ยุทธการปิดประเทศไทย (Lockdown Thailand) นี่เป็นโอกาสสุดท้ายถ้าจะทำ

กราบเรียนลุงตู่ที่เคารพ

     ผมไม่เคยคิดมาก่อนว่าตัวเองจะเขียนจดหมายฉบับนี้ แต่อยู่ๆความคิดก็ผุดขึ้นมาในใจว่ายามนี้หากผมไม่ได้แชร์ข้อมูลความรู้ในวิชาชีพที่ผมมีอยู่ให้คนอื่นรู้ให้หมด ไปภายหน้าหากเกิดเรื่องที่โศกเศร้าเสียใจขึ้น ผมก็จะมานั่งเสียดายสิ่งที่ผ่านไปว่าตอนนั้นผมน่าจะทำอย่างนั้นอย่างนี้ ผมจึงตัดสินใจเขียนจดหมายนี้ถึงลุง

     ก่อนอื่นผมขอให้ลุงดูลักษณะข้อมูลการป่วยเป็นโรคโควิด19 ของประเทศอิตาลีที่ติดตามโดยโรงพยาบาลจอห์น ฮอพคินส์ ก่อนนะครับ


     โปรดสังเกตว่านับตั้งแต่มีการพบคนป่วยคนแรกเมื่อ 15 กพ. 63 อัตราการเพิ่มของผู้ป่วยเป็นไปอย่างอ้อยอิ่งเชื่องช้ามาก ภาษาระบาดวิทยาเรียกว่ามันเป็น initialization phase แล้วเมื่อย่างเข้ากลางเดือนมีค. 63 จำนวนผู้ป่วยก็เพิ่มอย่างรวดเร็ว ทำให้ความชันของกราฟกระดกขึ้นแทบจะตั้งฉาก นี่เรียกว่าโรคมันเริ่มเข้าสู่ระยะเร่ง (acceleration phase) เรื่องราวอย่างอื่นในอิตาลีเป็นอย่างไรผมขอไม่พูดถึง เพราะคุณลุงก็ทราบดีอยู่แล้ว

     คราวนี้มาดูกราฟของประเทศไทยเราบ้าง ผมสร้างกราฟนี้ขึ้นมาจากข้อมูลวันต่อวันของกรมควบคุมโรค

   
     เราตรวจพบคนไข้คนแรกเมื่อ 22 มค. 63 คือก่อนอิตาลีตั้งนาน ความแตกต่างกันอยู่ที่ความสามารถของเราที่จะยื้อให้ระยะ initialization ยาวนานกว่าของอิตาลี แต่ตอนปลายของกราฟไม่แตกต่างกัน คือโรคได้เข้าสู่ระยะ acceleration แล้ว อนาคตของชาติไทย

     "ต่อไปจะเป็นฉันใด ...ไม่..รู้......."

     รู้แต่ว่าหากเปรียบเทียบฉากลิเกที่เลวร้ายที่สุด อนาคตของชาติไทยมันจะมีได้สองฉาก

    ฉากที่ 1. หากลุงตัดสินใจเดินหน้าไปกับยุทธการบรรเทาโรค (mitigation strategy) ซึ่งผมขอตั้งชื่อเรียกเป็นภาษาบ้านๆว่า "ยุทธการวิ่งตามโรค" อย่างทุกว้นนี้ มันจะเป็นดังนี้ คือ การวิ่งตามโรคถึงจุดหนึ่งก็จะวิ่งตามไม่ทัน ก็จะเปลี่ยนเป็นยุทธการ "ได้แค่ไหนเอาแค่นั้น" นั่นก็คือโรคจะกระจายไปพ้นการควบคุม ผู้คนจะตายมากกว่าปกติ แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาใหญ่เพราะเมืองไทยเราเมื่อเอาจำนวนคนที่คาดว่าจะตายตั้งหารด้วยจำนวนเมรุเผาศพที่มีแล้ว เราก็ยังเผาได้ทันแบบวันต่อวัน แต่ที่จะเป็นปัญหาคือในช่วงที่คนกำลังป่วยและล้มตายนั้น โรงพยาบาล สถานที่ อุปกรณ์ ยา พยาบาล หมอ จะไม่พอในการดูแลคนไข้ หมอและพยาบาลเรียนยังไม่ทันจบก็ต้องเกณฑ์ออกมาทำงานแล้ว สภาพการณ์จะทุเรศทุรังประมาณไหนผมไม่ทราบ เพราะผมเองก็ไม่เคยเห็น เวลาที่เกิดเรื่องอย่างนี้คงจะนานประมาณหนึ่งปี ถึงตอนนั้นผมหรือลุงก็อาจจะไม่ได้อยู่ดูแล้วก็ได้

    ฉากที่ 2. หากลุงตัดสินใจใช้ ยุทธการปิดประเทศไทย (Lockdown Thailand) อย่างเอาเป็นเอาตายตั้งแต่วันนี้ เอาเป็นเอาตายหมายความว่าปิดประเทศห้ามคนเข้าออกถ้าไม่จำเป็น ปิดบ้าน ออกเคอร์ฟิวห้ามออกนอกบ้านทั้งกลางวันกลางคืนยกเว้นกรณีจำเป็น หยุดพาหนะขนผู้คนไปมาทุกชนิดยกเว้นการส่งอาหารหรือยุทโธปกรณ์ที่จำเป็น วางแผน "ยุทธบริการ" ให้ดี ตั้งแต่กระบวนการผลิตอาหาร รวบรวมอาหาร และจัดส่งอาหารให้ถึงทุกคนทุกวัน เรียนรู้จากจีนว่าให้เปิดแอ๊พมือถือที่บังคับให้ประชาชนทุกคนใช้ ให้ประชาชนทุกคนมีหน้าที่ลงแอ๊พทุกวันว่าวันนี้ตัวเองมีอาการผิดปกติอะไรบ้างมีไข้กี่องศาและวันนี้ไปทำอะไรที่ไหนมา อีกอย่างหนึ่งยุทธการปิดประเทศนี้จะไม่เวอร์คหากไม่มีกลไกค้นหาตัวผู้ป่วย ให้เรียนรู้จากเกาหลีว่าการจะเคลียร์โรคได้ต้องค้นหาโรคให้พบ ใช้ยุทธการตรวจหาโรคแบบปูพรมทุกรูปแบบ ในเวลาที่ปิดประเทศไม่กี่วัน เกาหลีตรวจหาโรคไปถึง 270,000 คน จากประชากรทั้งหมด 51 ล้านคน หากลุงทำอย่างนี้ ผมมั่นใจจากการประเมินฝีมือและผลงานการควบคุมโรคของไทยเราที่ผ่านมาว่าเราจะสามารถเคลียร์โรคจน "เอาอยู่" ได้ในเวลาไม่กี่สัปดาห์

     เมื่อ "เอาอยู่" แล้ว โรคหมดแล้ว เราก็เลิกควบคุมภายใน เปิดให้คนไทยเดินทางไปมาทำมาค้าขายกันภายในประเทศได้เหมือนอย่างจีนทำที่อู่ฮั่น แต่ยังปิดประเทศอยู่ต่อไปไม่มีกำหนด จนกว่าจะมีวัคซีนใช้ ซึ่งผมประมาณว่าไม่น่าจะนานกว่า 18 เดือน ถึงนานกว่านั้นก็ยอมรับได้ เพราะไหนๆก็ไหนๆแล้ว 

     ผมรู้ว่าคนรอบข้างลุงจะร้องกระต๊ากปานประหนึ่งปากจะฉีกถึงใบหูว่าทำอย่างนี้ไม่ได้ เศรษฐกิจจะฉิบหาย บ้านเมืองจะวุ่นวาย เครื่องบินต้องจอดขึ้นสนิม ครึ่งหนึ่งของเศรษฐกิจซึ่งต้องพึ่งพาการท่องเที่ยวและการคมนาคมต้องพังพินาศ ธนาคารจะล้ม ผู้คนจะแห่กันไปถอนเงิน ตลาดหุ้นล่ม จะมีการล้มละลายกันทั่วประเทศ คนงานไม่มีเงินจ่ายค่าผ่อนรถผ่อนบ้าน บริษัทรถบริษัทบ้านจะเจ๊ง ต้องปรับโครงสร้างหนี้กันจ้าละหวั่น ต้องเอา IMF เข้ามา (ถึงตอนนั้นผมไม่แน่ใจว่าจะยังมี IMF อยู่หรือเปล่า) จะมีการตุนสินค้าจำเป็น เกิดภาวะเงินเฟ้อ คนตกงานครึ่งประเทศ โจรผู้ร้ายจะชุกชุม ขื่อ แป กบิลเมืองจะเสียไป ผมไม่ได้เถียงว่าสิ่งเหล่านี้จะไม่เกิดขึ้น แต่ทั้งหมดนี้ก็ไม่ใช่ไม่เคยเกิดนะ มันเคยเกิดมาแล้วในเมืองไทยเรานี้ และเราก็ผ่านมันมาได้

    มองในอีกด้านหนึ่ง นี่อาจจะเป็นโอกาสเดียวนะที่เราจะได้บริหารชาติไปตามทิศทางที่ในหลวงร.9 ทรงสอนไว้..เศรษฐกิจพอเพียง

     "การจะเป็นเสือนั้นไม่สำคัญ แต่สำคัญที่เราพออยู่พอกิน"

     ชาติไทยนี้ผมมั่นใจว่าไม่ต้องพึ่งคนต่างชาติให้เข้ามาเที่ยวแม้จะนานถึงปีสองปีเราก็ยังอยู่กันได้หากเราบริหารสังคมด้วยวิธีใหม่ ด้วยปรัชญาของในหลวงร.9 เศรษฐกิจพอเพียง ซึ่งพระองค์ทรงสอนว่า

     "เศรษฐกิจพอเพียงในขั้นที่ 3 เป็นการจัดตั้งเอาชุมชนสหกรณ์ผู้ผลิตทั้งหลายมาผสานกันเป็นเครือข่ายขนาดใหญ่ และร่วมมือกับแหล่งพลังงาน แหล่งเงินทุน และนำเทคโนโลยีที่เหมาะสมเข้ามาช่วยการผลิต การแปรรูป และการตลาดต่างๆอย่างซับซ้อน" 

     แล้วในบรรยากาศของโลกยามนี้ เราปิดประเทศแต่เราไม่ได้ปิดการส่งออกนำเข้า เราเป็นผู้ผลิตอาหารซึ่งเป็นสินค้าจำเป็นยามข้าวยากหมากแพง การปิดประเทศเราได้เปรียบในเวทีโลก ไม่มีใครมากดดันให้เราเปิดประเทศดอก เพราะยามนี้ทุกประเทศก็หนีตายปิดประเทศเอาตัวรอดกันหมด     

     ผมมีอย่างหนึ่งที่อยากจะแชร์กับลุงนะครับ แม้ว่าสะเกลของผมจะเล็กจิ๊บจ๊อยกว่าสะเกลของลุงมาก คือตัวผมเองเป็นหมอผ่าต้ดหัวใจโดยอาชีพ วันหนึ่งจับพลัดจับผลูผมต้องร้บสองจ๊อบคือต้องเป็นผู้อำนวยการใหญ่ทำงานบริหารธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนด้วย ในหมวกของการเป็นผู้บริหารธุรกิจ ผมไม่รู้เรื่องอะไรเลย ต้องอาศัยที่ปรึกษาซึ่งเรียนเอ็มบีเอ.มาจากฮาร์วาร์ดบ้างจากวาร์ตันบ้าง คนนั้นว่าอย่างนั้นคนนี้ว่าอย่างนี้ ผมไม่รู้เรื่อง ผมต้องฟัง ใหม่ๆผมก็ฟังแบบเผลอให้พวกเขาครอบแม้ว่าลึกๆผมจะไม่ค่อยเห็นด้วยเพราะถือว่าเขารู้ดีกว่าผม ทำแบบนี้ทำไปทำมาธุรกิจของบริษัทแย่ลง ในที่สุดผมบอกทุกคนว่าคุณมีความคิดดีเลิศประเสริฐศรีอะไรบอกผมมาให้หมด แล้วผมจะใช้ความรู้สึกจากลำไส้ของผมตัดสินใจเลือกเอง เลือกผิดเลือกถูกไม่ใช่เรื่องของคุณ เป็นเรื่องของผม ซึ่งในความเป็นจริงผมก็เลือกผิดบ้างถูกบ้าง แต่ถูกก็มากกว่าผิด และที่สำคัญคือในสถานะการณ์วิกฤต ผมไม่เคยเลือกผิดเลย คือผมจะบอกว่าลุงอย่าลืมว่าลุงเป็นทหารใหญ่นะครับ เคยบังคับบัญชากองทัพกำลังพลเป็นแสนๆ เคยรบทัพจับศึกมาแล้ว แล้วลุงจะกลัวอะไรกับการทิ้งความเห็นของที่ปรึกษาในเรื่องที่เขารู้ดีกว่าลุงมาเชื่อความรู้สึกจากลำไส้ของลุงเอง

    กล่าวโดยสรุป ลุงกำลังถูกบีบให้เลือกสองอย่างว่าจะเอาอะไรไว้ก่อน ระหว่างชีวิตของคน กับเศรษฐกิจของชาติ แน่นอนผมเป็นหมอผมสนับสนุนให้ลุงเลือกชีวิตของคน ลุงไม่ใช่หมออาจจะคิดไม่เหมือนผมก็ไม่เป็นไร แต่ผมทิ้งคำถามไว้ให้ลุงหน่อยว่า ถ้าไม่มีชีวิต แล้วจะมีเศรษฐกิจไว้ทำพรือละครับ

(รักลุง ตั้งแต่ครั้งเสื้อเหลืองเสื้อแดง)

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เจ็ดใครหนอ

สอนวิธีแปลผลเคมีของเลือด

กินคีโตไข่ต้มไก่ต้มทุกวันแล้วหลอดเลือดหัวใจตีบ

ความแก่..เหมือนหมาถูกต้อนเข้ามุมให้จนตรอก

ชีวิตเมื่อตายไปแล้ว

อายุ 70 ปีถูกคนในบ้านไล่ให้ไปฉีดวัคซีนไข้เลือดออก

สิ่งที่ขาดหายไปจากชีวิตคนเราคือความเบิกบาน (Joy)

วิตามินดีเกิน 150 หมอบอกมากเกินไป ท้ังๆที่ไม่ได้ทานวิตามินดี

Life Skill Camp for Kids แค้มป์ทักษะชีวิตเยาวชนที่มิวเซียมสยาม 16 พย. 67

มะเร็งต่อมลูกหมากแพร่กระจายไปกระดูกขาแล้ว จะไปต่อไงดี