ความสำเร็จที่แท้จริงคือการไม่คิดนั่นคิดนี่
คุณหมอสันต์คะ
คุณหมอเป็นคนที่เกิดมาประสบความสำเร็จมากมายในการทำงานและการใช้ชีวิต ได้มีโอกาสใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าและมีความหมาย แต่สำหรับคนที่ชีวิตไม่ได้เกิดมาบนเงื่อนไขอย่างนั้น ทุกอย่างมีแต่ความผิดพลาด ผิดหวังซ้ำซาก สูญเสีย และขาดแคลน มองไม่เห็นลู่ทางว่าจะเอาสิ่งที่คุณหมอสอนไปตั้งต้นใช้ได้ที่ตรงไหน
คุณหมอเป็นคนที่เกิดมาประสบความสำเร็จมากมายในการทำงานและการใช้ชีวิต ได้มีโอกาสใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าและมีความหมาย แต่สำหรับคนที่ชีวิตไม่ได้เกิดมาบนเงื่อนไขอย่างนั้น ทุกอย่างมีแต่ความผิดพลาด ผิดหวังซ้ำซาก สูญเสีย และขาดแคลน มองไม่เห็นลู่ทางว่าจะเอาสิ่งที่คุณหมอสอนไปตั้งต้นใช้ได้ที่ตรงไหน
..................................................
บางคนมองอีกคนหนึ่งว่ามีชีวิตที่ประสบความสำเร็จ แต่บางคนมองว่าตรงกันข้าม สุดแล้วแต่ใครจะมองจากมุมไหน แต่ผมมองตัวเองว่าความสำเร็จในชีวิตผมมีอย่างเดียวเท่านั้น คือการที่ 99% ผมอยู่ได้โดยไม่ต้องคิดนั่นคิดนี่ คุณกับผมอาจจะต่างกันที่ตรงนี้ ขอให้คุณใส่ใจตรงนี้ ส่วนเรื่องทรัพย์สมบัติ การศึกษา ชื่อเสียงเกียรติคุณ และโอกาสได้ทำนั่นทำนี่ เหล่านั้นล้วนเป็นเรื่องไร้สาระ คุณอย่าได้เสียเวลาไปใส่ใจเลย
ในวัยหนุ่ม ตอนที่ผมมีลูก ผมตั้งชื่อเขาว่า "พอ" เพื่อเตือนตัวเองว่าอย่าโลภมาก หลายสิบปีผ่านไปผมยอมรับว่าคำเตือนตัวเองนั้นไม่ได้ผล
จนเมื่อผมป่วย เกษียณจากงานอาชีพ เข้าสู่วัยชรา หันมาสนใจชีวิตจริงจัง ผมจึงเริ่มรู้สึกถึงความหมายที่แท้จริงของชื่อที่ตั้งให้ลูกชาย ผมรู้สึกมากไปกว่านั้นอีก คือรู้สึกว่าอะไรๆในชีวิตมันโอเค.ไปหมด เริ่มตั้งแต่แสงแดดที่ส่องลัดเลาะตามใบไม้ที่นอกหน้าต่างห้องนอนในตอนเช้า ทุกอย่างมันงดงาม ทุกการกระทำของทุกคนทุกชีวิตรอบตัวไม่ว่าจะทำดี ทำไม่ดี ทำถูก ทำไม่ถูก มันเข้าใจได้ให้อภัยได้ไปหมด ผมเลือกคำว่า "พอใจ" มาอธิบายชีวิตยามนี้ แค่นี้พอแล้ว ดีแล้ว สวยงามแล้ว ไม่ต้องคิดอ่านหนีอะไร หรือเสาะหาเพื่อเอาอะไรมามากไปกว่านี้แล้ว ผมเข้าใจธรรมชาติของทุกสิ่งรอบตัวว่าต้องเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา และผมยอมรับมันได้หมด โอเค.หมด เวลาในชีวิตที่ได้เพิ่มมาในแต่ละวันก็ใช้ทำอะไรก๊อกๆแก๊กๆเท่าที่จะเป็นประโยชน์แก่ชีวิตอื่นบ้าง หรือแก่โลกบ้าง นี่มันไม่ใช่ชีวิตที่ทำได้ยากอะไรเลยนะครับ ทุกคนไม่ว่ายากดีมีจน เรียนหนังสือมามากเรียนหนังสือมาน้อย ก็มีชีวิตอย่างนี้ได้ทั้งนั้น
จนเมื่อผมป่วย เกษียณจากงานอาชีพ เข้าสู่วัยชรา หันมาสนใจชีวิตจริงจัง ผมจึงเริ่มรู้สึกถึงความหมายที่แท้จริงของชื่อที่ตั้งให้ลูกชาย ผมรู้สึกมากไปกว่านั้นอีก คือรู้สึกว่าอะไรๆในชีวิตมันโอเค.ไปหมด เริ่มตั้งแต่แสงแดดที่ส่องลัดเลาะตามใบไม้ที่นอกหน้าต่างห้องนอนในตอนเช้า ทุกอย่างมันงดงาม ทุกการกระทำของทุกคนทุกชีวิตรอบตัวไม่ว่าจะทำดี ทำไม่ดี ทำถูก ทำไม่ถูก มันเข้าใจได้ให้อภัยได้ไปหมด ผมเลือกคำว่า "พอใจ" มาอธิบายชีวิตยามนี้ แค่นี้พอแล้ว ดีแล้ว สวยงามแล้ว ไม่ต้องคิดอ่านหนีอะไร หรือเสาะหาเพื่อเอาอะไรมามากไปกว่านี้แล้ว ผมเข้าใจธรรมชาติของทุกสิ่งรอบตัวว่าต้องเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา และผมยอมรับมันได้หมด โอเค.หมด เวลาในชีวิตที่ได้เพิ่มมาในแต่ละวันก็ใช้ทำอะไรก๊อกๆแก๊กๆเท่าที่จะเป็นประโยชน์แก่ชีวิตอื่นบ้าง หรือแก่โลกบ้าง นี่มันไม่ใช่ชีวิตที่ทำได้ยากอะไรเลยนะครับ ทุกคนไม่ว่ายากดีมีจน เรียนหนังสือมามากเรียนหนังสือมาน้อย ก็มีชีวิตอย่างนี้ได้ทั้งนั้น
เริ่มต้นตรงนี้ ตรงที่ทุกความคิดที่โผล่ขึ้นมาในใจคุณ คุณไม่จำเป็นต้องเชื่อมันทั้งหมด แยกให้ออกก่อนว่าความคิดไม่ใช่คุณ ความคิดก็คือความคิด คุณเป็นความรู้ตัว คุณสังเกตดูความคิดของคุณได้โดยไม่จำเป็นต้องไปคิดต่อยอด แค่สังเกตดู ความคิดมันก็ฝ่อไปเอง มีความคิดใหม่ขึ้นมาอีก สังเกตดูอีก สังเกตดูจนความคิดมันห่างไป ห่างไป คราวนี้ให้สนใจช่องว่างระหว่างความคิด ตรงที่ว่างๆโล่งๆนั่นแหละ ขณะที่เรายังตื่นอยู่ ไม่มีความคิด ตรงนั้นแหละที่ผมเรียกว่า "ความรู้ตัว" มันไม่มีอะไรเลยนอกจากความสามารถรับรู้ และมันสงบเย็น สบายดี ให้คุณหมั่นวางความคิดแล้วเข้าไปอยู่ที่ตรงนี้ สิ่งนี้เป็นสิ่งเดียวที่เป็นสาระสำคัญอย่างแท้จริงของชีวิต อย่าไปคาดหมายว่าโลกภายนอกตัวจะสร้างความสุขให้คุณได้ อย่าไปคาดหวังว่าชีวิตจะต้องได้ทำโน่นได้ทำนี่ใหญ่โตจึงจะมีความภาคภูมิใจและมีความสุข การวางความคิดไปอยู่ที่ความรู้ตัวนี่แหละเป็นความสุขสงบเย็นในชีวิตอย่างแท้จริง
ในการจะวางความคิดไปอยู่กับความรู้ตัว ลองเริ่มด้วยขณะทำกิจวัตรในชีวิตประจำวัน หยุดแป๊บหนึ่ง หายใจเข้าลึกๆ กลั้นไว้สักครู่ ค่อยๆปล่อยลมหายใจออกมาพร้อมกับผ่อนคลายร่างกาย ยิ้มที่มุมปาก และรับรู้ความรู้สึกผ่าวๆทั่วผิวกาย ทำอย่างนี้ซ้ำสักสองสามครั้ง แค่นี้ความคิดก็หายเกลี้ยงไปแล้ว ไปอยู่กับความรู้ตัวอันเป็นเราที่แท้จริงได้แล้ว นี่เป็นเทคนิคที่ผมเรียกว่า mini-meditation คือทำสมาธิฉบับกระเป๋า ใช้เวลาแป๊บเดียว แล้วก็ทำกิจวัตรประจำวันต่อ
ตัวช่วยอีกอันหนึ่งคือหมั่นเอาความสนใจมารับรู้ถึงความรู้สึกผ่าวๆวูบๆวาบๆบนผิวกายของคุณดูสิ คุณจะรับรู้ได้ดีเมื่อคุณผ่อนคลายร่างกายลง ความรู้สึกบนผิวกายเหล่านั้นสะท้อนถึงพลังงานชีวิตของคุณนะ แค่คุณรู้สึกถึงมัน คุณ feel มัน คุณก็ได้ทิ้งความคิดเข้าไปใกล้ความรู้ตัวมากขึ้นโดยอัตโนมัติ
แล้วก็เลิกคิดพิพากษาเปรียบเทียบใดๆเสีย โดยเฉพาะการเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น การพิพากษาเปรียบเทียบมันเกิดจากการมีตัวตนหรือมีสำนึกว่าเป็นบุคคลจึงมีแกนอ้างอิงให้เปรียบเทียบ แต่มันไม่ใช่ของจริงนะ มันเป็นแค่ภาษาที่เราตกลงสมมุติความหมายขึ้น เหมือนเด็กตกลงกติกาในการเล่นเปายิ้งฉุบ แต่เปายิ้งฉุบไม่ได้มีอยู่จริง มีอยู่เฉพาะขณะที่เด็กเล่นกันเท่านั้น ขณะที่ความรู้ตัวนั้นมีอยู่จริง มีอยู่ตลอดเวลา เราวางความคิดเมื่อไหร่ก็เข้าถึงความรู้ตัวได้เมื่อนั้น
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
แล้วก็เลิกคิดพิพากษาเปรียบเทียบใดๆเสีย โดยเฉพาะการเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น การพิพากษาเปรียบเทียบมันเกิดจากการมีตัวตนหรือมีสำนึกว่าเป็นบุคคลจึงมีแกนอ้างอิงให้เปรียบเทียบ แต่มันไม่ใช่ของจริงนะ มันเป็นแค่ภาษาที่เราตกลงสมมุติความหมายขึ้น เหมือนเด็กตกลงกติกาในการเล่นเปายิ้งฉุบ แต่เปายิ้งฉุบไม่ได้มีอยู่จริง มีอยู่เฉพาะขณะที่เด็กเล่นกันเท่านั้น ขณะที่ความรู้ตัวนั้นมีอยู่จริง มีอยู่ตลอดเวลา เราวางความคิดเมื่อไหร่ก็เข้าถึงความรู้ตัวได้เมื่อนั้น
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์