อยากให้มีกฎหมายบอกให้ระวังอันตรายของอาหาร ต้องกระทุ้งไปทางไหนครับ
สวัสดีครับคุณหมอสันต์
เมื่อหลายปีก่อน ผมเริ่มออกกำลังกาย เล่นเวทเทรนนิ่ง ตัวเองก็ถือว่าเป็นคนที่มีวินัยในตัวเองพอสมควร ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และพยายามกินอาหารที่มีโปรตีนให้มากที่สุด แต่เนื่องจากทุกเช้าผมค่อนข้างยุ่งช่วงเช้า จึงกินไส้กรอกจากร้านสะดวกซื้อ แบบกินล้วนๆแทนข้าวเป็นอาหารเช้าแทบทุกเช้า สลับกับหมูแฮมบ้าง กินไปได้ปีกว่าๆ จึงมาทราบข้อมูลจาก องค์การอนามัยโลก (WHO) ว่า ใส้กรอก แฮม ฯลฯ เป็น สารก่อมะเร็งชั้นที่ 1A. ซึ่งเป็นตำแหน่งระดับเดียวกับบุหรี่ (ขอขอบคุณ ทั้ง WHO และ ทั้งเว็บหมอสันต์ด้วยที่ให้ข้อมูลภาคภาษาไทยในประเด็นนี้ได้ละเอียดเป็นอย่างยิ่ง)
ณ ตอนนั้น ความรักตัวเอง บวกกับความมีวินัยในตนเอง จึงมีผลให้ ดูแลสุขภาพตัวเองอย่างดี ไม่สูบบุหรี่ ไม่กินเหล้า ออกกำลังกายสม่ำเสมอ กินอาหารที่เชื่อว่าจะดีต่อร่างกาย ซึ่งตอนนั้นเชื่อว่าการเน้นโปรตีนจะดีต่อกล้ามเนื้อ สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เหมือนจะดี แต่แค่เพราะความไม่รู้ในเรื่องอาหารก่อมะเร็งนี้ กลับกลายเป็นว่าพลิกผันความดีทั้งหลายเหล่านั้น มันทำให้เราสะสมปัจจัยเสี่ยงมะเร็งมากและต่อเนื่องยิ่งกว่าคนทั่วไปเสียอีก
โชคดีที่ผมรู้แต่เนิ่นๆ กินอย่างที่ว่าไปแค่ปีกว่า พอรู้เรื่องอาหารก่อมะเร็งก็หยุดทันที กินเน้นผักผลไม้มากขึ้น เลิกเนื้อแดง เนื้อแปรรูป และรวมทั้งเลิกกินเวย์ และนมวัว เปลี่ยนมากินนมถั่วเหลืองบ้าง ส่วนการออกกำลังกายก็ยังคงไว้ ทุกวันนี้ก็ถือว่าเป็นคนที่ร่างกายแข็งแรงไม่ค่อยป่วยไข้อะไร ถ้าผมไม่โชคดีรู้เรื่องนี้แต่เนิ่นๆ แล้วใช้ชีวิตกินแบบเดิมไปเรื่อยๆ ผมเองก็อาจจะเป็นอีกคนหนึ่งที่ลงเอยด้วยมะเร็ง ที่สับสนว่าเราดูแลตัวเองอย่างดี บุหรี่เหล้าไม่เสพ ทำไมต้องลงเอยด้วยโรคที่นำความยากลำบากแก่ร่างกายอย่างนี้
ช่วงอาทิตย์ที่ผ่านมา มีข่าวคนวัยหนุ่มหลายคน ที่ดูเหมือนแข็งแรง บุคลิกหน้าตาดี หน้าที่การงานดี อนาคตน่าจะไปไกล แต่กลายเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย แหล่งข่าวต่างๆมักจะเน้นในประเด็นว่า ดูแลตัวเองอย่างดี ไม่สูบบุหรี่ แต่เป็นมะเร็ง โดยไม่มีข้อมูลใดที่คำนึงถึงเรื่องปัจจัยของมะเร็งที่มาจากอาหารการกินเลย จึงนึกขึ้นมาได้ว่าเราอยู่ในสังคมที่บุหรี่เขียนเตือนเรื่องมะเร็งไว้บนซองชัดเจน และ ห้ามเด็กซื้อ ซึ่งก็ถือว่าดีแล้ว ให้ผู้บริโภคทุกคนได้รับรู้ข้อมูล ส่วนใครที่รู้แล้วแต่ไม่แคร์ใคร่เสพก็ปล่อยให้เสพไป แต่อาหารที่ร้ายไม่แพ้บุหรี่ที่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ชัดเจน กลับมีวางขายหาซื้อได้ง่ายดายทั่วไป ลูกเล็กเด็กแดงซื้อกินได้โดยสะดวกและไม่มีใครเตือนเรื่องมะเร็ง คนที่รู้ส่วนมากก็มีแต่คนที่สนใจหาข้อมูลเรื่องโภชนาการอย่างจริงจัง ชาวบ้านจำนวนมากซื้อไปบริโภคกับพ่อแม่พี่น้องลูกหลานในครอบครัวโดยไม่รู้ข้อมูลเลยว่าของที่กินเป็นสารก่อมะเร็งระดับเดียวกับบุหรี่ และด้วยความที่เป็นของที่หาซื้อง่าย ทำกินง่าย เก็บไว้ได้นานโดยไม่เน่าเสีย จึงกลายเป็นของที่หลายๆบ้านกินกันเป็นประจำทุกวัน คนที่มีญาติพี่น้องที่เป็นมะเร็งย่อมรู้ดีว่ามันนำความทุกข์ทรมานมาให้กับทั้งผู้ที่เป็นและบุคคลรอบข้างมากเพียงไหน การให้ความรู้เรื่องนี้ก็เป็นสิ่งที่ดีและพึงกระทำอย่างยิ่ง แต่มันก็เข้าถึงได้แค่เฉพาะคนบางกลุ่ม คนส่วนใหญ่ของประเทศก็ยังไม่รู้อยู่ดี
จึงอยากทราบว่าถ้าอยากให้ประเทศไทยมีกฎหมายที่บังคับให้อาหารทุกชนิดที่เป็นสารก่อมะเร็งระดับเดียวกันกับบุหรี่ ต้องติดคำเตือนเรื่องมะเร็งเหมือนกับบุหรี่ น่าจะดีไหมครับ และถ้าจะให้เป็นอย่างนั้นได้ต้องเริ่มต้นยังไง ต้องกระทุ้งไปทางไหนครับ ไม่รู้ถามประเด็นใหญ่ไปหรือเปล่า แต่อย่างไรก็ขอบคุณสำหรับความรู้ทุกอย่างที่หมอสันต์ได้นำมาแบ่งปันครับผม
………………………………………………………………….
ตอบครับ
โห.. คำถามของคุณผมตอบไม่ได้หรอกครับ มันเกินปัญญาของผมไปแล้ว ดังนั้นผมไม่ตอบคุณดีกว่า
แต่ขอถือโอกาสนี้ย้ำเตือนให้แฟนบล็อกหมอสันต์ว่าการจะมีสุขภาพดี ต้องกินพืชมากๆ กินเนื้อสัตว์น้อยๆ หากเรียงลำดับเนื้อสัตว์ที่ควรจะเลิกก่อนตามลำดับก็คือเนื้อที่เขาเอาไปบ่มเป็นไส้กรอก เบคอน แฮม ควรต้องเลิกไปก่อนเพื่อน คิวถัดไปคือเนื้อของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมคือเนื้อวัวเนื้อหมู รองลงไปอีกก็ค่อยเป็นเป็ดไก่ปลาปูกุ้งหอยหากจะกินก็กินได้แต่ถ้าลดลงได้ก็ดี ส่วนเครื่องปรุงเช่นกะปิน้ำปลานั้นมันเป็นปริมาณที่น้อยนิดถ้าอยากจะกินต่อก็กินไปเถอะ อย่าไปอ้างเป็นเหตุที่ทำให้เปลี่ยนการกินไม่ได้เลย
การจะเปลี่ยนแปลงตรงนี้คงต้องให้เป็นไปตามกำลังของแต่ละคนแบบค่อยเป็นค่อยไป ใครอยู่ตรงไหนกินเนื้อสัตว์มากหรือน้อยอยู่แต่เดิมก็เริ่มจากตรงนั้น แล้วค่อยๆดึงตัวเองมาทางกินพืชมากขึ้นๆ เช่นเคยกินพืช 10% ต่อมาเพิ่มเป็น 20% ได้นี่ก็เริ่มหรูแล้ว อย่าไปเกี่ยงว่าโฮ้ย มังสะวิรัติน้ำปลาก็กินไม่ได้ไม่เอาหรอก นั่นมันมุมมองของศาสนา แต่เรามองจากมุมของสุขภาพให้ใช้คอนเซ็พท์ spectrum คือค่อยๆขยับมาบนเส้นทางนี้ ไม่ต้องถึงกับต้องขาวหรือดำเท่านั้น
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์