วันนี้ผมจะให้ลอง meditation ในรูปแบบที่ง่ายที่สุด

(ภาพวันนี้: ดอกหญ้าริมสระบ้านมวกเหล็ก)

(หมอสันต์พูดกับสมาชิก SR)

คนที่มา SR หลายครั้งจะแปลกใจว่ามาแต่ละครั้งผมไม่เห็นพูดเหมือนครั้งก่อนเลย เพราะผมจะเปลี่ยนมุมของการพูดไปตามที่ผมคิดว่าคนฟังในแต่ละกรุ๊ปจะเก็ท บางทีผมไม่ตั้งใจจะเปลี่ยนวิธีพูด แต่อะไรบางอย่างมาสะกิดให้ผมเปลี่ยน ซึ่งผมก็เปลี่ยนตามอย่างว่าง่าย เอาเป็นว่ามาที่นี่จะไม่มีคำแนะนำหรือบทเรียนตายตัว

หัวใจของเรื่องในการมาเข้าแค้มป์ SR ก็คือให้คุณเปลี่ยน identity ของคุณสำเร็จ เพราะการจะหลุดพ้นไปจากกรงของความคิด หากคุณไม่เปลี่ยน identity ไปจากการเป็นบุคคลคนนี้ชื่อนี้ คุณไม่มีทางจะหลุดพ้นไปไหนได้เลย เพราะทุกความคิดล้วนชงขึ้นมาเพื่อปกป้อง identity นี้ทั้งสิ้น

การเปลี่ยน identity ไม่ได้หมายถึงการทุบทำลาย identity เดิมจนตัวบุคคลผู้นั้นหายไปจากสังคมหนีไปบวชหรือเป็นบ้าไปเสียแล้ว ไม่ใช่อย่างนั้น อุปมาอุปไมย เปรียบเหมือนผมมีบ้านสองหลัง หลังหนึ่งอยู่กรุงเทพ อีกหลังหนึ่งอยู่มวกเหล็ก แต่ก่อนผมอยู่แต่บ้านกรุงเทพ นานๆจะมาบ้านมวกเหล็กเสียทีหนึ่ง เดี๋ยวนี้ผมมาอยู่บ้านมวกเหล็กเป็นส่วนใหญ่ อยู่บ้านกรุงเทพน้อยมาก นี่เรียกว่าผมเปลี่ยนบ้าน แต่ว่าบ้านกรุงเทพก็ยังอยู่ ยังไม่ได้ขายทิ้ง คนที่กรุงเทพที่อยู่แถวนั้นล้วนรู้ว่านี่เป็นบ้านหมอสันต์โดยไม่เปลียนแปลง แม้ว่าตัวหมอสันต์จะไม่ค่อยได้อยู่แล้ว

ฉันใดก็ฉันนั้น ชีวิตนี้ประกอบขึ้นมาจากสามส่วนใหญ่คือ (1) ร่างกาย (2) ความคิด (3) ความรู้ตัว

ความคิดและร่างกายถูกมัดรวมกันขึ้นมาเป็นบุคคลสมมุติคนหนึ่ง ผมเรียกว่าเป็น identity-1 หรือ ID-1 อย่างตัวหมอสันต์นี้เกิดจากร่างกายนี้ กับชุดความคิดและคอนเซ็พท์การใช้ชีวิตอย่างนี้ บวกกับประสบการณ์ในอดีตในรูปของความจำอย่างนี้ ทั้งหมดนี้คลุกเคล้าปั้นแต่งขึ้นมาเป็นตัวเป็นตนเป็นบุคคลชื่อหมอสันต์ ความจริงคำว่าบุคคลหรือ person นี้มาจากคำว่า persona ซึ่งเป็นชื่อของหน้ากากโลหะที่ใช้แสดงละครกลางแจ้งในสมัยกรีกโบราณ นักแสดงต้องตะโกนผ่านปากซึ่งทำเป็นรูปโทรโข่งเล็กๆเพราะสมัยนั้นไม่มีเครื่องขยายเสียง ทุกวันนี้ในพิพิธภัณฑ์หลายแห่งในยุโรปยังเก็บหน้ากากแบบนี้ไว้อยู่

(หมอสันต์หยิบกระดาษขึ้นมาฉีกเป็นรูปาก จมูก ตา และใช้ปากกาวาดหน้าผู้หญิง มี คิ้ว และขนตางอน ทาปากแดง)

ผมจะทำหน้ากาก persona ขึ้นมาอันหนึ่ง เป็นหน้ากากผู้หญิง เมื่อใดก็ตามเมื่อผมสวมหน้ากากนี้ ผมก็จะกลายเป็นผู้หญิงหน้าตาสะสวยชื่อ..คุณอร

(หมอสันต์หยิบหน้ากากขึ้นมาปิดหน้าตัวเอง แล้วพูดดัดเสียงเป็นผู้หญิง)

“สวัสดีคะ อรนะคะ อ๋อ..รับประกันมีคุณภาพตามที่อรบอกทุกอย่างค่ะ

อรเป็นพนักงานขายก็จริง แต่คนอย่างอรจะไม่ขายอะไรที่หากอรเป็นลูกค้าแล้วตัวอรเองจะไม่ซื้อนะคะ”

คุณอร ทำงานติดต่อลูกค้า จ๊ะ จ๋า ทั้งวัน ลูกค้าชอบเธอและซื้อของเธอมาก ตกเย็นเธอเดินออกจากห้องทำงานซึ่งอยู่ในบ้านนั้นเอง เธอเข้าห้องน้ำ ถอดเสื้อผ้า แน่นอนถอดหน้ากากของผู้หญิงนักขายตรงชื่ออรออกด้วย เข้าไปเปิดฝักบัวอาบน้ำ น้ำเย็นฉ่ำพุ่งกระจาย เธอผ่อนคลายปล่อยใจสัมผัสความเย็น ไม่มีความคิดอะไรในหัว มีแต่ความตื่น ความสามารถรับรู้ สบายๆ ไม่มีความคิด ตอนนี้เธอย้ายมาเป็นอีก identity หนึ่งซึ่งเป็นส่วนลึกของเธอเองแล้วโดยไม่รู้ตัว เรียกว่าเป็น ID-0 ก็แล้วกัน คือเป็น “ความรู้ตัว” ที่ตื่นและรับรู้ทุกอย่างแบบสบายๆ

เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น กริ๊ง..ง เธอหยิบผ้าเช็ดตัว เดินออกจากห้องน้ำ ก่อนที่จะเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์ เธอหยิบหน้ากากของผู้หญิงชื่ออรขึ้นมาสวมก่อนโดยอัตโนมัติ โปรดสังเกต ตอนนี้เธอเปลี่ยนกลับมาเป็น ID-1 เหมือนเดิมแล้วนะ

“อรพูดค่ะ”

………

“อรกำลังฟัง”

“……………”

(ขึ้นเสียงปรี๊ด)

“พี่ทำอย่างนี้กับอรได้ยังไง อรไม่อยากจะเชื่อเลย

อรยอมทำทุกอย่างเพื่ออนาคตของเรา

อรทิ้งงานที่อรรักมาดูแลลูกให้พี่ พี่ทำอย่างนี้กับอรได้ยังไง ฮือ..ฮือ”

“….”

ไม่ต้อง ไม่ต้อง ไปเลย พี่ไปเลย ไป๊ เราสองแม่ลูกอยู่กันได้ พี่ไปเสียจากบ้านนี้ ไม่ต้องกลับมา ไป๊ ไป๊ ไป๊….”

ละครเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ในองค์ประกอบทั้งสามของชีวิตคือ (1) ร่างกาย (2) ความคิด และ (3) ความรู้ตัวนี้ สองส่วนแรกคือร่างกายและความคิดถูกมัดรวมกันเป็น identity-1 คือความเป็นบุคคลหรือหน้ากากของเรา ส่วนความรู้ตัว คือความตื่นยามที่ปลอดความคิดนั้นเป็น ID-0 ซึ่งเป็นส่วนลึกของเราที่มีธาตุแท้เป็นความสงบเย็นที่ไม่มีผลประโยชน์อะไรเกี่ยวข้องกับ ID-1

ที่ผมพูดถึงว่าการจะหลุดพ้นจากความคิดต้องมีการ change of identity ผมหมายถึงว่าเราจะต้องค่อยๆย้ายบ้านจาก ID-1 ไปอยู่บ้าน ID-0 มากขึ้นๆเหมือนผมย้ายจากบ้านกรุงเทพมาอยู่บ้านมวกเหล็กมากขึ้นๆ เพราะถ้าเรายังปักหลักเป็น ID-1 สารพัดความคิดซึ่งชงขึ้นมาเพื่อปกป้อง ID-1 ก็จะยังรังควาญเราไม่เลิก

ถามว่า แล้วการจะเปลี่ยน identity ให้สำเร็จจะต้องทำอย่างไร

ตอบว่าจะต้องเปลี่ยนโดยการวางความคิดผ่านการฝึก meditation ซึ่งมีมากมายหลายวิธี แต่วันนี้ผมจะแนะนำวิธีที่ผมเห็นว่าเบสิกที่สุด ง่ายที่สุด และได้ผลเร็วที่สุด ให้คุณทดลองทำกันเดี๋ยวนี้เลย

basic meditation นี้มีองค์ประกอบแค่สามส่วนคือ

(1) Relax ผ่อนคลายร่างกายและยิ้ม

(2) Observe สังเกตทุกอย่างที่ที่นี่ เดี๋ยวนี้

(3) No judge ไม่ไตร่ตรอง ไม่พิพากษา

เอ้า ทุกคนเริ่มฝึกเลย นั่งท่าไหนก็ได้ แต่ขอให้ตั้งกายตรงขึ้น

เริ่ม ส่วนที่หนึ่ง ด้วยการผ่อนคลายร่างกายก่อน หายใจเข้าลึกๆ กลั้นไว้สักพัก ผ่อนลมหายใจออกช้าๆ แล้วผ่อนคลายร่างกายลงไปด้วย ผ่อนคลายร่างกายไปทุกส่วน ทีละส่วน เริ่มที่ใบหน้าก่อน ยิ้มที่มุมปากนิดๆ เพราะหากเรายิ้มได้แปลว่าเราผ่อนคลายได้จริง แล้วก็ไปผ่อนคลายคอบ่าไหล่ ลำตัว แขนขา ผ่อนคลายร่างกาย ยิ้ม..ม relax…x….x

แล้วก็มา ส่วนที่สอง คือการสังเกต สังเกตทุกอย่างที่เข้ามาสู่การรับรู้ ณ ที่นี่ เดี๋ยวนี้ ภาพที่เห็น ทั้งที่อยู่ไกล ท้องฟ้า ภูเขา และใกล้เข้ามา บ้าน บึงน้ำ ต้นไม้ สนามหญ้า

คราวนี้ลองหลับตา สังเกตเสียงที่เข้ามา เสียงนกร้องดัง เสียงไก่ขันไกลๆ เสียงหมาเห่าเบาๆไกลมาก

สังเกตความคิดของเราด้วย เมื่อตะกี้เราคิดอะไรอยู่ สังเกตดูมันจากข้างนอกแบบไม่ไปผสมโรงคิดต่อยอด ปล่อยให้ความคิดผ่านเข้ามา เฝ้าดูมัน ให้เห็นมันผ่านมาแล้วก็ผ่านไป

แล้วก็มา ส่วนที่สาม คือไม่ไตร่ตรอง ไม่พิพากษา อันนี้ไม่ใช่แอ๊คชั่น เป็นเพียงภาคขยายของการสังเกตแต่ว่ามันสำคัญผมจึงแยกมาเป็นส่วนที่สามให้จำได้ คือไม่ว่าเราจะสังเกตรับรู้ภาพ เสียง สัมผัส หรือความคิด เราจะรับรู้มันตามที่มันเป็น ไม่ไปคิดต่อยอด ไม่ไปตัดสินว่ามันดีมันเลว รับรู้และยอมรับสิ่งเร้าทุกอย่างที่เข้ามาตามที่มันเป็น

บางครั้งความคิดลบเจ้าประจำโผล่ขึ้นมา เช่นความกลัว ความกังวล ความเสียใจ เราก็รับรู้มันโดยไม่หลบหลีกหรือชิงชังรังเกียจ เผชิญหน้ากับมันตรงๆ ขณะรู้ตัวอยู่ ยอมรับว่ามันมาแล้ว มันอยู่ที่นี่แล้ว ทำความรู้จักมันเสียเลย อ้อ ความกลัวมาอีกแล้วหรือ อย่าเพิ่งไปไหนนะ ความกลัวจ๋า อยู่ที่นี่ด้วยกันก่อน ขอทำความรู้จักกันให้ลึกซึ้งหน่อย ว่าความกลัวจริงๆแล้วมันเป็นอย่างไร แล้วก็สังเกตดูความกลัว อ้อ มันทำให้ใจเต้นเร็วอย่างนี้ มันทำให้ลมหายใจหอบฟืดฟาดอย่างนี้ อ้อเป็นอย่างนี้นี่เอง ความกลัว

การไม่ไตร่ตรอง ไม่พิพากษา หมายความว่าไม่เอาความคิดที่มุ่งจะปกป้อง ID-1 เข้ามาผสมโรงดราม่าด้วยกับสิ่งเร้าใดๆที่ผ่านเข้ามา ณ ที่ที่นี่เดี๋ยวนี้

การบ้านตลอดสี่วันที่อยู่ที่นี่ ให้ทุกคนฝึกทำ basic meditation นี้ทุกวัน ทุกที่ ทุกเวลาที่ว่างและคิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะกำลังเดินเล่น กินข้าว อาบน้ำ อย่าลืมว่าคุณมา retreat นะ แปลว่ามาปลีกวิเวกหลีกเร้นจากสิ่งที่เคยรบกวนคุณ อะไรละที่เคยรบกวนคุณ ก็ความคิดของคุณนั่นแหละ การฝึก meditation ด้วยสามองค์ประกอบนี้จะทำให้คุณสังเกตเห็นความคิดและวางความคิดคุณได้ ตอนกลางคืนให้ลองออกมาอยู่คนเดียวในความเงียบ ในความมืด เพื่อจะได้ฝึกสังเกตความคิดในรูปแบบที่อาจจะไม่เคยโผล่มาเลยเมื่อเราอยู่ที่บ้าน เช่นความกลัวความมืด เป็นต้น ใช้องค์ประกอบทั้งสามของ meditation คือ (1) Relax ผ่อนคลายและยิ้ม (2) Observe สังเกต (3) No judge ไม่ไตร่ตรองไม่พิพากษา

เป้าหมายคือวางความคิดด้วยการ change of identity คือการฝึกนี้จะพาเราออกจาก ID-1 ซึ่งเป็นโลกของความคิดที่มีแต่จะปกป้องความเป็นบุคคลตัวปลอมของเรา ไปเป็น ID-0 ซึ่งเป็นความรู้ตัว อันเป็นความตื่น รับรู้ สงบเย็น สบายๆ ไม่มีผลประโยชน์ดองกับบุคคลคนไหนทั้งสิ้น หากคุณได้รู้จักความแตกต่างระหว่าง ID-1 กับ ID-0 และเกิดความตั้งใจจะย้ายจาก 1 ไปเป็น 0 แล้ว การมาอยู่ที่นี่สี่วันก็ถือว่าคุ้มค่าคุ้มเวลา

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เจ็ดใครหนอ

สอนวิธีแปลผลเคมีของเลือด

กินคีโตไข่ต้มไก่ต้มทุกวันแล้วหลอดเลือดหัวใจตีบ

ความแก่..เหมือนหมาถูกต้อนเข้ามุมให้จนตรอก

ชีวิตเมื่อตายไปแล้ว

เปลี่ยนอาหาร ปั่นจักรยาน น้ำตาลลด ความดันลด แต่ไขมันทำไมไม่ลด

ท่านอายุเก้าสิบแล้วยังไม่รู้ แล้วท่านจะรู้มันไปทำพรื้อละครับ

สิ่งที่ขาดหายไปจากชีวิตคนเราคือความเบิกบาน (Joy)

อายุ 70 ปีถูกคนในบ้านไล่ให้ไปฉีดวัคซีนไข้เลือดออก

มะเร็งต่อมลูกหมากแพร่กระจายไปกระดูกขาแล้ว จะไปต่อไงดี