช้ชีวิตได้ เพราะชีวิตเราใช้กันทีละลมหายใจ แล้วสถานะการณ์ในชีวิตเหล่านี้จะไปทำอะไรคุณได้เพราะคุณยังใช้ชีวิตของคุณได้อย่างไม่ติดขัดอยู่เลย

2. ถามว่าภาระมันเยอะมาก จะเริ่มต้นตรงไหนก่อนดี ตอบว่าก็เริ่มต้นที่การหายใจเข้าให้เต็มปอด กลั้นไว้สักพัก ยิ้ม..ม แล้วปล่อยลมหายใจให้ออกมาของมันเองพร้อมกับผ่อนคลายกล้ามเนื้อร่างกายตั้งแต่หัวถึงเท้า เริ่มตรงนี้แหละ

การหายใจเข้า หายใจออก นี่ผมเรียกมันว่าการใช้ชีวิต คุณเริ่มตรงนี้ เริ่มตรงที่การใช้ชีวิต คุณเลือกได้ว่าจะใช้ชีวิตอย่างเคร่งเครียดหรือย่างผ่อนคลาย ก็แค่ยิ้มหรือไม่ยิ้มขณะคุณหายใจแค่นั้นเอง การใช้ชีวิตมันง่ายมาก อย่าไปมัววุ่นวายกับสถานะการณ์ในชีวิต นั่นมันเป็นแค่ละคร แม้จะดูวุ่นวายสับสนอลหม่าน แต่อย่างไรมันก็เป็นแค่ละคร ในส่วนของละคร คุณในฐานะผู้เล่น ผมให้คุณเป็นนางเอกก็ได้เอ้า คุณแค่ทำสิ่งที่บทบาทของคุณควรทำในลมหายใจนี้แค่นั้นพอ หรือหากคุณโลภมากหน่อย ทำเฉพาะสิ่งที่คุณควรต้องทำในวันนี้ แค่นั้นพอ

ผมยกอุปมา ด้วยการแชร์เรื่องของผมเองนะ เมื่อราวปีกว่าสองปีมาแล้ว ผมประสบอุบัติเหตุครั้งใหญ่หล่นลงมาจากหลังคา หลังหัก แขนหักสองข้าง สะโพกหัก นอนแบ็บอยู่บนพื้นดิน กระดิกมือกระดิกเท้าไม่ได้

ถ้ามองในแง่ที่มันเป็นสถานะการณ์ในชีวิต มันเป็นสถานะการณ์ที่แย่มากใช่ไหม แค่เสี้ยววินาทีเดียวผมกลายเป็นผู้ชายอัมพาตแขนขาไปแล้ว แล้วถ้าคุณผูกเรื่องราวไปในอนาคต โห แล้วลูกเมียเขาต้องเดือดร้อนมาคอยเช็ดอึเช็ดฉี่ให้ผมไปอีกกี่ปีไม่รู้กว่าผมจะตาย นี่จัดว่าเป็นสถานะการณ์ในชีวิตที่แย่ที่สุดสถานะการณ์หนึ่งแล้วแหละ เผลอๆอาจจะแย่กว่าสถานะการณ์ในชีวิตของคุณตอนนี้เสียอีก

แต่ผมไม่ได้โฟกัสตรงนั้นเลย ไม่ได้ให้ราคาตรงเรื่องราวเหล่านั้นเลย ผมโฟกัสที่การใช้ชีวิต ผมหายใจเข้าลึกๆ ยิ้ม ผ่อนคลายร่างกาย ผมยังหายใจได้เสียอย่าง ผมก็สบายไปแปดอย่างแล้ว ต่อสถานะการณ์ในชีวิตผมลงมือทำเฉพาะเรื่องที่ควรต้องทำเมื่อเดี๋ยวนั้น ผมบอกลูกชายซึ่งเป็นหมอเหมือนกันว่าประคองคอและหลังของพ่อไว้นะ พ่อรู้สึกว่าหลังของพ่อหัก บอกให้ภรรยาไปโทรเรียกรถ 1669 และบอกให้คนดูแลบ้านไปเฝ้าที่ปากซอยไว้กันรถพยาบาลหลงซอย ผมทำแค่นั้น ทำกิจที่พึงทำจบแล้วจบ แล้วหันมาโฟกัสที่การใช้ชีวิต คือการหายใจเข้าออกอย่างผ่อนคลาย และยิ้มให้กับคนรอบตัว สองเดือนแรกของการป่วยมีเรื่องราวเยอะมากซึ่งผมขอไม่เล่าเพราะมันเยอะเกิน เอาเป็นว่าด้วยการโฟกัสที่การใช้ชีวิต ไม่ไปโฟกัสที่สถานะการณ์ในชีวิต ผลปรากฎว่าไม่มีแม้แต่นาทีเดียวที่ผมจะเป็นทุกข์ จนผมผ่านการผ่าตัด ฟื้นฟูตัวเองสำเร็จ และได้กลับบ้าน มันเหลือเชื่อจริงๆ เหลือเชื่อจนตัวผมเองยังแทบไม่เชื่อว่ามันจะเป็นไปได้

ดังนั้นคุณใช้สูตรนี้ได้แน่ โฟกัสที่การใช้ชีวิตทีละลมหายใจ ในเรื่องสถานะการณ์ในชีวิตก็ทำแค่กิจที่ต้องทำที่เดี๋ยวนี้หรือวันนี้ จบแล้วจบ ไม่ไปคิดเวิ่นเว้อต่อยอดอะไรกับสถานะการณ์ในชีวิต ยอมรับทุกอย่างที่พระพรหมโยนมาใส่ชีวิตเรา อย่าบ่น ยอมรับมันตามที่มันเป็น ไม่ต้องดราม่า ไม่ต้องตั้งแง่กับชีวิตว่า..นี่หรือชีวิต ไม่ต้องไปคิดอะไรต่อยอดสิ่งที่สังเกตพบเห็น แค่รับรู้มันตามที่มันเป็น ไม่ต้องเอาตัวตนของเราเข้าไปพิพากษาตัดสินอะไรทั้งสิ้น ยอมรับลูกเดียว ท่องคาถา “ขอบคุณ ขอโทษ ให้อภัย เมตตา”

ถ้าไม่ยุ่งกับความคิดได้ เป็นดีที่สุด แต่หากจะคิดอะไร ให้คิดบวกเท่านั้น ระวังติดเชื้อคิดลบจากคนอื่นๆรอบตัว ใครที่มีแต่ความคิดลบพูดแต่เรื่องลบๆอย่าไปอยู่ใกล้เขา ถ้าจำเป็นต้องอยู่ใกล้ก็อย่าไปมองหน้าเขา เดี๋ยวจะติดเชื้อเขามา เขาพูดอะไรก็อย่าไปคิดตามเออออตาม ให้หันมาสนใจลมหายใจของเราแทนปล่อยให้เขาพล่ามผ่านหูของเราไป

ในการทำงานให้ทำอย่างสุดจิตสุดใจ อย่าไปตั้งแง่เรียกร้องความสนใจว่าเราเป็นแม่หม้ายผัวตายลูกติดทุกคนควรเห็นใจเราบ้าง อย่าทำอย่างนั้น ให้หาความสุขจากการได้ลงมือทำงานอย่างสุดจิตสุดใจ ทำอย่างสุดฝีมือ แน่วแน่ จริงจัง ใส่ใจกระกระบวนการทำหรือขั้นตอนตรงหน้า focus on process อย่าไปว่อกแว่กว่าผลลัพท์ที่ออกมาจะเป็นอย่างไร เพราะการได้ทำอย่างสุดจิตสุดใจทุ่มสุดตัวเป็นการเพิ่มพลังชีวิต แต่การมัวพะวงว่าผลลัพท์จะดีหรือไม่ดี นายจะชอบหรือไม่ชอบ คนอื่นจะเอาเปรียบเราหรือเปล่า นั่นเป็นการบั่นทอนพลังชีวิต ทำงานเล็กๆเสร็จไปชิ้นหนึ่งก็เฉลิมฉลองกับตัวเองเสียหน่อย ชูกำปั้นให้ตัวเองแล้วร้องเย่ ในใจ ก็ได้

ควรหาเวลาออกกำลังกาย ถ้าไม่มีเวลาก็เอาตอนพักกินข้าวเที่ยงนั่นแหละ ออกไปเดินขึ้นลงที่บันไดออฟฟิศสักครึ่งชั่วโมง ถ้ามีเวลาก็ชวนลูกไปออกกำลังกาย ไปออกแดดด้วยกัน การได้ออกกำลังกายให้เหนื่อยเป็นการเพิ่มพลังชีวิต

ควรเลือกกินอาหารที่เสริมพลังชีวิต กินพืชผักผลไม้ถั่วนัทมากๆ ยิ่งอยู่ในสภาพสดยิ่งดี กินเนื้อสัตว์น้อยๆ หลีกเลี่ยงของหวานหรือเครื่องดื่มรสหวานเพราะจะทำให้เกิด sugar dip คือพลังหมดแม้จะกินหวานไปหยกๆ อย่ากินแบบสวาปามเพราะจะบั่นทอนพลังชีวิตคือกินอิ่มเกินไปแล้วอืดเป็นงูเหลือมจนทำอะไรไม่ได้ กินแค่พอใกล้จะอิ่มก็หยุด ไม่ต้องรอให้อิ่ม ปล่อยให้ตัวเองหิวสักนานๆอย่ารีบหาอะไรกิน เพราะความหิวจะทำให้ร่างกายสร้างพลังชีวิตเพิ่มขึ้นจากอาหารที่เก็บตุนไว้เรียบร้อยแล้วในตับ

ใช้คลื่นความสั่นสะเทือนของเสียงช่วยสร้างพลังชีวิต ขับรถก็เปิดเพลงแล้วร้องตาม ไม่มีอะไรทำก็ครางอื้อ อี๋อ อือ สร้างความสั่นสะเทือนให้เขย่าร่างกายเข้าไว้ ถ้าโอกาสอำนวยเช่นทำครัวล้างจานก็ขยับร่างกายเคลื่อนไหวไปตามจังหวะเพลงขณะที่ฮัมเพลงไปด้วย เวลานั่งหรือยืนให้ตั้งร่างกายให้ตรง เวลาเคลื่อนไหวเดินไปมาให้เคลื่อนไหวเร็ว มั่นใจ ฟุบฟับ ฟุบฟับ เวลาพูดให้พูดเสียงดังฟังชัด มีความกังวานอยู่ในเสียง อย่าพูดเสียงแผ่วแบบคนจะขาดใจตาย

เวลาพักให้ออกจากออฟฟิศไปรับแดดรับลมข้างนอกบ้าง ธรรมชาติเช่นต้นไม้ ที่โล่งกว้าง ท้องฟ้า แสงแดด ลมพัด อยู่กลางฝนโปรยปราย เป็นสนามพลังงานในรูปของคลื่นความสั่นสะเทือนอยู่แล้ว แค่เปิดรับเอาพลังงานเข้ามา กางมือออก สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ผ่อนคลาย ยิ้ม พลังก็มาแล้ว

จัดเวลานอนหลับให้พอ อย่าเอางานมาทำที่บ้าน อย่าเปิดดูหน้าจอจนค่ำมืดดึกดื่น หมดกิจประจำวันแล้วรีบอาบน้ำนอน ว่างปุ๊บให้หัดนั่งสมาธิวางความคิดปั๊บ และทำสมาธิวางความคิดก่อนนอนสักห้านาที ถ้าไม่ได้ก็สักหนึ่งนาทีก็ยังดี

ให้คุณเดินหน้ากับชีวิตไปอย่างสงบเย็นและสร้างสรรค์ทีละโมเมนต์ ทีละโมเมนต์ ผมเอาใจช่วยคุณอยู่

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เจ็ดใครหนอ

สอนวิธีแปลผลเคมีของเลือด

กินคีโตไข่ต้มไก่ต้มทุกวันแล้วหลอดเลือดหัวใจตีบ

ความแก่..เหมือนหมาถูกต้อนเข้ามุมให้จนตรอก

ชีวิตเมื่อตายไปแล้ว

เปลี่ยนอาหาร ปั่นจักรยาน น้ำตาลลด ความดันลด แต่ไขมันทำไมไม่ลด

ท่านอายุเก้าสิบแล้วยังไม่รู้ แล้วท่านจะรู้มันไปทำพรื้อละครับ

สิ่งที่ขาดหายไปจากชีวิตคนเราคือความเบิกบาน (Joy)

อายุ 70 ปีถูกคนในบ้านไล่ให้ไปฉีดวัคซีนไข้เลือดออก

มะเร็งต่อมลูกหมากแพร่กระจายไปกระดูกขาแล้ว จะไปต่อไงดี