เรื่องไร้สาระ (29) เพชรบุรี, แสงกับเงา, ค้างคาวกับเหยี่ยว
ช่วงนี้ผมต้องเร่งเขียนสคริปต์วิดิโอให้ความรู้ที่จะเอาขึ้นเก็บไว้บนอินเตอร์เน็ทเป็นร้อยม้วน เขียนกันจนตาแฉะก็ไม่จบสักที หมอสมวงศ์เห็นคร่ำเคร่งจึงชวนว่าไปเที่ยวใกล้ๆอย่างเพชรบุรีกันไหม ไปพักบ้านญาติของเราเอง เขามีบ้านพักตากอากาศอยู่ที่ชะอำ ผมก็ว่าเออ ดีเหมือนกัน เพราะผมเกิดมายังไม่เคยเที่ยวเพชรบุรีเลย สมัยหนุ่มๆมักต้องไปประชุมแพทย์ที่ชะอำแต่ก็ได้อยู่ในโรงแรมประชุมเสร็จแล้วก็รีบกลับ
รอบนี้เรารวบรวมคณะสว.ได้ 7 คน เอารถส่วนตัวไปสองคัน ออกจากกรุงเทพแต่เช้า ไปพบกันที่ถ้ำเขาหลวง เพชรบุรี เมื่อเวลา 9.00 น.
ใครว่าลิงไม่เอาไหน
เริ่มต้นก่อนขึ้นถ้ำก็เกิดความสับสนเล็กน้อย ชาวบ้านส่วนหนึ่งแนะนำว่าอย่าจอดรถตรงนี้ลิงมันซน ให้ไปจอดที่วัด ชาวบ้านอีกส่วนหนึ่งแนะนำว่าจอดตรงนี้แหละแล้วเดินขึ้นไปเองเลยแป๊บเดียวก็ถึงแล้ว เขาอยากจะได้เงินจึงจะให้ไปนั่งรถที่วัด ผมฟังความสองข้างก็วินิจฉัยได้ทันทีว่าเป็นกรณีผลประโยชน์ไม่ลงตัวโดยมีลิงซนอยู่ตรงกลาง จะทำตามชาวบ้านค่ายไหนผมไม่มีปัญหาทั้งนั้น แต่ผมไม่อยากเสี่ยงกับลิง จึงเลือกไปจอดที่วัดและนั่งรถขึ้นถ้ำไป พอไปถึงที่เขาขายตั๋วปากทางเข้าถ้ำก็เห็นด้วยว่าลิงที่นี่ซนจริง ถังขยะทุกใบต้องหุ้มเกราะ แม้แต่ร้านขายของฝากและห้องส้วมก็ต้องกรุลวดตะแกรงแบบกรงน้องหมาไว้รอบด้านเหมือนช้อปปิ้งในกรง คนขายตั๋วบอกว่าตอนนี้ลิงมีเป็นหมื่นตัวแล้ว ค่าทำหมันตัวละ 2,000 บาทรัฐบาลมีงบทำหมันให้ปีละ 2 แสน สรุปว่าไม่ทันลิง เธอบอกว่ามันสืบพันธ์เร็วมาก ซึ่งผมก็เห็นกับตาว่ามันขยันสืบพันธ์จริงๆ หิ หิ
ผมคิดถึงคุณมีชัย (สีประกายรุ้ง) ท่านเคยเล่าเป็นโจ๊กให้ผมฟังว่าสมัยท่านเสนอนโยบายวางแผนครอบครัวครั้งแรก จอมพลผู้มีอำนาจสมัยนั้นไม่เอาด้วย เพราะท่านจอมพลไปเชื่อกุนซือคนหนึ่งที่ให้ข้อมูลเชิงทฤษฎีว่าถ้าประชากรเพิ่มถึงจุดหนึ่ง ธรรมชาติจะยุติการเพิ่มประชากรเอง คุณมีชัยก็พยายามไปหาว่าเขาเอาหลักฐานที่ไหนมาพูดอย่างนั้นนะ ในที่สุดก็ไปพบว่า อ้อ มันเป็นทฤษฎีการเลี้ยงแพะ ถ้าแพะมันหนาแน่นไม่มีกินมันก็จะมีลูกน้อย โชคดีที่คุณมีชัยไม่ยอมแพ้ทฤษฎีแพะ จึงออกจากราชการมาทำงานวางแผนครอบครัวแบบองค์กรเอกชนจนประสบความสำเร็จด้วยดีอย่างที่เห็น
แต่ว่าประชากรลิงที่ถ้ำเขาหลวงนี้แม้แต่ทฤษฎีแพะก็คงใช้ไม่ได้ เพราะผมเห็นมีป้ายร้านขายอาหารลิงอยู่ ตราบใดที่ลิงยังมีอาหารกินจากนักท่องเที่ยว ตราบนั้นมันก็ขยันออกลูกไม่เลิก เรื่องลิงล้นหน้าถ้ำนี้จะไปจบที่ไหนผมก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ว่าผมเป็นแค่นักท่องเที่ยวนะ ปล่อยให้อบต.เขาจัดการของเขาไปดีกว่า
เริ่มเที่ยวกันที่ก้นถ้ำ
ถ้าผมจะเล่าตั้งแต่ปากถ้ำปัจจุบันเข้าไปท่านผู้อ่านจะเข้าใจความจริงผิดไป ผมจะไปเริ่มเล่าที่ก้นถ้ำดีกว่า เพราะเมื่อแรกเริ่มที่ร.4 สมัยที่ท่านทรงออกผนวชเป็นพระภิกษุและมาพำนักที่นี่นั้น ทางเข้าถ้ำนี้มีทางเดียว คือปล่องสูงที่ก้นถ้ำที่ผมถ่ายรูปให้ดูนี้ ทุกคนจะเข้ามาต้องไต่รากไม้ลงมาทางรูนี้รูเดียว พอเข้ามาแล้วก่อนจะไปถึงโถงถ้ำใหญ่มีคอคอดซึ่งร.4ทรงให้สร้างกำแพงแบบกำแพงเมืองขวางไว้ มีประตูแบบประตูเมือง เหนือประตูมีกลองใหญ่ มียามเฝ้า พอมีคนแปลกหน้าบุกเข้ามาก็มีการย่ำกลองให้คนในถ้ำรู้ ผมถ่ายรูปจากนอกประตูเมืองเข้ามา เห็นกำแพง เห็นประตู เห็นกลองเหนือประตู เมื่อมองผ่านประตูเมืองเข้าไปจะเห็นพระพุทธรูปสีทององค์ใหญ่ในโถงใหญ่ของถ้ำ
โถงใหญ่ ที่เล่นแสงและเงา
เมื่อเข้ามาในโถงใหญ่แล้ว ผนังถ้ำทุกด้านสวยงามและได้รับการอนุรักษ์ไว้อย่างดีไม่มีที่ติ แสงสว่างที่ลงมาจากรูสูงเหนือศีรษะเปิดโอกาสให้เล่นสนุกกับการถ่ายรูปโดยเน้นแสงและเงา ในโถงนี้มีพระนอนใหญ่ พระนั่งใหญ่ และพระพุทธรูปเล็กๆอีกเพียบ แต่ไม่ได้ไปรบกวนความงามตามธรรมชาติของผนังถ้ำ ซึ่งวิจิตรพิสดารมาก มีซอกมีหลืบแยกแยะออกไป มีหินงอกหินย้อยให้จินตาการว่านี่เป็นช้างสามเศียร นี่เป็นพญานาค นี่เป็นเจ้าแม่กวนอิม ความสวยงามภายในถ้ำแห่งนี้ไม่อาจบรรยายออกมาเป็นภาษาพูดหรือเขียนได้ ท่านต้องมาชมเองเอง โดยท่านต้องมีเวลาพินิจพิเคราะห์ในรายละเอียด จึงจะซาบซึ้งถึงความงามของถ้ำนี้
นอกจากจะเพลิดเพลินกับการเล่นกับแสงและเงาแล้ว ผมถ่ายรูปของเล่นเชิงจินตนาการมาให้สองสามจุด จุดแรกคือที่รูปปูนปั้นของทหารองค์รักษ์นอนอยู่ ถ้าเล็งแสงและเงากับหลืบหินให้ดีจะเกิดภาพม้าขึ้นบนผนัง ทำให้จินตนาการได้ว่านั่นเป็นม้าของทหารองค์รักษ์ผู้นอนยามอยู่ตรงนี้
อีกจุดหนึ่งเป็นผนังถ้ำธรรมดาแต่เมื่อตั้งกล้องทำมุมนิดหนึ่งก็จะได้แสงเงาเป็นคุณตานั่งสมาธิอยู่ คนที่นี่เล่าขานกันว่าเมื่อไม่นานมานี้มีเด็กจะมากระโดดปล่องถ้ำฆ่าตัวตายที่นี่และมาลาตายกับพระพุทธรูปในนี้ทุกองค์ แล้วได้พบกับคุณตานุ่งขาวและได้คุยกันจนเด็กเปลี่ยนใจกลับบ้านแต่โดยดี คุณตาคนนั้นชาวบ้านบอกว่ามีคนได้พบหลายคน เป็นมอญที่ถูกกวาดต้อนมาแล้วถูกนำมาทำงานที่นี่ พอร.5 เลิกทาสแล้วก็ไม่ไปไหน ขออยู่ที่นี่ต่อ…ว่างั้น
อีกจุดหนึ่งเป็นปูนปั้นรูปฤาษีตาไฟนั่งสมาธิอยู่ในความมืด มีคนเอาผ้าดิ้นทองสีคล้ำๆไปห่มให้ ถ้าจัดแสงให้ดีถ่ายรูปออกมาจะได้ภาพสะท้องทองคำเปลวนิดๆในความมืด ดูศักดิ์สิทธิมาก ไม่เชื่อดูรูปถ่าย
ผลงานซ่อมที่ต้องเดาใจช่าง
ตรงด้านหนึ่งของผนังถ้ำมีพระพุทธรูปปางปาลิไลยก์ขนาดใหญ่กว่าคนจริงนั่งอยู่ มือขวาหงายฝ่ามือ มือซ้ายคว่ำฝ่ามือ สำหรับท่านที่ไม่คุ้นเคยกับรุ่นของพระพุทธรูป พระปางปาลิไลยก์ปั้นตามความในพระไตรปิฎกที่เล่าว่ามีอยู่ช่วงหนึ่งพระพุทธเจ้าเบื่อหน่ายพระลูกศิษย์ที่ทะเลาะกันไม่เลิกจึงหลบเข้าไปอยู่คนเดียวในป่าเลไลย์นานโข อาศัยช้างกับลิงเป็นโยมอุปฐาก เป็นพระพุทธรูปปางนี้ผมเข้าใจว่านิยมปั้นกันหลายยุคตั้งแต่ยุคทวาราวดีเป็นต้นมา
ที่ผมพูดถึงพระปางปาลิไลยก์ในถ้ำนี้ก็เพราะมีคนสะกิดบอกผมว่าในรูปถ่ายอนุสรณ์ครั้งดุ๊กโยฮัน อัลเบรกต์ (Duke Johon Alberkt) จากเยอรมันมาเยี่ยมถ้ำเขาหลวงสมัยร.5 ภาพของพระปางปาลิไลยก์หัตถ์ซ้ายฝ่ามือหงายขึ้น แต่ช่างที่มาซ่อมที่หลังซ่อมแล้วกลายเป็นฝ่ามือซ้ายคว่ำลง ผมพินิจดูรูปถ่ายหมู่ซึ่งวางไว้ริมผนังถ้ำนั่นเองก็เห็นจริงตามนั้น และเมื่อกลับไปดูพระพุทธรูปก็เห็นรอยควั่นต่อปูนระดับเหนือข้อมือซ้ายเล็กน้อย จึงเป็นปริศนาว่าทำไมช่างซ่อมไปหมุนมือพระพุทธรูปไป 180 องศา จากหงายเป็นคว่ำ ผมเดาใจช่างว่ามีความเป็นไปได้สองอย่าง คือ (1) ช่างอาจจะเมา (2) ช่างอาจจะดื้อ แบบว่า..
“พระปางปาลิไลยก์ที่ไหนๆเขาก็มือขวาหงายมือซ้ายคว่ำกันทั้งนั้น ฉันว่าช่างรุ่นก่อนที่ปั้นพระปางปาลิไลยก์ของถ้ำเขาหลวงนี้ปั้นแบบไม่รู้เรื่อง ฉันเลยโชว์ฟอร์มแก้ให้ซะเลย..หิ หิ”
วังบ้านปืน
ออกจากถ้ำเราหาอะไรกิน แล้วไปเที่ยวกันต่อที่วังบ้านปืน ซึ่งเป็นวังที่สร้างตั้งแต่สมัยเสด็จพ่อร.5 มาเสร็จเอาสมัย ร.6 แค่มองจากภายนอกก็เลื่อมใสในสถาปัตยกรรมแบบเยอรมันที่ลงตัวสวยงามแล้ว แถมรักษาพื้นที่โดยรอบและต้นหมากรากไม้ไว้ดีเยี่ยม เมื่อเข้าไปข้างในมีทหารหนุ่มรูปหล่อใจดีท่านหนึ่งมาพาเดินชมห้องนั้นห้องนี้ งานก่อสร้างวังแห่งนี้นับว่าฝีมือเนี้ยบและเยี่ยมวรยุทธ์ การออกแบบก็ไม่มีที่ติ แม้จะเป็นสถาปัตยกรรมเยอรมันแต่อยู่เมืองไทยก็ไม่ร้อนเพราะมีการเพิ่มช่องลมเหลือประตูหน้าต่างแล้วทำชายคายื่นคุ้มกันไว้ ผิดจากอาคารทรงยุโรปที่อยู่ในยุโรปทั่วไปซึ่งหากเอามาตั้งเมืองไทยก็คงร้อนตับแล่บ โถงด้านหน้าปูพื้นด้วยกระเบื้องตัดเป็นรูปทรงโค้งที่ไม่รู้ใช้อะไรตัดจึงตัดได้เนี้ยบเหลือเกิน เมื่อมองลงมาจากชั้นบน เส้นโค้งของกระเบื้องและเงาแสงจากประตูหน้าสร้างภาพหลอกตาทำให้ดูเหมือนพื้นโถงชั้นล่างนูนขึ้นเป็นรูปโดม
ห้องที่น่าทึ่งที่สุดคือห้องบรรทม เสาทุกต้นหุ้มฉาบด้วยทองแดงแกะลวดลายแบบยุโรป เหนือประตูอาร์คโค้งทุกบานมีภาพวาดแนวอาร์ต นูโว ของจริง ผมถ่ายรูปมาให้ดูบานหนึ่ง ภายในวังมีตุ๊กตาเทพตัวเล็กตัวน้อยอ้วนจ้ำม่ำสไตล์ศิลปะแบบรอคโคโคเยอรมัน น่ารัก กระจายอยู่ทั่วไป ข้างหลังวังเป็นสวนแบบอังกฤษคลาสสิก เดินชมวังบ้านปืนจบแล้วไม่น่าเชื่อว่าในเมืองไทยนี้จะมีอาคารที่สร้างได้อย่างพิถิถันอย่างนี้อยู่ด้วย
นอกจากตัวอาคารแล้ว หากไม่นับหุ่นสลักสีดำเป็นเทพโปไซดอนยืนโชว์จู๋อยู่หนึ่งองค์แล้วอย่างอื่นไม่มีอะไรเลย ในห้องส้วมบางห้องมีโถส้วมชักโครกแบบโบราณติดตั้งอยู่ แต่ผมมั่นใจว่านั่นไม่ใช่ของจริง เพราะผมเคยอ่านบันทึกของท่านเจ้าคุณนรรัตน์ว่าสมัยหนุ่มๆท่านเป็นมหาดเล็กที่รับใช้ใกล้ชิดพระเจ้าอยู่หัวร.6 ท่านเล่าว่าหน้าที่หลักของท่านก็คือเอาโถพระบังคลหนักเบาออกไปทิ้งทุกวัน นั่นเป็นหลักฐานอย่างชัดว่าสมัยร.6 ยังไม่มีส้วมชักโครกใช้
พระนครคีรี
ออกจากวังบ้านปืนเราไปขึ้นรถรางขึ้นเขาไปเที่ยวพระนครคีรี ฝนตกพรำๆทำให้พื้นลื่นแต่สิ่งที่ได้มาคืออากาศเย็นลงทำให้เดินเที่ยวสนุกขึ้น เมื่อขึ้นไปถึงหมู่อาคารอันเป็นจุดสูงสุดของพระนครคีรี ผมถามเจ้าหน้าที่ว่ามองทะเลต้องมองทางไหน เขาพามายืนชี้ทิศให้
จากจุดนี้มองลงไปทิศตะวันออกเฉียงใต้ หากมองข้ามหมู่หลังคาตึก บ้าน และวัดวาอารามอันแออัดยุ่งเหยิงออกไป ไกลออกไปหน่อยเป็นนาข้าวที่มีต้นตาลแทรกอยู่ทั่วไป ไกลออกไปอีกเป็นป่าชายเลนซึ่งเริ่มเจือสีฝ้าจางๆของไอฝน ไกลออกไปอีกจึงเห็นทะเลไรๆเชิดขึ้นสูงเหมือนฉากละคร สีฟ้าหม่นของทะเลเบลนด์ไปกับท้องฟ้าอย่างไม่รู้ว่าทะเลจบที่ไหนท้องฟ้าเริ่มที่ไหน ช่างเป็นทิวทัศน์ที่สวยงามตรึงตาตรึงใจเสียนี่กระไร โอ้..ใครหนอเป็นคนแรกที่บอกว่าจุดนี้วิวดีขนาดนี้สมควรจะสร้างวังขึ้นตรงนี้ ขอขอบคุณผู้สร้างสรรค์สิ่งสวยงามนี้ไว้ให้คนรุ่นหลังอย่างผมได้มาชื่นชม
เราเข้าชมด้านในของวังซึ่งไม่มีความวิจิตรพิสดารอะไร เข้าใจว่าพระเจ้าอยู่หัวร.4 อิ่มกับความวิจิตรของผนังถ้ำเขาหลวงแล้วคงจะเห็นว่าป่วยการจะตกแต่งวังอย่างไรก็ไม่ได้ครึ่งของถ้ำเขาหลวงดอก จึงไม่ต้องแต่งมันซะงั้น ที่น่าสนใจก็คือห้องบรรทม ซึ่งมีขนาดเล็ก ลึกลับ และซุกซ่อน ต้องฝ่าด่านคนเฝ้าซึ่งเป็นประตูเล็กๆชนิดที่ฝรั่งตัวสูงแทบจะต้องคลานเข้าไป นี่เป็นคอนเซ็พท์เดียวกับที่พักในถ้ำเขาหลวงเช่นกัน คือระแวดระวังไม่ให้อะไรเข้ามาถึงตัวได้ง่ายๆ
แล้วเราเดินชมข้างนอก มีหอดูดาว ตัววัง และส่วนที่เป็นปราสาท พื้นที่โดยรอบมีเหล่าฝูงลิงเป็นผู้อยู่อาศัยหลัก ผมสังเกตว่ามันยังชีพอยู่ด้วยอาหารเป็นกล่องเป็นถุงของนักท่องเที่ยวรวมทั้งเครื่องดื่มในกล่องเตตราแพคและในขวดพลาสติกซึ่งมันดูดหรือดื่มกันอย่างตั้งใจ ขอบคุณน้ำตาลที่เพิ่มเข้ามาในเครื่องดื่ม หวังว่าพวกเจ้าคงจะไม่เป็นเบาหวานเร็วเกินไป ขณะเดินดูรอบหอดูดาวของร. 4 ผมเหลือบเห็นลิงตัวหนึ่งกำลังเด็ดหญ้าแห้วจากกระถางต้นไม้บนกำแพงกินอย่างตั้งอกตั้งใจจึงหยุดดู เดาเอาว่ามันคงจะกินสักเส้นสองเส้นเพื่อเป็นยาแล้วหยุด แต่ปรากฏว่ามันเด็ดหญ้าแห้วหมูในกระถางกินจนเกลี้ยงกระถาง ผมนึกยิ้มในใจ มันคงรู้ว่าอาหารบรรจุเสร็จเป็นกล่องเป็นซองที่คนยื่นให้นั้นคงจะไม่มีอะไรไปเลี้ยงจุลินทรีย์ในลำไส้ของมัน มันจึงหันมากินหญ้าเป็น prebiotic ชดเชยอย่างเอาเป็นเอาตาย
เดิมตั้งใจว่าจะเดินเท้าไปที่วัดแก้วซึ่งอยู่ที่เขาอีกลูกหนึ่ง แต่ฝนทำให้เปลี่ยนใจ ลงจากเขาไปเที่ยววัดใหญ่แทน
วัดใหญ่สุวรรณาราม
ค่ำแล้ว เราไปเที่ยวกันต่อที่วัดใหญ่สุวรรณาราม ฟังว่าเป็นวัดสมัยอยุธยาที่ยังมีอะไรเก่าๆแท้ๆให้เห็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งลายแกะสลักประตูโบสถ์รุ่นอยุธยาซึ่งไม่มีเหลือให้เห็นในที่อื่นอีกแล้ว
เมื่อเราไปถึงวัดก็ตรงรี่เข้าไปดูประตูไม้ที่ว่า ผมเห็นว่า “ป้า” ผู้ร่วมคณะเดินทางของเราเป็นผู้มีพื้นเพอยู่แถบนี้จึงขอให้ท่านเป็นมัคคุเทศก์บรรยาย ผมถามว่า
“ประตูนี่มันมีความมหัศจรรย์ตรงไหนหรือครับ”
คุณป้าชี้ไปที่รูใหญ่บนประตูขนาดขวดน้ำปลาขวดเล็กๆลอดได้และว่า
“ความมหัศจรรย์มันอยู่ตรงนี้” ผมถามต่อว่า
“มันคือรูอะไรครับ” เธอตอบว่า
“รอยขวานจาม”
“อ้าว..แล้วใครเอาขวานไปจามเข้าละครับ” คุณป้ามัคคุเทศก์กิตติมศักดิ์ตอบว่า
“ก็ขโมยอะสิ”
ฮะ ฮะ ฮ่า ตะแล้น ตะแล้น ตะแล้น
เราเดินชมภายในโบสถ์ไม้ซึ่งมีภาพเขียนบนผนังไม้แต่ว่าเลอะเลือนน่าเสียดายมาก แล้วก็มาดูภาพเขียนภายในโบสถ์ปูน เข้าใจว่าเป็นภาพเขียนด้วยสีฝุ่น เลอะเลือนน่าเสียดายเช่นกัน ผมถ่ายรูปมาให้ท่านเห็นความสวยงามภาพหนึ่ง น่าจะเป็นภาพแม่ธรณีบีบมวยผม เป็นภาพที่เขียนได้สวยงามมากจริงๆ คนรุ่นหลังคงจะไม่ได้เห็นภาพนี้เสียแล้วเพราะตอนนี้ผนังปูนก็หลุดร่อนไปมากแล้วพอควร
ยังชมวัดใหญ่ไม่จบดีฝนก็เทลงมา เราต้องยกเลิกที่จะไปชมวัดเกาะและถอยทัพขึ้นรถมุ่งหน้าเข้าที่พักที่หาดชะอำ
ถ้ำเขานางขวาง
วันรุ่งขึ้นเราใช้เวลาครึ่งวันพักผ่อนอยู่บ้านริมทะเล ผมลงลอยคอในทะเลและขึ้นมาตากแดด คนอื่นเขียนภาพบ้าง เดินเล่นบ้าง ตกเที่ยงก็ออกไปกินข้าวที่แพปลา แล้วขับรถตั้งใจจะไปดูวังมฤคทายวันและบ้านเจ้าพระยารามราฆพแต่ปรากฎว่าเขาปิด พอดีสมาชิกท่านหนึ่งเกิดอาการแพ้ท้องอยากกินไอติมชนิดหนึ่ง จึงขับต่อไปถึงหัวหิน ซื้อขนมปังบาแกตตุนไว้ตอนเช้า และแวะร้านไอติมในซอยข้างๆซึ่งเสริฟไอศครีมในโอ่งเล็กๆ ที่น่าสนใจกว่านั้นคือป้ายหน้าร้าน
“ถ้าท่านไม่ชอบแมวให้นั่งกินที่หน้าบ้าน
ไม่ต้องเข้าไปในบ้าน
จะได้ไม่ต้องดราม่าเวลาเจอแมว”
เมื่อมองผ่านกระจกเข้าไปจึงเห็นว่าภายในร้านซึ่งติดแอร์ดิบดีนั้นมีแมวยั้วเยี้ยทุกเพศทุกวัยนับได้สิบกว่าตัว สมาชิกท่านหนึ่งจึงว่า
“พวกเรานั่งข้างนอกละกัน เขาจะได้ไม่ต้องทนดูดราม่าคนแก่”
อิ่มแล้วเราขับกลับจะเข้าที่พัก ผมบอกหมอพอให้พาแวะไปถ้ำเล็กๆใกล้ที่พักเพื่อไปดูพระพุทธรูปยุคทวาราวดีที่ถ้ำนี้ จึงนัดแนะกับป้าซึ่งเป็นคนขับรถอีกคันหนึ่งว่าเราจะไปถ้ำเขานาขวาง ถ้ามีเวลาก็จะแวะดูโบราณสถานยุคทวารวดีโคกเศรษฐีซึ่งขุดเจอใหม่แถวนี้ แล้วจะไปดูค้างคาวยกทัพบินออกจากถ้ำที่ตำบลนายาวเวลา 17.30 น. แล้วต่างคนต่างก็ขับกันไปของใครของมัน เพราะไม่ว่าใครขับก็ต้องอาศัยกู คือกูเกิ้ลกันทั้งนั้น
เราขับชมท้องนาที่มีต้นตาลขึ้นที่นั่นบ้างที่นี่บ้าง ผมเพิ่งรู้ว่าชะอำมีชนบทมีท้องนาที่เงียบสงัดเพียงนี้ นาข้าวเพิ่งปักดำไปมีสีเขียวสลับกับสีเงินของผิวน้ำบนท้องนาที่ยังไม่ได้ปักดำ ตาลเดี่ยวยืนต้นอยู่กลางนาอย่างสงบเสงี่ยม ช่างเป็นบุญตาที่ได้มาสัมผัสบรรยากาศที่ไม่คาดว่าจะได้สัมผัสที่ชะอำ ไม่มีแม้แต่สายไฟฟ้าให้รกตา พอเราขับไปถึงปลายถนนที่กูเกิลบอกก็เห็นป้ากำลังตะโกนสัมภาษณ์ชาวบ้านอยู่อย่างเอาเป็นเอาตาย ขณะที่ชาวบ้านทำหน้าเหรอหรา เธอตะโกนซ้ำๆว่า
“จะไปถ้ำค้างคาวไปทางไหนคะ”
ผมจึงเปิดกระจกรถตะโกนออกไปว่า
“ไม่ใช่ ป้า เราไม่ได้ไปถ้ำค้างคาว เราจะไปถ้ำเขานาขวาง”
คุยกันอยู่นานจึงได้รับคำแนะนำว่าให้ขับรถแยกขึ้นถนนป่าหญ้านี้ขึ้นไปแล้วจะไปถึงเอง ดูสาระรูปของถนนที่เป็นหญ้ารกมีต้นกระบองเพชรสองข้างแล้วป้าไม่กล้าขับขึ้น ผมจึงให้หมอพอขับนำลุยพงหญ้าขึ้นไป ในที่สุดก็มาถึงตีนบันได้ เราเดินขึ้นบันได้ไปอีกราย 50 ขั้นก็ถึงถ้ำ และก็ได้เห็นพระพุทธรูปทวาราวดีสมใจ และยังแถมได้เห็นพระนอนขนาดใหญ่สร้างซุกซ่อนไว้ตอนบนของถ้ำอีกด้วย ผมปีนขึ้นไปดู บรรยากาศวังเวงมาก จนผมอดไม่ได้ต้องนั่งหลับตาทำสมาธิอยู่นานสองสามนาที พลพรรคอยู่ข้างล่างไม่กล้าขึ้นมา ทำท่าทางกลัวความศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าที่เจ้าทาง ผมตะโกนว่าขึ้นมาได้ พลพรรคคนหนึ่งพูดตลกว่า
“เฮ้.. หลวงพ่อบอกไม่เป็นไรขึ้นไปได้ ขึ้นเลย”
ออกจากถ้ำเขานางขวางซึ่งไม่มีใครรู้จักแล้ว เราขับลงไปข้างล่างแวะดูแหล่งโบราณคดีโคกเศรษฐีซึ่งเพิ่งขุดค้นใหม่ หมอพอบอกว่าของที่ขายได้ขโมยควักไปขายหมดแล้ว ของที่ยังดีแต่ขายไม่ได้กรมศิลป์เอาเข้าไปเก็บในพิพิธภัณฑ์ ที่นี่จึงเหลือแต่อิฐ ผมบอกพลพรรคว่า
“ถ้าจะดูของในยุคทวาราวดี อย่าคาดหวังว่าจะเห็นอะไรมาก นอกจากอิฐเก่าและใบเสมาหิน”
ค้างคาวกับเหยี่ยว
จากนั้นขับไปดูค้างคาวที่ตำบลนายางซึ่งไม่ไกลจากที่พัก ตั้งใจไปให้ถึงทันเวลา 17.30 น.เพราะกูเกิลบอกว่ามันจะออกจากถ้ำเวลานี่เป๊ะไม่เกี่ยวกับตะวันตก แต่เราไปรอตั้งนานมันก็ไม่ออกมาสักที หมอพอบอกว่ามันจะออกมา 20 นาทีก่อนตะวันตก วันนี้ตะวันจะตก 18.40 น. ดังนั้นเราต้องรออีกชั่วโมงหนึ่ง หลายคนเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ก็เริ่มเมื่อยขาและเข้าไปเอกเขนกรอในรถ มีหญิงชาวบ้านวัยกลางคนคนหนึ่งขับมอไซค์ผ่านมา เธอจอดรถคุยกับพวกเราว่าไม่ได้เห็นนักท่องเที่ยวมาดูค้างคาวหลายปีแล้วตั้งแต่โควิด เธอปลอบว่าเดี๋ยวค่ำๆค้างคาวก็จะออกมาแน่ ใจเย็นๆ พวกเราก็ตกลงว่าจะเย็นกันต่อไปอีก
นานอีกหนึ่งอสงไขย์ก็มีลุงชาวบ้านผมขาวคนหนึ่งขี่มอไซค์ผ่านมา เขาเบาเครื่องลง ไม่ได้จอดรถ แต่ยกนาฬิกาขึ้นดู แล้วตะโกนบอกพวกเราว่า
“อีกเจ็ดนาทีมันจะออกมา ให้ดูเหยี่ยว เหยี่ยวจะมาก่อน”
ผมดูแล้วอีกเจ็ดนาทีก็เป็นเวลาใกล้เคียงกับที่หมอพอบอก แต่ข้อมูลที่ว่าเหยี่ยวจะมาก่อนทำให้ผมหันไปสนใจเหยี่ยวแทน และก็เป็นดังคาด ไม่กี่นาทีต่อมาเหยี่ยวสองตัวก็บินมา ตัวหนึ่งจอดซุ่มอยู่ที่กิ่งไม้หน้าผาไม่ไกลจากปากปล่องถ้ำค้างคาว อีกตัวหนึ่งถลาลมเล่นอยู่ไกลออกไป
สักครู่ก็มีเสียงเอะอะจากพลพรรคของเราเอง จับความได้ว่าฝูงค้างค้าวออกมาแล้ว จริงดังว่า มีเสียงดังซู่ ค้างคาวไม่รู้กี่หมื่นกี่แสนตัวบินออกจากปากถ้ำแบบแถวหน้ากระดานเรียงสิบต่อเนื่องกันยาวเหยียดเป็นรูปตัวเอสยาวหลายร้อยเมตร ตัวนำพาขบวนเชิดหัวขึ้นบนท้องฟ้า พากันบินไปไกลลิบสุดลูกตา
ฉับพลันนั้นเหยี่ยวที่คอยอยู่ก็พุ่งเข้าใส่กลางแถวขบวน ค้างคาวส่งสัญญาณให้กันแล้วแปรอักษรให้ขบวนเลื้อยเหมือนงูหลบเหยี่ยวได้อย่างสวยงาม เหยี่ยวจึงพุ่งเข้าสู่ความว่างเปล่า แต่มันไม่เลิกแค่นั้นมันวนกลับมาอีกรอบ เวลาของมันยังมีอีกแยะ เพราะชาวบ้านบอกว่าค้างคาวใช้เวลายกทัพออกจากถ้ำราวครึ่งชั่วโมงจึงจะหมด
เหยี่ยวพุ่งมาอีกแล้ว ค้างคาวแปรอักษรหลบได้อย่างสวยงามอีก เป็นอย่างนี้ครั้งแล้วครั้งเล่าร่วมสิบครั้ง แล้วก็มีอยู่ครั้งหนึ่งเหยี่ยวบินแบบหักมุมทันทีเจาะเข้ากลางแถวค้างคาวได้สำเร็จ ค้างคาวแตกแถวกระเจิง แล้วเหยี่ยวก็บินจากไป ผมเข้าใจว่าคงได้อาหารเย็นติดมือกลับบ้านไปแล้วเรียบร้อย
เหยี่ยวไปแล้ว กองทัพค้างคาวยังเดินหน้าเสียงดังซู่ ซู่ มีกันตั้งเป็นล้าน ถูกเหยี่ยวแฮ้บไปตัวสองตัวไม่พรือหรอก
พวกเราดูค้างคาวอยู่นานเกือบยี่สิบนาทียังไม่มีทีท่าว่าจะหมด เลยตัดสินใจเดินหน้ากลับที่พักเพราะเมื่อยคอแล้ว
แหลมผักเบี้ย
วันรุ่งขึ้นเราเสวยสุข แช่น้ำทะเล และตากแดดอยู่ที่บ้านริมทะเลอีกครึ่งวันจนถึงเที่ยงวันจึงออกเดินทางกลับกรุงเทพ แวะชมโครงการวิจัยการกำจัดน้ำเสียที่แหลมผักเบี้ยซึ่งให้ความรู้ดีมาก แต่ผมถ่ายรูปมาให้ดูรูปเดียว เป็นผลโกงกางรูปมีดดาบเอาปลายชี้ลง ยามเมื่อมันแก่ได้ที่มันจะหล่นลงเอาปลายมีดดาบปักบนขี้เลนกระจายเป็นตับอยู่บนผิวโคลนเต็มไปหมด แล้วจากนั้นด้ามดาบก็จะแตกใบออกมาเป็นโกงกางต้นใหม่..อะเมซซิ่ง
ออกจากแหลมผักเบี้ยเราแวะกินกลางวันริมทาง ก่อนที่จะแยกย้ายกลับบ้านใครบ้านมัน เป็นอันจบทริปนี้
ก่อนจบ หมอสันต์ขอขอบคุณญาติผู้น่ารักที่เอื้อเฟื้อที่พักในการเที่ยวครั้งนี้ไว้ตรงนี้ด้วยนะครับ
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์