เป็นหมอรักษาคนไข้อยู่ จะไปเป็นหมอบริหารดีไหม
(ภาพวันนี้: เห็ดตีนช้างที่สวนป่ามิยาวากิ หมอสันต์ไม่กล้ากิน กลัวเป็นโรคเท้าช้าง)
เรียน อ.สันต์ที่เคารพครับ
ผมเป็นหมอ Fammed อยู่ที่ PCU แห่งหนึ่ง เป็น full time คนเดียวมา 10 กว่าปีแล้วครับ ตรวจคนไข้ทุกวัน เดินทางก็สะดวกใกล้บ้าน โดยรวมก็มีความสุขดีประมาณนึง ไม่มีภาวะขัดสนเรื่องเงินทองแต่อย่างใด (รายได้ 120K+ต่อเดือน) ครอบครัวก็ไม่ได้เรียกร้องว่าต้องมีรายได้ หรือตำแหน่งมากกว่านี้ (แต่อาจารย์, รุ่นพี่ และเพื่อนๆมักบอกว่าอยู่แค่นี้ไม่ได้นะ) ตอนนี้ PCU อีกแห่งหนึ่ง ซึ่งก็ใกล้บ้านเหมือนกันเพิ่งว่าง ผมจะย้ายไปก็ได้ ซึ่งถ้าย้ายไปมีข้อดีคือจะได้เงินเดือนมากขึ้น ตำแหน่งใหญ่ขึ้น เพราะเป็น PCU ที่ใหญ่กว่า แต่ข้อเสียคืองานจะเครียดมากขึ้น รับผิดชอบมากขึ้น แนวโน้มคงจะต้องทำแต่งานบริหารอย่างเดียว เดินสายประชุมทุกวัน แทบจะไม่ได้ตรวจคนไข้เลย ผมเองยังชอบตรวจคนไข้อยู่ และไม่ได้ชอบงานบริหารมากนัก (บางทีถึงขั้นเกลียดที่ต้องถูกบังคับทำตามโครงการและตัวชี้วัดไร้สาระของเบื้องบนอยู่บ่อยๆ) รวมถึงเป็นคนที่เครียดง่าย มีภาวะที่เกิดจาก psychosomatic problem ได้ง่าย แต่ก็รู้สึกเสียดายว่าจะเป็นการยึดติดกับ safe zone มากไปหรือเปล่า , ถ้าเราปรับตัวได้ เราอาจจะสร้างประโยชน์ในวงกว้างจากการเป็นผู้บริหารได้มากกว่าการตรวจคนไข้ของเราเพียงอย่างเดียว คือมีทั้ง pro and con อยู่คู่กันครับ
อยากเรียนถามมุมมองการตัดสินใจในเรื่องนี้ของอาจารย์ครับ
ด้วยความเคารพอย่างสูง
นพ. …
………………………………………………………….
ตอบครับ
1.. ถามว่าเป็นหมอรักษาคนไข้อยู่ที่คลินิกก๊อกๆแก๊กๆแล้วมีความสุขดีมีรายได้พอตัวแต่ใครต่อใครทั้งอาจารย์รุ่นพี่และรุ่นเพื่อนต่างก็รุมว่า “เฮ้ยอยู่แค่นี้ไม่ได้นะ เอ็งจะจมปลักนะโว้ย” แล้วจะเอาไงดีครับ ตอบว่านี่มันไม่ใช่ปัญหาของคุณหมอคนเดียว คนจำนวนมากก็เจอคำถามแบบนี้ คนอาชีพหมอจะเป็นมากกว่าคนอาชีพอื่นหน่อย เรียกตามวิชาจิตวิทยาว่ามันเป็นสัญชาติญาณฝูง (herd instinct) สมมุติเช่นวัวมันวิ่งตามกันไปกึง กึง กึง เป็นโขลง แต่ละตัวมันไม่รู้หรอกว่ามันจะวิ่งไปที่ไหนกัน พวกแถวหน้าพาวิ่งไปทางไหนพวกอยู่ข้างหลังก็กรูตามกันไป พวกที่อยู่แถวหน้าก็ไม่ใช่ว่าจะรู้นะ มันรู้แต่ว่ามันต้องวิ่ง ถ้ามันไม่วิ่งมันจะโดนพวกที่กรูตามมาข้างหลังเหยียบเอา
ที่ผมว่าคนอาชีพหมอเป็นมากกว่าคนอาชีพอื่นนี้ผมไม่มีหลักฐานอะไรดอก แต่มันเป็นข้อสรุปจากการสังเกตเพื่อนร่วมอาชีพจำนวนมากมาเป็นเวลานาน ผมจึงสรุปเอาเองว่าคนในอาชีพแพทย์นี้เป็นคนแบบไม่มีจุดยืนในชีวิต ถนัดแต่เฮโลตามกันไป นับตั้งแต่เฮโลตามกันมาจากโรงเรียนเตรียม จากนั้นก็เฮโลตามกันเรื่อยไป แล้วไม่ใช่ว่าจะเฮโลแต่เมื่ออยู่ในฝูงนี้นะ พอไปอยู่ฝูงอื่นก็ไปเฮโลตามฝูงเขาไปอีก สมัยหนุ่มๆผมไปเป็นแพทย์ใช้ทุนอยู่จ.นครศรีธรรมราช สมัยนั้นเมื่อไปอยู่บ้านนอกเราถูกตัดขาดจากความศิวิไลซ์โดยอัตโนมัติ เพราะไม่มีคอมพิวเตอร์ไม่มีอินเตอร์เน็ทไม่มีมือถือ ยุคนั้นมันเป็นยุค “ใต้ร่มเย็น” หมายความว่าปักษ์ใต้สมัยโน้นยังเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนโจรผู้ร้ายชุกชุม คนไข้มาโรงพยาบาลขามาถูกโจรปล้นถูกยิงขาหัก นอนรักษาขาในโรงพยาบาลได้สามเดือน ขากลับยังไปไม่ถึงบ้านถูกปล้นกลางทางอีกแระ การปราบโจรสมัยนั้นแม่ทัพภาคสี่ต้องเอาทหารทั้งหมวดปลอมตัวเป็นผู้โดยสารทำทีเป็นนั่งโดยสารรถทัวร์ไป พอโจรปล้นรถทัวร์ก็เจอของแข็งตายเรียบ ต้องทำกันถึงขนาดนั้น ยุคนั้นเป็นยุคที่รัฐบาลเพิ่งเริ่มส่งแพทย์หนุ่มๆสาวๆออกไปใช้ทุน พวกเราที่อยู่อำเภอต่างๆเดือนหนึ่งก็จะมาเจอกันที่จังหวัดเพื่อรับเงินเดือนทีหนึ่งเพราะสมัยนั้นยังไม่มีเทคโนโลยีแบบโอนเงินเข้าบัญชี ทำให้พวกเราหมอภูธรสนิทสนมกันและได้แลกเปลี่ยนกันมาก ผมเป็นน้องเล็กสุดได้ประโยชน์มากที่สุด ผมสังเกตดูพี่ๆว่าคนที่ไปอยู่ฉวางเขาก็คุยแต่เรื่องที่เขาเลี้ยงวัวชนและพูดถึงแต่ศาสตร์อันลึกซึ้งของการเลี้ยงวัวชน ส่วนคนที่ไปอยู่ที่หัวไทรเขาก็จะพูดถึงแต่เรื่องอยากจะเลี้ยงกุ้งกุลาดำ (สมัยโน้นยังเป็นเรื่องใหม่) คือผมเห็นว่าแพทย์เรานี้เป็นมนุษย์พันธุ์ที่ไม่มีพันธกิจวิสัยทัศน์ในชีวิตของตัวเองชัดเจนแน่นอนอะไรหรอก เป็นพันธ์ุไม้หลักปักขี้เลน ไปปักอยู่ที่ไหนก็จะโอนตามฝูงที่นั่นไป
เพราะฉะนั้นการที่คุณหมอมีใจโอนไปเอนมาเพราะอาจารย์บ้างพี่บ้างเพื่อนบ้างเขาว่าอย่างนั้นอย่างนี้ มันเป็นธรรมดาและเป็นธรรมชาติของเผ่าพันธุ์เรา แต่ผมแนะนำคุณหมอว่าคุณหมอต้องเลือกว่าจะตามฝูงเขาไปแบบวัวที่ปกติธรรมดาตัวหนึ่งพึงทำ หรือว่าจะยืนหยัดอยู่กับดาวประจำใจของตัวเองโดยไม่ว่อกแว่ก จะเอาอย่างไหน คุณหมอเลือกเอง
“…พายุฟ้า ครืนข่ม คุกคาม
เดือน ลับยาม แผ่นดิน มืดมน
ดาวศรัทธา ยังพรายแสง เบื้องบน
ปลุก หัวใจ ปลุกคน อยู่มิวาย…”
2.. ถามว่าการเป็นหมอรักษาคนไข้กับการก้าวหน้าไปทำงานบริหารมันต่างกันอย่างไรอย่างไหนดีกว่ากัน ตอบในฐานะคนที่ทำมาแล้วทั้งสองอย่างว่ามันมีดีเสียคนละอย่างสองอย่าง งานรักษาคนไข้มันเป็นการทำทุกอย่างตามตำราควบคู่ไปกับการใช้จิตวิทยาในการบรรเทาทุกข์ให้ผู้คน ส่วนงานบริหารมันเป็นการใช้คอมมอนเซนส์แก้ปัญหาไปวันๆ ที่พูดอย่างนี้ไม่ใช่ว่าผมไม่รู้หลักวิชาบริหารเลยนะ (คุณอาจจะไม่รู้ว่าช่วงหนึ่งของชีวิตผมเคยเป็นอาจารย์สอนนักเรียนระดับปริญญาโทที่สถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจศศินทร์) เมื่อมันเป็นแค่การใช้คอมมอนเซ็นส์จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องประดับประดาด้วยพิธีกรรมเพื่อให้มันขลังขึ้น การที่คุณพูดถึงโครงการและตัวชี้วัดไร้สาระนั่นก็แสดงว่าคุณพอจะเข้าใจวิชาบริหารอยู่บ้าง สรุปว่ามันมีดีเสียคนละอย่าง คุณชอบอย่างไหนก็เลือกอย่างนั้น แต่อย่าทำมันทั้งสองอย่าง เพราะการใช้ชีวิตแบบถ่างขาเหยียบสองแคมอย่างนั้นมันจะทำให้ใช้ชีวิตได้ไม่ลึกซึ้งถึงกึ๋น และมันทำให้เรากลายเป็นคนสองบุคลิก แบบว่าเป็นคนปลอมๆ ไม่ใช่คนจริงๆ ผมไม่แนะนำ แม้ว่าผมจะเคยทำอย่างนั้นมาแล้วก็ตาม
3.. ถามว่าการทำงานบริหารเนี่ยมันจะช่วยสร้างชาติสร้างโลกได้มากกว่าการนั่งตรวจคนไข้อย่างเดียวหรือเปล่าครับ ตอบว่า หิ หิ ช่างเป็นคำถามที่ไร้เดียงสา..ซะ คุณลองยกตัวอย่างสุดยอดของนักบริหารในประวัติศาสตร์ของโลกนี้มาให้ผมฟังสักสองสามคนสิ สมมุติเช่น แฟรงกลิน ดี โรสเวลต์ อเล็กซานเดอร์มหาราช เจงกิสข่าน (สำหรับหมอสันต์สุดยอดนักบริหารในประวัติศาสตร์มนุษย์ชาติคือ ลื่อปุ๊กอุ้ย ซึ่งเป็นพ่อแท้ๆของจิ๋นซีฮ่องเต้ในยุคเลียดก๊กนู้น) แต่คุณหมอเหลียวไปมองรอบๆตัวสิ สิ่งที่สุดยอดนักบริหารเก่งๆเหล่านั้นทิ้งไว้ให้ชนรุ่นหลังมีอะไรบ้าง มีแต่ขี้ทั้งเพ ยิ่งเขาเป็นนักบริหารที่เก่งและกล้าตัดสินใจ อย่างฮิตเลอร์หรือแฮรี่ทรูแมน เขาก็ยิ่งทิ้งขี้กองโตไว้
ผมแนะนำว่าหากคุณหมออยากจะมีส่วนสร้างสรรค์ชาติหรือสร้างสรรค์โลกใบนี้ สิ่งแรกที่พึงทำคือวางความคิดอันแสนประแสนเสริฐทั้งหลายในหัวลงไปให้หมดก่อน ถอยกลับไปมีชีวิตอยู่ในความรู้ตัวที่สงบเย็นและสงัดจากอัตตาให้ได้ก่อน สงบเย็น ผ่อนคลาย ยิ้มแย้ม ปลอดอัตตา จนคนรอบๆตัวสัมผัสได้ จากที่ตรงนั้น พลังสร้างสรรค์ที่ไม่เป็นพิษเป็นภัยแก่ใครมันจะโผล่ออกมาเอง ส่วนหัวโขนที่สวมไว้ภายนอก ไม่ว่าจะเป็นหมอหรือเป็นนักบริหารนั้น มันไม่ใช่ประเด็น
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์