ความสุขคุณไม่ต้องไปตามหา (pursuit) แต่ให้แสดงออก (express)

คุณหมอสันต์ครับ
ผมค้นหาความหมายของชีวิต แต่รู้สึกว่าตัวเองหลงทาง รู้แต่ว่าชีวิตมันไม่ได้มีแค่นี้ แต่เสาะหาอะไรที่มากกว่านี้แล้วก็ล้วนแต่ไม่ใช่ คุณหมอช่วยแนะนำทิศทางให้ผมหน่อยครับ

.....................................................................

ตอบครับ

     คุณตอบผมก่อนสิว่าชีวิตคืออะไร คุณพูดถึงชีวิตราวกับว่ามันเป็นอะไรที่อยู่นอกตัวคุณ คุณเหมาเอาว่าความคิด อารมณ์ อุดมการณ์ ศาสนาความเชื่อ ธุรกิจ อาชีพ ทรัพย์สมบัติ ความยึดถือเกี่ยวพันเช่นลูกเมียว่าคือชีวิต แต่ผมจะบอกว่าเหล่านั้นไม่ใช่ชีวิต เหล่านั้นมันเป็นผลพวงจากความคิดขี้หมาของคุณเอง การที่คุณมีชีวิตอยู่ ตื่นอยู่ รู้ตัวอยู่เหน่งๆที่นี่ ตรงนี้ เดี๋ยวนี้ นี่ต่างหากคือชีวิต คือคำตอบสำหรับคนที่ค้นหามาแยะแล้วอย่างคุณก็คือคุณไม่ต้องไปหาที่ไหน หาที่ข้างในตัวคุณนี่แหละ แล้วไม่ต้องมาร์คปฏิทินว่าจะออกค้นหาเมื่อไหร่ เพราะชีวิตปรากฎที่เดี๋ยวนี้เท่านั้น

     คุณดิ้นรนหาความหมายของชีวิต ก็เพราะคุณไม่มีความสุขกับเดี๋ยวนี้ ความคิดมันจึงผลักดันให้คุณดิ้นรนค้นหาว่าทางไปในอนาคตว่าคืออะไร อะไรผิดอะไรถูก อะไรควร อะไรไม่ควร แต่แท้จริงแล้วผิดถูกควรจะเป็นเรื่องไร้สาระสำหรับคนที่ช่ำชองชีวิตระดับคุณแล้ว มันเป็นแค่ข้อมูลจากอดีต มันจะไปมีความหมายอะไรกับอนาคต แต่ความไร้สุขเนี่ยสิมันมีอยู่จริง ณ เดี๋ยวนี้ มันถึงผลักดันให้คุณค้นหาความสุข

     แต่ผมจะบอกคุณว่าในการใช้ชีวิตคุณอย่าตามหา (pursuit) ความสุข แต่ให้คุณแสดงออก (express) ถึงความสุขความเบิกบานจากข้างใน ดูความแตกต่างของคีย์เวอร์ดสองคำนี้ให้ดีนะ อย่า "ตามหา" แต่ให้ "แสดงออก"

     เพราะเมื่อวางความคิดซึ่งเป็นตัวแสบที่ผลักดันให้คุณออกค้นหานั่นหานี่ลงไปเสีย สิ่งที่เหลืออยู่ข้างในคุณก็คือความรู้ตัว ซึ่งมีธรรมชาติสงบเย็นและเบิกบาน คุณไม่ต้องค้นหามัน มันอยู่ของมันที่นั่นอยู่แล้ว แค่คุณวางความคิด มันก็จะโผล่มาเอง นี่แหละที่ผมเรียกว่าอย่าไปค้นหาความสุข แต่ให้แสดงความสุขออกมา

     คนเราทุกคนมีชีวิตอยู่ในโลกสองใบ คือโลกใบที่ต้องมีชีวิตแบบธรรมดา ต้องเข้าคิวจ่ายเงินซื้อของที่ซูเปอร์มาเก็ต ต้องจอดรถที่ไฟแดง ต้องกรอกแบบฟอร์มเพื่อเสียภาษี นั่นคือความเป็นบุคคลคนหนึ่ง หรือการมีสำนึกว่าเป็นบุคคลคนหนึ่ง เราต้องทำสิ่งธรรมดาเหล่านี้ โดยที่ต้องตระหนักด้วยว่าโลกใบนี้เป็นโลกของภาษา เป็นที่ก่อกำเนิดความคิด ซึ่งเป็นต้นเหตุของความไร้สุขของคนเรา

     แต่ในขณะเดียวกันเราทุกคนก็มีความไม่ธรรมดา คือส่วนที่ผมเรียกว่า "ความรู้ตัว" นี่แหละ ที่เป็นส่วนไม่ธรรมดา ส่วนนี้มันไม่สนกฎเกณฑ์ คอนเซ็พท์ ศักดิ์ฐานะ คุณธรรม ศีลธรรม หรือได้เสียอะไรกับใครทั้งนั้น เมื่อคุณวางความคิดลงสำเร็จและเข้าไปอยู่ในความรู้ตัวนี้ได้ มันจะดึงดูดให้คุณแผ่ขยายตามมันไปอย่างไม่สิ้นสุด คือมันเป็นอินฟินิตี้ (infinity) หรือเป็นนิรันดร จนคุณเริ่มจะรู้ตัวว่าคุณเปลี่ยนไปจากสำนึกว่าเป็นคนๆหนึ่งชื่อนี้อยู่ที่ตำบลนี้ ประเทศนี้ ไปเป็นอะไรสักอย่างที่ไม่มีชื่อเรียกแต่ว่าเป็นหนึ่งเดียวกับทุกสิ่งทุกอย่างทุกหนทุกแห่งเพราะไม่ว่าอะไรๆก็ล้วนเกิดขึ้นในความรู้ตัวนี้ทั้งสิ้นจนแยกไม่ออกว่าตรงไหนเป็นคุณตรงไหนเป็น "สิ่งอื่น" นี่คือส่วนที่ไม่ธรรมดาที่มีอยู่ในตัวเราทุกคน คุณไม่อาจจับต้องมองเห็นหรือเข้าถึงมันด้วยการคิด คุณเข้าถึงมันได้ทางเดียวด้วยการรู้สึกหรือ feel เอาเท่านั้น

     ในแง่ของภาพ ความรู้ตัวมันเป็นความว่างที่ภาพทุกภาพหรือความคิดทุกความคิดปรากฎขึ้นในนี้ เมื่อหมดภาพ หรือเลิกสนใจภาพ ก็เหลือแต่ความว่าง ในแง่ของเสียง มันเป็นความเงียบที่เสียงทุกเสียงเกิดขึ้นในนี้ เมื่อหมดเสียง หรือเลิกสนใจเสียง ก็เหลือแต่ความเงียบ  แต่มันว่างหรือเงียบแบบมีความสามารถรับรู้และความสงบเย็นเบิกบานอยู่ด้วย วิธีเข้าถึงก็คือเข้าที่ "เดี๋ยวนี้" ตรงนี้แหละคือชีวิตของจริง ตรงนี้แหละคือความหลุดพ้นจากการจองจำของความคิดงี่เง่าทั้งหลาย และตรงนี้มันไม่ได้มีความหมายอะไรอย่างที่ "ความคิด" ของคุณอยากจะให้มันมี แต่ว่าเมื่อใดก็ตามที่คุณมาอยู่ที่ตรงนี้ได้ คุณก็จะได้ feel หรือได้สัมผัสถึงความกว้างไกลไพศาลและศักยภาพอันไร้ขอบเขตของมันเองอย่างอัตโนมัติ

     ย้ำอีกทีว่าการใช้ชีวิตไม่ได้เริ่มจากการ "คิด" เอา แต่เริ่มจากการ "รู้สึก" หรือ feel เอา และไม่ต้องคาดหมายว่าจะใช้ชีวิตให้ได้อย่างต่อเนื่องนะ เพราะชีวิตจริงไม่มีความต่อเนื่อง มีแต่เดี๋ยวนี้ ให้ใช้แค่ทีละ "เดี๋ยวนี้" เท่านั้น การทดลองปฏิบัติให้คุณเริ่มจากการ feel ธรรมชาติรอบตัว ยืนด้วยเท้าเปล่าบนดิน แล้ว feel ดินจนรู้สึกว่าคุณกับดินมันใกล้ชิดกันจนดินกลายเป็นบ้านหรือฐานที่มั่นของคุณ แล้วเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า สูดลมหายใจเข้าลึกๆ feel ท้องฟ้า เชื่อมโยงท้องฟ้าอันโปร่งโล่งเข้ากับความรู้สึกโปร่งโล่งในใจคุณ จนคุณรู้สึกว่าท้องฟ้าแท้จริงแล้วก็ใกล้ชิดเป็นหนึ่งเดียวกับความรู้สึกในใจคุณนั่นเอง feel นะ ไม่ใช่คิด

     ขั้นต่อไปก็ลอง feel หรือทำอะไรใหม่ๆทุกเช้า feel หรือทำนะ ไม่ใช่คิด ทุกวัน อะไรก็ได้เล็กๆน้อยที่วันก่อนๆไม่เคยทำ เป็นการเปิดรับการสร้างสรรค์ (creativity) มันเป็นยาแก้โรคซ้ำซากของความคิด เพราะที่เราติดหล่มจมปลักทุกวันนี้คือเราคิดพูดทำอะไรซ้ำๆซากๆ เมื่อทำบ่อยๆซ้ำๆซากๆทุกวัน ร่างกายจะสร้างวงจรย้ำคิดย้ำทำแบบอัตโนมัติขึ้นในระบบประสาทอัตโนมัติ เรียกว่าวงจร conditioned reflex แปลว่าการถูกยัดเยียดให้ย้ำคิดย้ำทำซ้ำอดีต (compulsiveness) ดังนั้นสิ่งที่เราคิดและทำในวันนี้ถูกผลักดันมาจากอดีตเมื่อวานนี้ และวันนี้จะกลายเป็นอดีตของวันพรุ่งนี้ให้เราทำซ้ำในวันพรุ่งนี้อีก โดยที่เราไม่รู้ตัวเลย เพราะมันเป็นระบบประสาทอัตโนมัติ มันไปของมันเอง เราจะต้องเปลี่ยนวันนี้ให้แตกต่างไปจากเมื่อวานนี้ ทำอะไรใหม่ๆทุกวัน สิ่งละอันพันละน้อยโดยเฉพาะอย่างยิ่งในการปฏิสัมพันธ์กับธรรมชาติรอบตัว ให้มี creativity ทุกวันเราจึงจะออกจากกับดักความซ้ำซากของความคิดได้ เมื่อเราทอนอิทธิพลของความคิดซ้ำซากได้จนชีวิตไม่ต้องมีวาระหรือมีข้อสรุปล่วงหน้าใดๆ เหลือแต่เดี๋ยวนี้ให้รับมือไปทีละช็อต ทีละช็อต เราก็จะค่อยๆเข้าถึงความรู้ตัวได้ในที่สุด

     ชีวิตมันไม่ได้ต้องการความหมาย แต่มันต้องการความสุขสดชื่นเบิกบาน ซึ่งของแท้จะได้จากการวางความคิดปล่อยให้ความรู้ตัวที่ข้างในแสดงตัวออกมา ไม่ใช่ไปหาเอาที่ข้างนอก หากคุณรู้วิธีมีชีวิตอย่างเบิกบานที่เดี๋ยวนี้ คำถามหาความหมายของชีวิตก็จะหายไปเอง

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เจ็ดใครหนอ

สอนวิธีแปลผลเคมีของเลือด

กินคีโตไข่ต้มไก่ต้มทุกวันแล้วหลอดเลือดหัวใจตีบ

ความแก่..เหมือนหมาถูกต้อนเข้ามุมให้จนตรอก

ชีวิตเมื่อตายไปแล้ว

อายุ 70 ปีถูกคนในบ้านไล่ให้ไปฉีดวัคซีนไข้เลือดออก

สิ่งที่ขาดหายไปจากชีวิตคนเราคือความเบิกบาน (Joy)

วิตามินดีเกิน 150 หมอบอกมากเกินไป ท้ังๆที่ไม่ได้ทานวิตามินดี

Life Skill Camp for Kids แค้มป์ทักษะชีวิตเยาวชนที่มิวเซียมสยาม 16 พย. 67

มะเร็งต่อมลูกหมากแพร่กระจายไปกระดูกขาแล้ว จะไปต่อไงดี