การให้อภัย คือการถอยออกมาจากการจมลึกอยู่ในอารมณ์ลบซ้ำซากของตัวคุณเอง

(ภาพวันนี้: บวบเพื่อนบ้าน อุ๊บ..พูดผิด มะระ ไม่ใช่บวบ)

กราบเรียนคุณหมอสันต์

คุณหมอสอนเรื่อง ขอบคุณ ขอโทษ ให้อภัย เมตตา หนูทำได้แค่ขอบคุณ ขอโทษ เมตตา แค่นี้จะโอเค.ไหมคะ

……………………………………………………

ตอบครับ

ผมเข้าใจคุณ

คุณไม่ได้แตกต่างจากคนอื่นอีกมากมายดอก ที่ถูกกระทำย่ำยีอย่างไม่เป็นธรรมแล้วมีความขุ่นข้องแค้นเคืองไม่เคยลืม ปานประหนึ่งว่าหากลืมแล้วไปภายหน้าจะมีคนเดิมหรือคนอื่นมากระทำย่ำยีเราแบบนั้นอีก ซึ่งมันเป็นสามัญสำนึก หรือเป็นธรรมดา ที่ว่าคนเราต้องปกป้องและเชิดชูตัวตนของเราให้ปลอดภัยและสูงเด่น หรือจะให้ดีกว่านั้น ถ้าสบโอกาสก็ต้องแก้เผ็ดหรือสั่งสอนกลับไปบ้างก็จะเป็นการสร้างบรรทัดฐานที่ดีให้สังคม ตรงนี้ผมเข้าใจ

มุมมองแบบนั้นเป็นการมองประสบการณ์ชีวิตว่าเป็นเรื่องราวภายนอกที่เป็นผลงานของคนอื่นที่บางเรื่องมามีผลกระทบต่อตัวเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระทบในทางลบ อย่างเช่นการดูหมิ่นเรา หรือย่ำยีเรา หรือโกงเอาทรัพย์ของเราไป หรือแม้กระทั่งทำร้ายร่างกายเรา เป็นต้น ถ้ามองชีวิตจากมุมนี้การให้อภัยก็ดูจะเป็นความโง่เขลา หรืออย่างเบาะๆก็เป็นความประมาท หรือเป็นการมีส่วนสร้างสังคมไม่เท่าเทียมด้วยการยอมเสียเปรียบให้คนเลวที่ชอบเอาเปรียบได้โอกาสคอยเพิ่มการเอาเปรียบอยู่ร่ำไป..นั่นเป็นมุมมองของคุณ

ส่วนมุมมองของผมนั้น เป็นการเปลี่ยนมุมการมองไปอย่างสิ้นเชิง คุณค่อยๆทำความเข้าใจนะ คือเป็นการมองว่าประสบการณ์ชีวิตทุกอย่างที่เกิดขึ้นตั้งแต่เราตื่นขึ้นมาจนนอนหลับไปในแต่ละวันเป็นเรื่องราวในใจเราที่เราสร้างขึ้นเองทั้งสิ้น หรือที่เราเลือกการสนองตอบเองทั้งสิ้น

จริงอยู่ภายนอกมีสิ่งต่างๆเกิดขึ้น คนนั้นพูดว่าอย่างนี้ คนนี้ทำอย่างนััน แต่จริงๆแล้วสิ่งภายนอกเหล่านั้นไม่ใช่ตัวกำหนดประสบการณ์ชีวิต ตัวกำหนดประสบการณ์ชีวิตคือวิธีที่เราจะสนองตอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้นที่ภายนอก ว่าเราสนองตอบอย่างไร ทีละช็อต ทีละช็อต ถ้าเรารู้วิธีสนองตอบที่ชาญฉลาด ชีวิตเราก็จะสงบเย็นและสร้างสรรค์และดำรงอยู่ได้โดยเป็นอิสระต่อสิ่งที่เกิดขึ้นที่ภายนอก แต่ถ้าเราไม่รู้วิธีสนองตอบอย่างชาญฉลาด ชีวิตเราก็จะเป็นทุกข์และถูกกำหนดกะเกณฑ์โดยสิ่งที่เกิดขึ้นภายนอกตัวเราตลอดไป

โปรดสังเกตว่าผมไม่พูดถึงเหตุภายนอกหรือคนอื่นที่ทำให้คุณขุ่นข้องหมองใจเลยนะ ว่าเขาทำถูกหรือทำผิด ยุติธรรมหรือไม่ยุติธรรม เพราะไม่ว่าคุณจะให้อภัยหรือไม่ให้อภัยเขา เขาก็ไม่เดือดร้อน ไม่อินังขังขอบ ไม่สะดุ้งสะเทือนทั้งสิ้น เขาอาจไม่รู้ด้วยซ้ำ หรือถึงรู้เขาก็อาจไม่แคร์ เปรียบเหมือนเขายื่นยาพิษให้คุณ คุณรับมา แล้วก็กินเข้าไปอีกต่างหาก ด้วยความหวังว่าเมื่อคุณกินยาแล้วเขาจะตาย เปล่า ตัวคุณต่างหากที่จะตายเพราะยาพิษนั้น ที่ผมไม่พูดถึงเขาไม่ใช่ว่าผมไปยอมรับพฤติกรรมแบบนั้น แต่เพราะนั่นไม่ใช่ประเด็น เพราะมันไม่เกี่ยวกับการที่เราจะสุขหรือทุกข์ในกาลข้างหน้าจากเหตุการณ์ครั้งนี้ แถมมันไม่ใช่ปัจจัยที่เราจะไปควบคุมได้อีกต่างหาก แต่การที่ใจเราจะให้อภัย หรือการที่ใจเราจะไม่ให้อภัย มันเกี่ยวกับการที่เราจะสุขหรือทุกข์ในภายหน้าจากเหตุการณ์ครั้งนี้ และตรงนี้เป็นส่วนที่เราควบคุมได้

มองจากมุมของผม การไม่ให้อภัย คือการบ่มตัวเองให้จมลึกอยู่ในความคิดลบและอารมณ์ลบอย่างซ้ำซากวกวนไม่รู้จบไม่รู้สิ้น ขณะที่การให้อภัยคือการทิ้งความคิดลบที่เคยเกิดขึ้นแล้วไปเสียทันที แล้วเริ่มต้นช็อตใหม่ของชีวิตต่อไปอย่างสงบเย็นและสร้างสรรค์เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แล้วคุณคิดว่าสองแบบนี้ หลังจากเหตุการณ์ครั้งนี้ไปภายหน้า การใช้ชีวิตแบบไหนมันจะทำให้คุณเป็นสุขหรือเป็นทุกข์มากกว่ากันละครับ

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เจ็ดใครหนอ

สอนวิธีแปลผลเคมีของเลือด

กินคีโตไข่ต้มไก่ต้มทุกวันแล้วหลอดเลือดหัวใจตีบ

ความแก่..เหมือนหมาถูกต้อนเข้ามุมให้จนตรอก

ชีวิตเมื่อตายไปแล้ว

เปลี่ยนอาหาร ปั่นจักรยาน น้ำตาลลด ความดันลด แต่ไขมันทำไมไม่ลด

ท่านอายุเก้าสิบแล้วยังไม่รู้ แล้วท่านจะรู้มันไปทำพรื้อละครับ

สิ่งที่ขาดหายไปจากชีวิตคนเราคือความเบิกบาน (Joy)

อายุ 70 ปีถูกคนในบ้านไล่ให้ไปฉีดวัคซีนไข้เลือดออก

มะเร็งต่อมลูกหมากแพร่กระจายไปกระดูกขาแล้ว จะไปต่อไงดี