ทำไมคนอายุ 90 up จึงหย่าเมีย

(ภาพวันนี้: ภาพวาดติดผนังหน้าห้องครัว เป็นอภินันทนาการจากเพื่อน วาดโดยมือสมัครเล่นซึ่งวาดรูปเป็นงานอดิเรก ผมเห็นว่าสวยกว่าอีกหลายภาพที่ได้ติดในพิพิธภัณฑ์ใหญ่ๆในยุโรป)

เรียนคุณหมอสันต์

ผมน่ะอยากถามเพราะสงสัยจริง ๆ แต่อาจารย์คงไม่ตอบหรอกครับ

คนอาย 90 up ทำไมถึงหย่าเมีย ทั้ง ๆ ที่คุณวุฒิท่านคนยกย่องเสมอปราชญ์ในต่างประเทศ

ผมล่ะไม่เข้าใจจริง ๆๆๆครับ
……………………………………………………….

ตอบครับ

ผมหยิบจดหมายอาจารย์มาตอบเพราะตอบเรื่องการเจ็บป่วยติดๆกันมากๆกลัวแฟนบล็อคเครียด

ผมแยกตอบเป็นสองกรณีนะ คือ (1) เหตุที่ผู้ชายหย่าเมียในวัยทั่วไป (2) เหตุที่ผู้ชายสว.หย่าเมีย

กรณีคนทั่วไปนั้น มีงานวิจัยที่เขาทำไว้ดิบดีแล้วเป็นจำนวนมาก ผมยกเอางานวิจัยของมหาลัยเพ็นซิลวาเนียซึ่งผมเห็นว่ามีกระบวนการวิจัยที่ดี ผลวิจัยของเขาสรุปสาเหตุท็อปที่ทำให้ผู้ชายยื่นขอหย่าเมียไว้ 6 สาเหตุ คือ

(1) เพื่อหนียายเพิ้ง กล่าวคือ ม. เมื่อแต่งกับ ผ. แล้วต้องรับภาระต่างๆมากมายจึงไม่สนใจเมคอัพตัวเอง สามีซึ่งไม่ชอบมลภาวะทางสายตาก็จึงตัดสินใจย้ายที่เปลี่ยนวิว

(2) สามีไม่ได้ priority หมายความว่าได้ลำดับความสำคัญน้อย กล่าวคือ ม. ให้ความสำคัญกับคนอื่น เช่น ลูก ญาติ เพื่อน หรืออย่างอื่นเช่น งานอาชีพ งานอดิเรก มากกว่าตัวเอง เมื่อตัวเองไม่มีความสำคัญ แล้วจะอยู่ด้วยกันไปอีกทำไม เพราะก้นบึ้งของหัวใจผู้ชายคือการอยากมีความสำคัญ

(3) สามีเป็นโรค “แพ้ความหวังดี” กล่าวคือภรรยาพยายามปรับปรุงแก้ไขความบกพร่องของสามีมากเกินไป

(4) เพื่อหนีจากโรค “เฉาปากตาย” หิ หิ โรคนี้ผมตั้งชื่อให้เอง งานวิจัยเขาหมายถึงการที่ภรรยาพูดมาก บ่นมาก

(5) เพื่อหนี “หญิงแก่บ้าอำนาจ” กล่าวคือ ม. ชอบทำตัวเป็นเจ้านาย หรือเป็นแม่ สองอย่างนี้เป็นของแสลงสำหรับผู้ชาย ซึ่งเป็นเพศที่มีสิ่งที่ค้ำจุนชีวิตเหลืออยู่อย่างเดียวคือ..อัตตาของเขา

(6) เพื่อหนีเมียประเภทติดสามี ไม่ใช่ตามคุมหรือตามหึงนะ ไม่ใช่แบบนั้น แต่หมายถึงเมียประเภทอ่อนแอเกินไป (dependent) ถ้าไม่มี ผ. ฉันต้องฆ่าตัวตายเพราะฉันอยู่โดยไม่มี ผ. ไม่ได้ ซึ่งตรงนี้ศาลฝรั่งบางรัฐถือว่าเป็นข้ออ้างสำหรับการหย่าได้ เพราะการแต่งงานเป็นสัญญาประเภท inter-dependent ต่างฝ่ายต่างพึ่งกันช่วยกัน ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งผิดสัญญาก็บอกเลิกสัญญาได้

กรณีผู้สูงอายุ เนื่องจากอัตราการหย่าร้างต่ำมาก จึงไม่มีใครทำวิจัยสาเหตุไว้ ในทางการแพทย์หากเป็นโรคหายากที่ข้อมูลวิจัยไม่มีหากยังอยากรู้ก็ต้องไปศึกษาเอาจากรายงานผู้ป่วยรายคนหรือ case study ผมจะยกบางเคสให้ท่านฟังพอเป็นไอเดีย

เคสที่ 1. เมื่อปีกลาย เป็นข่าวในยุโรปครึกโครม ชายอิตาลีชื่อ อันโตนิโย อายุ 99 ปี ฟ้องหย่าภรรยาซึ่งอยู่กินกันมาได้ 77 ด้วยสาเหตุว่า ผ. ไปโละของเก่าทำความสะอาดอพาร์ตเมนท์แล้วพบจดหมายรักเก่าฝุ่นจับจนหมึกเลือนแล้ว เขียนเมื่อหกสิบกว่าปีมาแล้ว เนื้อหาคือภรรยาเขียนหาชู้ คุณปู่อันโตนิโยให้การว่าเขาทนไม่ได้ เขารับไม่ได้ เขารู้สึกว่าตัวเองถูกทรยศ ศาลนัดสืบพยานใน 3 เดือน หลังจากนั้นผมไม่ได้ยินข่าวคดีนี้อีกเลย เข้าใจว่าศาลจะปิดเคสเพราะคู่ความย้ายกลับบ้านเก่าก่อนศาลอ่านคำพิพากษา (หิ หิ นี่ผมเดาเอาเองนะ)

เคสที่ 2. ชายชาวไต้หวันชื่อ เชา อายุ 90 ปี ฟ้องหย่าเมียที่อยู่ด้วยกันมาห้าสิบกว่าปี โดยบรรยายฟ้องว่าเมียของเขา “ดูแลหมาข้างถนนดีกว่าดูแลตัวเขาเสียอีก” โดยอธิบายต่อศาลว่า

“ทุกเช้าเมียต้องไปที่สะพานเกาปิงเพื่อให้ข้าวหมาจรจัด กว่าจะกลับบ้านก็สาย ตัวผมอายุ 90 ผมต้องการการดูแล แต่เมียผมกลับมีเจตคติที่เย็นชากับผม แถมเธอยังขี้เกียจอาบน้ำอีกต่างหาก”

ข้างฝ่ายจำเลยคือภรรยา ให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา เธอบอกศาลว่า

“ตัวฉันไปเลี้ยงหมาแล้วก็กลับมาอาบน้ำทุกวัน ตัวฉันไม่เหม็น แต่ตัวเจ้า ผ. นั่นแหละเหม็น เพราะเขาไม่ดูแลตัวเอง เป็นคนเจ้าอารมณ์ บางครั้งโกรธฉันและงอนฉันไม่พูดกับฉันนานหลายปี (โปรดสังเกตว่าหน่วยนับเวลาของผู้สูงวัยระดับนี้มีหน่วยเดียว คือ..ปี) อีกอย่างหนึ่งลูกสะใภ้ก็อยู่ในบ้านกับเราและช่วยดูแลเขาอยู่ จะหาว่าเราไม่ดูดำดูดีได้อย่างไร”

ศาลเห็นว่านายเชาคงแค่งอนเมียเพื่ออยากให้เมียง้อ จึงพยายามไกล่เกลี่ย แต่ไม่สำเร็จ เพราะนายเชายืนกรานจะใช้สิทธิพลเมืองฟ้องหย่าเมียลูกเดียว ศาลจึงนั่งบัลลังก์ไต่สวนแล้วพิพากษาให้ยกฟ้องด้วยเหตุว่า “ไม่ปรากฎหลักฐานว่าเมียเป็นอย่างที่นายเชากล่าวหาแต่อย่างใด” ข่าวไม่ได้บอกว่าศาลดมกลิ่นโจทก์และจำเลยหรือเปล่า แต่ผมเดาใจศาลว่าท่านคงคิดว่าคนอย่างนายเชาจะหนีเงื้อมมือของแม่ผัวกับลูกสะไภ้คู่นี้ไปไหนรอด จึงพิพากษายกฟ้อง..จบข่าว

ก่อนจบผมขอให้ความเห็น ไม่ใช่ข้อมูลที่จะตอบคำถามนี้นะ ว่าการฟ้องหย่าเมียที่มักเกิดจาก 6 สาเหตุที่มหาลัยเพ็นซิลวาเนียได้ทำวิจัยไว้นั้น เป็นเหตการณ์ของคู่สมรสก่อนวัยชรา เมื่อเข้าสู่วัยชราแล้ว มันจะเกิดการฝ่าข้าม (trancendent) การมองเห็นคู่ชีวิตจากเดิมที่เคยมองว่าเป็นสิ่งที่ประกอบขึ้นจากร่างกายและความคิด มันมองเข้าไปเห็นได้ลึกกว่านั้น เมื่อมีสาเหตุอะไรที่เป็นเรื่องระดับร่างกายและระดับความคิดมันจะไม่มีพลังอะไรอีกต่อไปแล้ว เพราะทั้งคู่มองอีกฝ่ายหนึ่งเข้าไปลึกจนเห็นหรือจนแชร์เนื้อในของชีวิตกันได้ เนื้อในนั้นก็คือความรู้ตัว (awareness) หรือสัมปชัญญะ หรือวิญญาณ (consciousness) ของอีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งในที่ลึกระดับนี้ พูดแบบเมตาฟิสิกส์ก็คือมันเป็นคลื่นความสั่นสะเทือนที่สอดผสานกัน พูดแบบบ้านๆก็คือมันเป็นเมตตาธรรม แต่ไม่ว่าจะพูดแบบไหน หากเปรียบเสมือนเป็นสิ่งของมันก็เป็นสิ่งของชิ้นเดียวที่ผ่าแบ่งแยกเป็นหลายๆชิ้นไม่ได้และไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นเจ้าของ นั่นน่าจะเป็นเหตุผลว่าทำไมอัตราการหย่าร้างในวัยชราจึงต่ำมาก

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เจ็ดใครหนอ

สอนวิธีแปลผลเคมีของเลือด

กินคีโตไข่ต้มไก่ต้มทุกวันแล้วหลอดเลือดหัวใจตีบ

ความแก่..เหมือนหมาถูกต้อนเข้ามุมให้จนตรอก

ชีวิตเมื่อตายไปแล้ว

เปลี่ยนอาหาร ปั่นจักรยาน น้ำตาลลด ความดันลด แต่ไขมันทำไมไม่ลด

ท่านอายุเก้าสิบแล้วยังไม่รู้ แล้วท่านจะรู้มันไปทำพรื้อละครับ

สิ่งที่ขาดหายไปจากชีวิตคนเราคือความเบิกบาน (Joy)

อายุ 70 ปีถูกคนในบ้านไล่ให้ไปฉีดวัคซีนไข้เลือดออก

มะเร็งต่อมลูกหมากแพร่กระจายไปกระดูกขาแล้ว จะไปต่อไงดี