ตั้งมั่นว่าตัวเองจะเป็นผู้สังเกตเท่านั้น ..ช่วยด้วยค่ะ

ภาพวันนี้: (หวายขี้เป่อ)

สวัสดีค่ะ คุณหมอสันต์

ดิฉันเคยเป็นแพนิคค่ะ แต่ด้วยความเพียรพยายามฝึกสมาธิ เรียนรู้การวางความคิด การผ่อนคลาย จากคุณหมอมาหลายปี ทําให้หายจากอาการแพนิคค่ะ แต่ว่ายังมีอาการเวียนหัวเหลืออยู่เป็นประจําแทบทุกวัน มากบ้างน้อยบ้างแล้วแต่วันค่ะ (ดิฉันอายุ64 ตรวจสุขภาพแล้วไม่มีโรคใดๆค่ะ) 

ในระยะหลังนี้จะรู้ตัวมากขึ้น จะเห็นเมื่อมีความโกรธเกิดขึ้น มีความวิตกกังวลเกิดขึ้น บางครั้งรู้สึกเหมือนเราเป็นอีกคนมองดูความโกรธ มองดูความคิดกังวลอยู่ค่ะ ซึ่งจะมองเฉยๆหรือ feel เฉยๆ จนมันดับไปเองได้หลายครั้งบ่อยขึ้นค่ะ แต่บางครั้งก้อยังต้องอาศัยวิธีการบอกตัวเองว่า ความคิด ปรุงแต่งเป็นอนัตตาๆๆไม่ใช่ตัวเราๆๆ จนอารมณ์พลุ่งพล่านดับค่ะ …ไม่แน่ใจว่าวิธีหลังนี้เป็นการบังคับจิตมากไปหรือป่าวคะ….แค่กลบปัญหาไม่ได้แก้ปัญหามั้ยคะ

แต่บางครั้งที่มีความวิตกกังวลเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว จะเวียนหัวมากขึ้น ใจสั่น ลมขึ้น ตาพร่า จะเกิดอาการทางร่างกายต่างๆ จนกว่าจะหาสาเหตได้ว่าความกังวลนั้นมาจากคิดอะไรกังวลอะไร แล้วทําความเข้าใจกับความคิดนั้นที่ทําให้กังวล อาการต่างๆถึงจะดีขึ้นค่ะ ถ้าหาสาเหตไม่ได้อาการก้อจะไม่หายค่ะ …มันผิดปกติมั้ยคะที่จะต้องมาหาสาเหตทุกครั้งแบบนี้ มีวิธีการแก้ปัญหานี้ยังไรคะ

ไม่กี่วันนี้ไม่ทราบว่าเป็นอะไรมีความวิตกกังวลอะไร หาสาเหตไม่ได้ค่ะ อยู่ๆเกิดเวียนหัวหนักมาก ตาพร่า ลมขึ้น และยังมีใจสั่นมาก ใจเต้นแรงมากตุุ้บตั้บเหมือนจะออกมานอกอก เป็นหลายวันจนบางครั้งแทบจะทนไม่ไหว ไม่ว่าจะอยู่กับลมหายใจ ผ่อนคลายใดๆก้อหายแป๊บเดียวแล้วกลับมาอีก บางครั้งรู้สึกเหมือนว่าสติกําลังจะแตก จากอาการเวียนหัวและใจสั่น ใจนึงเหมือนอยากพูดว่าทนไม่ไหวแล้ว สติจะแตกแล้ว แต่รู้สึกได้ว่ามีเราอีกคนที่กําลังมองสติที่กําลังจะแตกนั้นอยู่ ดูมันเฉยๆไม่มีความรู้สึกใดๆ ดูไปเรือยๆจนอารมณ์ทนไม่ไหวนั้นหายไป….

อาการครั้งนี้เกิดขึ้นรุนแรงมาก ปกติไม่เป็นขนาดนี้ค่ะ ……เป็นไปได้มั้ยคะอาจจะมาจากความคิดหนึ่งคือ….. 

อยู่ดีๆนั่งคิดขึ้นมาว่า เราไม่ได้ป่วยเป็นอะไร ไม่ได้มีปัญหาอะไร ไม่มีปัญหาครอบครัวใดๆ ความซึมเศร้า ความวิตกกังวลต่างๆของเราหลายปีมานี้ เกิดขึ้นมาจาก out of thin air ทั้งนั้นเลย……ใจลึกๆเองแล้วอยากให้เป็นยังนั้นจริงๆค่ะจะได้หายจากการเวียนหัว……. …เป็นไปได้มั้ยคะว่าความคิดนี้เป็นการบังคับและฝืนจิตใจเรามากเกินไป เลยทําให้เกิดอาการทางร่างกายมากผิดปกติขนาดนี้

ขอรบกวนคุณหมอแนะนําว่าดิฉันควรจะฝึกวิธีไหนต่อไปดีคะ อยากหายจากอาการเวียนหัว วิตกกังวลเกินเหตูค่ะ

ดิฉันได้พยายามฝึกตัวเองให้เป็นผู้สังเกตตามคุณหมอแนะนําด้วยค่ะ เคยฟังคุณหมอพูดว่าคุณหมอรู้ทันความคิดได้ด้วยวิธีนี้ แต่ไม่แน่ใจว่าที่ทํามาถูกมั้ย หรือกลายเป็นเผลอคิดวนไปด้วย กรูณาแนะนําให้ด้วยค่ะขั้นตอน การฝึกตัวเองจะเป็นผู้สังเกตเท่านั้น ทํายังไรบ้างคะ

กราบขอบคุณมากค่ะ

……………………………………………………………

ตอบครับ

ผมเอาจดหมายของคุณมาลงเพื่อให้ผู้ป่วยโรค panic disorder ทั่วไปได้เห็นจากตัวอย่างผู้ป่วยตัวเป็นๆว่าอาการแพนิกนี้หายได้ด้วยตัวผู้ป่วยเอง ด้วยการฝึกสมาธิ ฝึกวางความคิด ฝึกผ่อนคลายร่างกาย เป็นหลักฐานเพิ่มเติมจากหลักฐานวิจัยทางการแพทย์ที่พบว่าโรคนี้ดีขึ้นได้จากการใช้ meditation ในการร่วมรักษา

เอาละ ทีนี้มาตอบคำถามของคุณ

1.. ถามว่าตั้งมั่นสังเกตความคิดและฝึกวางความคิดแล้ว แต่มีอาการเวียนหัวขึ้นมาจะทำอย่างไร ตอบว่าคุณเคยสังเกตเห็นไหมว่าความกังวลเรื่องอาการเวียนหัวก็เป็นความคิด ที่คุณต้องวางมันลงทันทีที่มันโผล่ขึ้นมา นั่นแหละคือสิ่งที่คุณจะต้องทำ

2.. ถามว่าหากหาสาเหตได้ว่าความกังวลนั้นมาจากคิดอะไรกังวลเรื่องอะไรแล้วทําความเข้าใจกับเรื่องนั้น อาการต่างๆจึงจะดีขึ้น ทำอย่างนี้ดีไหม ตอบว่าการพยายามหาสาเหตุและทำความเข้าใจคือความคิด ตัวมันนั่นแหละที่จะผสมโรงเป็นต้นเหตุของอาการทางร่างกาย เมื่อใดก็ตามที่มีความคิดกังวลเกิดขึ้น คุณไม่ต้องหาสาเหตุ แค่รับรู้แล้ววางมันลงไป แค่นั้นพอ

3.. ถามว่าอยู่ดีๆนั่งคิดขึ้นมาว่าความกังวลต่างๆของเราหลายปีมานี้ เกิดขึ้นมาโดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยทั้งนั้น อย่างนี้เป็นการบังคับฝืนจิตใจจนทําให้เกิดอาการทางร่างกายไหม ตอบว่าความสงสัยว่าคิดอย่างนี้จะมีผลอย่างนั้นหรือเปล่า ก็เป็นความคิดอีกชนิดหนึ่ง เรียกว่า “ความสงสัย” แท้จริงแล้วความสงสัยนี้เป็นสุดยอดของความคิดที่เป็นกรงอันแข็งแกร่งที่ขังมนุษย์ผู้คิดว่าตัวเองฉลาดเอาไว้ไม่ให้หลุดออกไปไหน ดังนั้นเมื่อเกิดความสงสัยอะไรขึ้นมา ให้ “ยอมรับ” ว่าเราโง่ เราไม่รู้ แล้วทิ้งความสงสัยนั้นไปเสีย ยอมเป็นคนโง่ดีกว่าเป็นคนขี้สงสัย อย่าไปพยายามใช้ความฉลาดปราดเปรื่องของตัวเอง (intellect) ประเมินคาดการณ์ตีความ เพราะการทำอย่างนั้นจะเกิดปรากฏการณ์ผีกับโลงที่เต้นแทงโก้กันไม่เลิกขึ้นในหัวของคุณ ผีก็คือความสงสัย โลงก็คือความชอบคิดวิเคราะห์ แต่ละฝ่ายก็เต้นท่าใหม่ต่อยอดท่าเต้นของอีกฝ่ายหนึ่งไปไม่รู้จบ ผลก็คือคุณไม่ต้องไปไหน หมุนวนเป็นลูกข่างอยู่ในความคิดนั่นแหละ

4.. ถามว่าจะฝึกวิธีไหนต่อไปดี ตอบว่าก็คุณยังไม่ได้วางความคิดตัวเบ้งๆที่ทำให้คุณเป็นทุกข์ลงไปเลย จะไปหาวิธีฝึกใหม่ๆไปทำไมละครับ วางความคิดลงไปก่อน อย่างน้อยก็สองความคิดคือ (1) ความกังวลว่าร่างกายนี้มันจะเป็นอะไรไป และ (2) ความสงสัยโน่นนี่นั่น วางสองเรื่องนี้ลงไป ทำแค่เนื้ยะพอ

อนึ่ง ความกังวลเกี่ยวกับร่างกายของคุณจะเบาลงถ้าคุณ “ยอมรับ” ว่าร่างกายนี้มันไม่ใช่คุณ มันไม่ใช่ของคุณด้วย คุณใช้งานมันได้ระดับหนึ่งแต่คุณบังคับมัน 100% ไม่ได้ มันจะเป็นอะไรไปก็ช่างมัน หากคุณ “ยอมรับ” เสียอย่างเดียว คุณก็จะไม่ทุกข์กับมันมาก

อนึ่ง สำหรับคนขี้สงสัยอย่างคุณ ผมแนะนำเทคนิคในการวางความคิดสองเทคนิคให้คุณไปลองฝึกเพิ่มเติมจากวิธีที่ใช้อยู่นะ

เทคนิคที่ 1. เป็นคำแนะนำของโยคีชื่อ รามานา มหารชี มีหลักง่ายๆว่า “ฆ่าทุกความคิดเสียทันทีที่มันโผล่ขึ้นมา” และ “เมื่อความคิดทุกความคิดถูกฆ่าซ้ำๆซากๆจนมันไม่กล้บมาอีกเลย คุณก็บรรลุธรรม”

เทคนิคที่ 2. เป็นเทคนิคที่ผมเองทดลองใช้กับตัวเองในบางระยะของการฝึกในอดีตในช่วงที่ผมยังมีความคิดแยะเต็มหัว ผมเรียกมันว่า “ตะปบความคิด” วิธีทำคือคุณทำท่ากางมือไว้เหมือนเสือจะตะปบเหยื่อ แล้วเตือนตัวเองให้ตื่นตัวรอดูความคิดใหม่ที่จะโผล่เข้ามา คุณไม่มีทางรู้ล่วงหน้าได้ว่าความคิดแรกที่จะโผล่เข้ามานับจากโมเม้นต์นี้ไปมันจะเป็นความคิดเรื่องอะไร มันจะมาเมื่อไหร่ หน้าที่ของคุณคือตื่นตัวเฝ้ารออย่างจดจ่อเหมือนแมวรอตะครุบหนูที่ปากรู เมื่อมันมาคุณตะปบมันด้วยมือที่กางเล็บรอไว้แล้วนี้ทันที ตะปบได้แล้วก็ทิ้งมันไป ตั้งท่ารอตะปบความคิดใหม่ต่อไปอีก ทำอย่างนี้ตั้งแต่ตื่นนอนเช้าจนกลับเข้านอนตอนกลางคืน กางอุ้งมือรอไว้บนหมอนจนหลับไป

คุณไม่ต้องห่วงว่าเมื่อความคิดหมดไปจากหัวแล้วในหัวคุณจะเหลืออะไร ไม่ต้องกังวลว่าถ้าหัวกลวงโบ๋ไม่มีความคิดที่เป็นอัตลักษณ์ของคุณ…แล้วคุณจะเป็นใครกันละทีนี้ คุณอย่าไปพยายามตั้งคำถามและอย่าพยายามตอบว่าคุณเป็นใคร (Who am I?) เหมือนอย่างที่ครูทางจิตวิญญาณทั่วโลกจำนวนมากชอบแนะนำให้ทำเลย ในทางตรงกันข้าม ผมแนะนำคุณเสียอีกแบบว่าในการจะหลุดพ้นจากความทุกข์นี้ คุณอย่าไปเสียเวลาคาดคั้นเอาคำตอบจากความคิดของคุณเลยว่าคุณเป็นใคร เกิดมาทำไม แล้วจะไปไหนต่อ..ไม่ต้องเลย แค่รู้ว่าคุณไม่ได้เป็นใคร ผมหมายถึงรู้ว่าคุณไม่ใช่ความคิด คุณไม่ใช่ร่างกาย แค่นี้คุณก็หลุดพ้นจากความคิดที่ทำให้คุณเป็นทุกข์ได้แล้ว

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เจ็ดใครหนอ

สอนวิธีแปลผลเคมีของเลือด

กินคีโตไข่ต้มไก่ต้มทุกวันแล้วหลอดเลือดหัวใจตีบ

ความแก่..เหมือนหมาถูกต้อนเข้ามุมให้จนตรอก

ชีวิตเมื่อตายไปแล้ว

เปลี่ยนอาหาร ปั่นจักรยาน น้ำตาลลด ความดันลด แต่ไขมันทำไมไม่ลด

ท่านอายุเก้าสิบแล้วยังไม่รู้ แล้วท่านจะรู้มันไปทำพรื้อละครับ

สิ่งที่ขาดหายไปจากชีวิตคนเราคือความเบิกบาน (Joy)

อายุ 70 ปีถูกคนในบ้านไล่ให้ไปฉีดวัคซีนไข้เลือดออก

มะเร็งต่อมลูกหมากแพร่กระจายไปกระดูกขาแล้ว จะไปต่อไงดี