เมื่อหลงทางในชีวิต ให้ตามตัวชี้นำเล็กๆนี้ไป

(ภาพวันนี้: เทียนหยด)

หนูชื่อพญ. … เป็นพชท.2 อยู่ที่รพช. … จังหวัด … ไม่ได้เคยอ่านบล็อกอาจารย์มาก่อน แต่พี่พยาบาลที่เห็นหนูมีความทุกข์แนะนำให้หนูเขียนมาหาอาจารย์ หนูจำใจต้องมาเป็นพชท. อยู่ห่างไกลเพราะโชคไม่ดีตอนจับฉลาก ก่อนออกมาใช้ทุนก็ พูดง่ายว่าหนูอกหักมาด้วย ก็ไม่ได้เสียใจฟูมฟายอะไรนักหรอก เพราะเขาก็ไม่ใช่ว่าเป็นเพื่อนที่ดีอะไร คบกับเขาหนูมีแต่ทุกข์ แต่ออกมาเป็นพชท.หนูยิ่งพบว่าตัวเองทุกข์หนัก หนูเข้าใจว่ามันเป็นความเหงา ว้าเหว่ ขาดเพื่อนที่เข้าใจ อยากจะกลับบ้านไปอ้อนแม่ แต่แม่ก็เพิ่งแต่งงานใหม่ (พ่อเสียชีวิตไปหลายปีละ) มีบ้างเวลาดูคนไข้แล้วช่วยเขาได้ก็มีความอิ่มใจเล็กๆ แต่พอวันหยุดก็เหงาดับจิต เพื่อนๆพชท.เขาก็ไปแต่งงานหรือกลับบ้านไปอ้อนแม่กันหมด เหลือแต่หนูอยู่เฝ้าบ้านพักอยู่คนเดียว

หนูกำลังหลงทางชีวิต

………………………………………………………………

ค่อนข้างจะเป็นจดหมายไร้สาระ แต่ว่าบล็อกนี้ปวารณาตัวไว้สิบกว่าปีมาแล้วว่าจะให้ priority แก่แพทย์และพยาบาลที่มีปัญหาเป็นลำดับสูงสุดก่อน ส่วนผู้ป่วยผู้สูงวัยซึ่งเป็นแฟนประจำของบล็อกนั้นเป็นลำดับถัดไป

ประเด็นที่ 1. เมื่อหลงทางแล้วจะทำไงดี

สมัยก่อนเมื่อผมยังหนุ่มอายุแค่ 17 ปี ชอบไปเดินป่าเป็นลูกกระเป๋งของครูซึ่งเป็นนายพรานล่าสัตว์เป็นอาชีพ (หมอสันต์นี้เป็นคนทำบาปมาก่อน) ป่าที่สัตว์แยะที่สุดในสมัยโน้นคือป่าดอยผ้าห่มปก (จ.เชียงราย) ไม่ใช่สัตว์แยะอย่างเดียว ผีสางนางไม้ก็แยะด้วย มีอยู่ครั้งหนึ่งปลายหน้าฝน เราไปกันสามคน กะว่าจะเดินกันแค่ 3 วันแล้วก็จะลงจึงเตรียมสะเบียงไปแค่นั้น แต่ชื่อของดอยมันก็บอกอยู่แล้ว คือบางส่วนของมันเสียบอยู่ในก้อนเมขตลอดกาล เราเดินขึ้นไปถึงดอยลูกหนึ่งซึ่งบนแปดอยราบเรียบคล้ายภูกระดึงแต่ว่าหมอกครอบคลุมจัดตลอดกาลชนิดที่ยื่นมือกางนิ้วออกไปข้างหน้าจะมองไม่เห็นนิ้วของตัวเอง และเมื่อเดินอยู่ในหมอกได้ค่อนวัน ครูก็ชวนให้วางเป้นั่งพัก และบอกผมกับเพื่อนซึ่งเป็นลูกกระเป๋งว่า

“เราหลงทางเสียแล้ว”

ครูบอกยุทธวิธีขณะนั่งมวนบุหรี่สูบสายตายครุ่นคิดว่า

“ฝนเพิ่งหยุดไปไม่นาน ถ้าเราเดินตามรอยน้ำเก่าๆเล็กๆไป มันจะค่อยๆรวมกันไหลลงไปหาธารเล็กๆ หากเราเจอธารเล็ก เราก็ตามมันไปจนถึงธารที่มีน้ำจริงๆ แล้วเราก็ตามน้ำลงไป มันจะพาเราลงไปต่ำพอที่จะหลุดลงไปต่ำกว่าก้อนเมฆ แล้วเราก็จะมองเห็น แล้วเราก็จะหาทางกลับบ้านได้”

แน่นอนว่าด้วยยุทธวิธีของครูซึ่งเป็นพรานอาชีพ แม้หลงทางแล้วเราก็ยังหาทางกลับบ้านจนพบ

ที่ผมเล่าเรื่องนี้ก็เพื่อจะบอกคุณหมอว่า ในการดำเนินชีวิตนี้ มันจะมีตัวชี้นำเล็กๆตัวหนึ่ง คือความสุขเล็กๆ ความอิ่มใจเล็กๆ ความภาคภูมิใจเล็กๆ ความสนุกเล็กๆ ความกระดี๊กระด๊าเล็กๆ ความตื่นเต้นมหัศจรรย์เล็กๆ เมื่อหลงทางในชีวิต ให้ตามรอยของตัวชี้นำเล็กๆนี้ไป ไม่ต้องไปสนใจสังคม หรือสายตาคาดหมายของคนอื่น หรือการประกวดประขันเอาชนะคะคานกับเพื่อนร่วมรุ่น หรือตัวเลขในบัญชีธนาคาร ทั้งหมดนั้นไร้สาระ ตอนนี้เราตัวคนเดียวและกำลังหลงทาง ให้ทำแค่ตามตัวชี้นำเล็กๆนี้ไป แล้วมันจะพาเราไปหาทางที่ถูกเอง

ประเด็นที่ 2. ตอนนี้เราอยู่คนเดียว เจ้าเพื่อนเลวที่ทำให้เราทุกข์นั้นคือใครกันนะ

เดิมเรามีแฟน เราเป็นทุกข์ พูดแบบบ้านๆว่าเพราะแฟนของเราเขาเป็นคนเลว ตอนนั้นเราอยู่สองคน เราเป็นทุกข์ เราโทษเขา มันฟังดูมีเหตุผลว่าการมีเพื่อนเลวทำให้เราเป็นทุกข์ แต่ตอนนี้เราอยู่คนเดียว แล้วเราเป็นทุกข์ เจ้าเพื่อนเลวที่ทำให้เราเป็นทุกข์ครั้งนี้มันคือใครกันนะ นี่เป็นปริศนาธรรมที่คุณหมอต้องขบให้แตกก่อนที่จะเดินหน้าไปกับชีวิต

สุดยอดปรารถนาของการเกิดมามีชีวิตของทุกชีวิตก็คืออิสรภาพหรือ freedom นิยามง่ายๆว่าคือเมื่อได้อยู่คนเดียวโดยไม่ต้องพึ่งพาใครแล้วก็ยังเป็นสุขอยู่ได้ มีคำพูดอีกคำที่ความหมายคล้ายๆกันคือ “วิเวก” หรือ solitude ซึ่งมีความหมายตรงกันข้ามกับความเหงาหรือ loneliness ซึ่งนิยามว่าเมื่ออยู่คนเดียวแล้วเป็นทุกข์ ต้องได้อยู่กับคนอื่นจึงจะหายทุกข์ ตอนนี้คุณหมอได้อยู่คนเดียวแล้ว ไม่ต้องพึ่งพาใคร มีงานทำ มีเงินเดือนกิน เรียกว่าบนเส้นทางการแสวงหาอิสรภาพคุณหมอมาได้ค่อนทางแล้ว แต่กลับประสบกับความเหงารุนแรง โหยหาการได้แอบอิงพึ่งพิงคนอื่น เท่ากับว่าตอนนี้ชีวิตมาถึงทางสองแพร่ง คือจะยอมเชื่อความเหงาไปค้นหาคนอื่นคือใครสักคนให้เราเกาะหรือพักพิงให้หายเหงา หรือจะเชื่อมั่นในอิสรภาพ เดินหน้าต่อไปแล้วเรียนรู้ความวิเวกคือการมีความสุขเมื่อได้อยู่คนเดียวให้สำเร็จ แน่นอนผมแนะนำอย่างหลัง แต่มันเป็นชีวิตของคุณหมอ คุณหมอเป็นคนตัดสินใจเลือกเอง ไม่ใช่ผม

กลับเข้าประเด็นที่ผมตั้งไว้ เมื่อเราอยู่คนเดียวแล้วเป็นทุกข์ แล้วใครกันนะที่เป็นเพื่อนเลวคอยก่อทุกข์ให้เราแม้ขณะที่เราอยู่คนเดียว คำตอบนั้นไม่ยาก คุณหมอก็เดาได้ ก็คือ “ความคิด” ของเรานั่นไง ที่ทำหน้าที่เป็นเพื่อนเลวคนนี้ เมื่อรู้แล้ววิธีแก้ก็ชัดอยู่แล้ว ก็แค่สลัดเจ้าเพื่อนเลวคนนี้ทิ้งไปเสีย ดังนั้นหัวใจของเรื่องคือการรู้จัก “วางความคิด” คุณหมอไม่เคยอ่านบล็อกของผม ให้ค้นหาบทความเก่าๆเรื่องวิธีวางความคิด ผมเขียนไว้แยะมาก อ่านแล้วฝึกทำตาม หากทำแล้วไม่สำเร็จ ชีวิตยังเป็นทุกข์ ให้หาเวลาสี่ห้าวันมาเข้า Spiritual Retreat ผมให้คุณหมอเข้าเรียนฟรี แค่บอกชื่อและบอกย้ำกับเจ้าหน้าที่ว่าผมสัญญาไว้ว่าจะให้คุณหมอเข้าเรียนฟรี

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เจ็ดใครหนอ

สอนวิธีแปลผลเคมีของเลือด

กินคีโตไข่ต้มไก่ต้มทุกวันแล้วหลอดเลือดหัวใจตีบ

ความแก่..เหมือนหมาถูกต้อนเข้ามุมให้จนตรอก

ชีวิตเมื่อตายไปแล้ว

เปลี่ยนอาหาร ปั่นจักรยาน น้ำตาลลด ความดันลด แต่ไขมันทำไมไม่ลด

ท่านอายุเก้าสิบแล้วยังไม่รู้ แล้วท่านจะรู้มันไปทำพรื้อละครับ

สิ่งที่ขาดหายไปจากชีวิตคนเราคือความเบิกบาน (Joy)

อายุ 70 ปีถูกคนในบ้านไล่ให้ไปฉีดวัคซีนไข้เลือดออก

มะเร็งต่อมลูกหมากแพร่กระจายไปกระดูกขาแล้ว จะไปต่อไงดี