ถ้าชีวิตมีอยู่แค่เพื่อใช้ชีวิต ตายเสียตอนนี้จะไปแตกต่างกันตรงไหน

 เมื่อวันก่อนใน Spiritual Retreat (SR) สมาชิกท่านหนึ่งคุยกับผมสั้นๆขณะพัก ขอผมถ่ายทอดให้ฟังดังนี้

สมาชิก SR

     "ถ้าเวลาในใจไม่มีอยู่จริง อดีตอนาคตที่เราเคยคิดถึงก็ไม่มีจริง แล้วเราจะมีชีวิตอยู่เพื่ออะไรละคะ"

หมอสันต์

     "ชีวิตไม่ได้มีอยู่เพื่อบรรลุอะไร แต่มีอยู่เพื่อให้ใช้ชีวิต และเรามากันที่นี่ก็เพื่อมาพูดกันถึงวิธีที่จะใช้ชีวิตโดยไม่ให้ทุกข์นี่ไง"

สมาชิก SR

     "ถ้าชีวิตมีอยู่เพื่อใช้ชีวิตที่นี่เดี๋ยวนี้เท่านั้น เราก็รู้หมดแล้วว่าชีวิตเราก็มีแค่นี้กิน นอน ขับถ่าย และทำเรื่องไร้สาระต่างๆซ้ำซาก รู้อย่างนี้แล้วก็ตายเสียตอนนี้ไม่ดีกว่าหรือ จะทู่ซี้อยู่ต่อไปอีกทำไม"

หมอสันต์

     "คนเราเกิดมาเพื่อใช้ชีวิตที่นี่เดี๋ยวนี้โดยไม่ทุกข์ นั่นประเด็นหนึ่ง และเป็นการใช้ชีวิตให้เต็มศักยภาพที่มนุษย์คนหนึ่งพึงมีด้วยนะ นี่เป็นอีกประเด็นหนึ่ง ยกตัวอย่างลูกนกตัวหนึ่งเกิดมามีขนอ่อนๆปุยๆกะหร็อมกะแหร็ม มันบินไม่ได้ แต่ศักยภาพของนกคือมันสามารถบินไปได้ทั่วท้องฟ้า แล้วถ้านกตัวหนึ่งมันเกิดมาแล้วมันไม่รู้ว่ามันบินได้ มันได้แต่เอาปีกยันพื้นเดินไปเดินมาบนดิน นี่เรียกว่าเป็นการเกิดมาใช้ชีวิตไม่เต็มศักยภาพที่นกมี

     คนเราก็เหมือนกัน คุณรู้หมดแล้วหรือว่าในการเกิดมาเป็นคนนี้คุณมีศักยภาพมากแค่ไหน คุณได้สำรวจเรียนรู้ศักยภาพอันเต็มที่ของคุณแล้วหรือยัง คุณเป็นคนเรียนหนังสือเก่งจบเมืองนอกเมืองนามีปริญญาหลายใบซึ่งคุณภาคภูมิใจ แต่นั่นจิ๊บจ๊อยเพราะมันเป็นเพียงคอนเซ็พท์หรือความคิดเก่าๆบูดๆที่คุณถูกครอบมาจากโรงเรียนหรือสังคม ศักยภาพที่แท้จริงของคุณมันอยู่ข้างในนะ ไม่ใช่แค่ความคิดเก่าๆอับๆที่คุณลอกเลียนมาจากข้างนอก ของที่อยู่ภายในเช่นจินตนาการ ความบันดาลใจ การสร้างสรรค์ ปัญญาญาณ เหล่านี้คือศักยภาพอันไร้ขอบเขตของความเป็นมนุษย์ ถ้าคุณเข้าถึงสิ่งเหล่านี้แล้วคุณก็จะหมดคำถามเองว่าชีวิตมีแค่นี้หรือ เหมือนนกที่ขึ้นบินบนท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ไม่สิ้นสุดได้แล้ว มันก็จะหมดความเบื่อหน่ายกับการเดินเตาะแตะไปมาบนผิวดินไม่กี่ตารางเมตรเอง"

สมาชิก SR

     "แล้วเราจะเข้าถึงศักยภาพแท้จริงของเราได้อย่างไรละคะ"

หมอสันต์

     "ก่อนอื่นคุณเปลี่ยนทิศทางชีวิตของคุณก่อน จากที่เคยหันออกไปข้างนอกซึ่งเป็นทิศทางที่ผิด ให้คุณหันกลับเข้าข้างใน เพราะคุณรู้แล้วนี่ว่าศักยภาพที่แท้จริงของมนุษย์อยู่ที่ข้างใน คือปัญญาญาณ (intuition) ในตัวคุณ เมื่อเปลี่ยนทิศทางของความสนใจคุณจากนอกเข้าในแล้ว ขั้นต่อไปคุณก็ต้องวางความคิดลง เพราะปัญญาญาณนั้นจะไม่ส่องสว่างหากยังมีความคิดบดบัง คุณต้องถอยความสนใจออกมาจากความคิด กลับเข้าไปอยู่กับความรู้ตัว เมื่อหมดความคิด  เหลือแต่ความรู้ตัวที่ตื่นและสงบเย็นอยู่ ปัญญาญาณก็จะส่องสว่างให้คุณเห็นความกว้างไกลที่ศักยภาพของคุณพึงเห็นได้เอง จากตรงนี้คุณก็จะรู้เองว่าคุณจะไปต่อกับชีวิตนี้อย่างไร"

สมาชิก SR

     "แล้วอะไรจะเป็นหลักประกันว่า..."

หมอสันต์

     "ไม่มี้ ..ไม่มีหลักประกัน ชีวิตไม่มีหลักประกัน ชีวิตคือการดับแล้วเกิดทีละโมเม้นต์ทีละแว้บ  ไม่มีความต่อเนื่องกันด้วย สิ่งแวดล้อมของชีวิตก็ไม่มีอะไรคงที่ ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แต่ละแว้บคือความท้าทายว่าแว้บต่อไปอะไรจะเกิดขึ้น  แล้วในชีวิตนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น นี่แหละคือความมหัศจรรย์และความท้าทายของชีวิต อย่าไปสนใจคอนเซ็พท์เรื่องความมั่นคงหรือหลักประกัน มันเป็นความคิดบูดๆที่บริษัทประกันคิดขึ้นมาเพื่อขายกรมธรรม์ มันเป็นเรื่องไร้สาระ อย่าถูกหลอกให้ซีเรียสกับชีวิตมากเกินไป ชีวิตมันเป็นเพียงละคอนที่คุณเป็นดาราเล่นอยู่บนเวทีแค่ช่วงเวลาสั้นๆ มันเป็นแค่ความฝัน อย่าไปซีเรียสกับมันมากเกินไป ถ้าคุณฝันว่าหกล้มหัวแตกเลือดออก ก็ไม่ต้องซีเรียส พอตื่่นขึ้นมาเรื่องหัวแตกก็ไม่มีแล้ว"

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เจ็ดใครหนอ

สอนวิธีแปลผลเคมีของเลือด

กินคีโตไข่ต้มไก่ต้มทุกวันแล้วหลอดเลือดหัวใจตีบ

ความแก่..เหมือนหมาถูกต้อนเข้ามุมให้จนตรอก

ชีวิตเมื่อตายไปแล้ว

เปลี่ยนอาหาร ปั่นจักรยาน น้ำตาลลด ความดันลด แต่ไขมันทำไมไม่ลด

ท่านอายุเก้าสิบแล้วยังไม่รู้ แล้วท่านจะรู้มันไปทำพรื้อละครับ

สิ่งที่ขาดหายไปจากชีวิตคนเราคือความเบิกบาน (Joy)

อายุ 70 ปีถูกคนในบ้านไล่ให้ไปฉีดวัคซีนไข้เลือดออก

มะเร็งต่อมลูกหมากแพร่กระจายไปกระดูกขาแล้ว จะไปต่อไงดี