เกิดมาทำไม เป้าหมายของชีวิตคืออะไร
ผมเป็นหมอประจำครอบครัวก็จริง แต่คนไข้ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ นานๆครั้งจะมีคนรุ่นลูกรุ่นหลานที่ถูกพ่อแม่หรือปู่ย่าตายายลากมาขอคำแนะนำ คนรุ่นเด็กๆนี้มักมีอะไรที่น่าสนใจเป็นพิเศษเสมอ วันนี้ขอเล่าสาระที่ผมคุยกับหลานของคนไข้คนหนึ่ง หัวเรื่องหลักคือการตอบคำถามของเขาที่ถามว่าเกิดมาทำไม เป้าหมายชีวิตคืออะไร เพื่อความง่าย ผมขอเรียกเขาว่าหนุ่มก็แล้วกัน
หนุ่ม
คนเราเกิดมาทำไม เป้าหมายของชีวิตคืออะไรหรือครับ
หมอสันต์
ผมไม่ตอบคำถามของคุณนะ เพราะสิ่งที่ผมทำไม่ใช่ทำให้คุณเชื่ออะไรที่ผมพูด ดังนั้นผมจะหลีกเลี่ยงการตอบคำถามที่คำตอบนั้นคุณไม่สามารถรู้ได้ด้วยอายาตนะของคุณเอง มันจะบีบให้คุณต้องสนองตอบด้วยการ "เชื่อ"หรือ "ไม่เชื่อ" เท่านั้น ผมไม่ต้องการให้คุณเชื่อหรือไม่เชื่ออะไรทั้งสิ้น แต่ต้องการให้คุณมีประสบการณ์กับความจริงของชีวิตด้วยตัวคุณเอง
และผมจะไม่บอกคุณให้ไปค้นหาความหมายของชีวิต หรือตั้งเป้าหมายชีวิต หรือพูดอีกอย่างหนึ่งผมจะบอกคุณว่าชีวิตนี้ไม่มีความหมายอะไรหรอก เพราะ "ความหมาย" เป็นโจทย์ที่ตั้งขึ้นมาโดยอีโก้ของเราเอง ชีวิตที่แท้จริงไม่มีความหมาย มันเป็นการดำรงอยู่ (existence) คือตื่นอยู่และรับรู้ได้เท่านั้น ไม่ได้มีความหมายอะไรนอกจากน้้น ความหมายใดๆถ้าจะมีล้วนเป็นความหมายหลอกที่อีโก้หรือสำนึกว่าเป็นบุคคลของเราสร้างขึ้นมาจากความจำเก่าๆและจินตนาการของเราเองทั้งสิ้น
ดังนั้นสิ่งที่สำคัญไม่ใช่ความหมายของชีวิตหรือเป้าหมายของชีวิต แต่สิ่งสำคัญคือการใช้ชีวิต ซึ่งในการใช้ชีวิตนี้เราใช้กันที่ที่นี่เดี๋ยวนี้ ไม่ใช่ไปตามหาเอาที่ในอนาคต ถ้าคุณมัวไปตามหา คุณก็หมดโอกาสที่จะได้ใช้ชีวิต แล้วคุณอาจจะตายเสียก่อนขณะที่ยังมัวตามหาอยูู่โดยไม่ทันได้ใช้ชีวิต
และผมจะบอกวิธีให้คุณว่าคุณจะใช้ชีวิตที่ไร้ความหมายนี้อย่างไร คุณจึงจะเบิกบานและไม่ทุกข์ วิธีของผมก็ง่ายมาก คือคุณแค่ถอยความสนใจของคุณออกมาจากความคิด ถอยออกมาเป็นแค่ผู้สังเกตเห็นความคิดผ่านเข้ามาแล้วก็ผ่านออกไป ไม่ต้องไปผสมโรงคิด ตัดสิน หรือพิพากษา แค่สังเกตดูเฉยๆเหมือนท้องฟ้ามองเห็นก้อนเมฆลอยมาแล้วก็ลอยผ่านไป คุณสังเกตอยู่อย่างนี้บ่อยๆครั้งเข้า ครั้งละนานๆเข้า ในที่สุดความคิดมันก็จะฝ่อหายไปหมด เหลือแต่ความรู้ตัว ตรงนั้นแหละ ตรงที่ความรู้ตัวยามปลอดความคิด คุณจะได้ใช้ชีวิตที่เบิกบานและไม่ทุกข์ วิธีของผมง่ายขนาดนั้นเลย เพราะความรู้ตัวมันเป็นธรรมชาติที่แท้จริงของคุณอยู่แล้ว เพียงแต่คุณไม่รู้ คุณจึงไปเข้าด้วยหรือไป identify กับความคิด นึกว่าความคิดคือคุณ เมื่อใดที่คุณถอยออกมาจากความคิดเสียได้ เมื่อใดที่คุณเห็นว่าความคิดไม่ใช่คุณ เมื่อนั้นคุณก็ได้ใช้ชีวิตอย่างเบิกบานไม่เป็นทุกข์ เพราะความซึมเศร้าก็ดี ความทุกข์ทั้งหลายก็ดี ล้วนแต่เกิดจากการที่คุณไปเข้าด้วยกับความคิดของคุณทั้งสิ้น
หนุ่ม
ถ้างั้นเราก็ไม่ต้องเตรียมตัวเพื่อให้มีชาติหน้าที่ดีขึ้น
นพ.สันต์
ฮ้า.. ขำ คนรุ่นคุณยังพูดถึงชาติหน้าอยู่หรือ ผมคิดว่า "ชาติหน้า" หรือ "สวรรค์" น่าจะต้องเจ๊งหรือเลิกกิจการในอนาคตอันไม่ไกลเกินหนึ่งหรือสองชั่วอายุคนนี้เสียอีก ผมอาจจะคิดผิดก็ได้
ชาติหน้าเป็นเวลาในใจของคุณนะ เป็น psychological time คุณเป็นเด็กวิทย์ ขอผมนอกเรื่องพูดเรื่องเวลากับคุณก่อนดีกว่า คือเวลานี่มันมีสองอย่างนะ
เวลาที่เราเขียนเป็นปฏิทินหรือสร้างนาฬิกาเพื่อนับมันนั้น ผมเรียกมันง่ายๆว่า clock time ก็แล้วกัน เรื่องของเรื่องคือเมื่อจักรวาลนี้มีมวลสารหมายถึงของแข็งหรือพลังงานอัดแน่นขนาดใหญ่เช่นโลกและดวงอาทิตย์เกิดขึ้น มันก็เกิดแรงกระทำระหว่างมวลสารเหล่านี้ที่เราเรียกว่าแรงโน้มถ่วงหรือ gravity แรงโน้มถ่วงทำให้เกิดการผลักและดูดกันขึ้น ทำให้มวลสารเหล่านี้เคลื่อนไหววนไปรอบๆกันอย่างซ้ำซาก เช่นโลกหมุนรอบตัวเอง ดวงจันทร์หมุนรอบโลก โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ เป็นต้น คนเราก็สังเกตปรากฎการณ์นี้แล้วตั้งคอนเซ็พท์เวลาขึ้นมาแล้วสร้างปฏิทินและนาฬิกา นี่คือ clock time ซึ่งเป็นคอนเซ็พท์ที่มีประโยชน์ ทำให้เราใช้นัดหมายอะไรกันได้ บันทึกเหตุการณ์ให้อ่านเข้าใจง่ายได้
กับเวลาอีกอย่างหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นในใจเรา ซึ่งผมเรียกมันว่า psychological time ยกตัวอย่างเช่นพี่สาวของคุณจะแต่งงานแล้วมาทำดีกับคุณแต่ใจคุณไพล่นึกย้อนไปถึงวัยเด็กที่เธอคอยแต่จะบีทคุณและเพ็ดทูลคุณพ่อคุณแม่ว่าคุณทำไม่ดีอะไรบ้างจนเธอเป็นลูกที่เฟเวอริทมากกว่าคุณ คิดถึงตรงนี้แล้วคุณก็ขุ่นมัวทั้งๆที่เป็นวันมงคลของพี่สาว แล้วคุณก็รู้สึกผิด การที่คุณนึกย้อนไปในมิติที่คุณเรียกมันว่าอดีตนี้ นี่แหละที่ผมเรียกว่า psychological time ซึ่งมันไม่มีอยู่จริง ขณะที่คุณนึกถึงวัยเด็กนั้น ภาพวัยเด็กมันเกิดขึ้นเป็นความคิดในใจคุณที่ปัจจุบันนะ อดีตในใจคุณนั้นจริงๆแล้วมันไม่มี มันมีแต่ปัจจุบัน อนาคตก็เช่นเดียวกัน เมื่อคุณทำคะแนนทดสอบด้วยตัวเองแล้วได้คะแนนไม่ดี คุณจึงกลัวการสอบจริงซึ่งจะถึงกำหนดเดือนหน้า คุณกลัวจะล้มเหลว จะเสียหน้า ถึงกับประกาศว่าจะเลิกเรียนหนังสือแล้วโดยให้เหตุผลว่ามันไร้สาระ ประเด็นของผมก็คือความกลัวจะสอบตกนั้นเป็นเรื่องราวที่คุณจินตนาการขึ้นในมิติเวลาสมมุติที่คุณเรียกมันว่าอนาคต แต่ว่าคุณสร้างมันขึ้นที่เดี๋ยวนี้นะ อนาคตในใจเราจริงๆแล้วไม่มี นี่แหละคือ psychological time ซึ่งเป็นมิติที่ความคิดงี่เง่าทั้งหลายอาศัยเป็นที่อยู่ในใจของคุณ ไม่ว่าจะเป็นความเสียใจ ความรู้สึกผิด ความกลัว ความคาดหวัง ทั้งหมดนี้เป็นความคิดงี่เง่าทั้งนั้นเพราะมันอยู่ในหัวคุณได้เพราะคุณเชื่อว่ามี psychological time มันจึงฉวยโอกาสที่คุณ "เชื่อ" ว่าเวลาในใจนี้มีอยู่พาคุณหนีออกไปจากการใช้ชีวิตที่นี่เดี๋ยวนี้ไปอยู่ในเวลาในจินตนาการนั้น มันทำให้คุณพลาดโอกาสที่จะใช้ชีวิตที่ที่นี่เดี๋ยวนี้
ถ้าคุณตัด psychological time นี้ทิ้งไป ไม่ให้มีเวลาในใจนี้เสีย หดเวลาในใจลงมาเหลือแค่เดี๋ยวนี้ อดีตไม่มี อนาคตไม่มี มีแต่เดี๋ยวนี้ วินาทีต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นก็ยังไม่รู้ ไม่ต้องไปจินตนาการด้วย เพราะนี่เป็นความท้าทายของชีวิต เป็นความมหัศจรรย์ของชีวิต คุณเปิดตัวเองออกพร้อมรับรู้มันอย่างตื่นตัวและพร้อมที่จะรับมือมันไปทีละช็อตๆอย่างตื่นเต้นสนุกสนาน มีอะไรเกิดขึ้นรับได้หมด นี่แหละคือการใช้ชีวิตแบบเบิกบานและไม่ทุกข์
หนุ่ม
หมายความว่าชาติหน้าไม่มี
หมอสันต์
เอ๊ะ..ผมว่าผมเพิ่งตอบคำถามของคุณไปแล้วแหม็บๆนะ และโดยเฉพาะในคำถามนี้มีอีกคำตอบหนึ่งคือผมเองก็ยังไม่เคยตาย แล้วผมจะไปรู้ได้อย่างไร
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
หนุ่ม
คนเราเกิดมาทำไม เป้าหมายของชีวิตคืออะไรหรือครับ
หมอสันต์
ผมไม่ตอบคำถามของคุณนะ เพราะสิ่งที่ผมทำไม่ใช่ทำให้คุณเชื่ออะไรที่ผมพูด ดังนั้นผมจะหลีกเลี่ยงการตอบคำถามที่คำตอบนั้นคุณไม่สามารถรู้ได้ด้วยอายาตนะของคุณเอง มันจะบีบให้คุณต้องสนองตอบด้วยการ "เชื่อ"หรือ "ไม่เชื่อ" เท่านั้น ผมไม่ต้องการให้คุณเชื่อหรือไม่เชื่ออะไรทั้งสิ้น แต่ต้องการให้คุณมีประสบการณ์กับความจริงของชีวิตด้วยตัวคุณเอง
และผมจะไม่บอกคุณให้ไปค้นหาความหมายของชีวิต หรือตั้งเป้าหมายชีวิต หรือพูดอีกอย่างหนึ่งผมจะบอกคุณว่าชีวิตนี้ไม่มีความหมายอะไรหรอก เพราะ "ความหมาย" เป็นโจทย์ที่ตั้งขึ้นมาโดยอีโก้ของเราเอง ชีวิตที่แท้จริงไม่มีความหมาย มันเป็นการดำรงอยู่ (existence) คือตื่นอยู่และรับรู้ได้เท่านั้น ไม่ได้มีความหมายอะไรนอกจากน้้น ความหมายใดๆถ้าจะมีล้วนเป็นความหมายหลอกที่อีโก้หรือสำนึกว่าเป็นบุคคลของเราสร้างขึ้นมาจากความจำเก่าๆและจินตนาการของเราเองทั้งสิ้น
ดังนั้นสิ่งที่สำคัญไม่ใช่ความหมายของชีวิตหรือเป้าหมายของชีวิต แต่สิ่งสำคัญคือการใช้ชีวิต ซึ่งในการใช้ชีวิตนี้เราใช้กันที่ที่นี่เดี๋ยวนี้ ไม่ใช่ไปตามหาเอาที่ในอนาคต ถ้าคุณมัวไปตามหา คุณก็หมดโอกาสที่จะได้ใช้ชีวิต แล้วคุณอาจจะตายเสียก่อนขณะที่ยังมัวตามหาอยูู่โดยไม่ทันได้ใช้ชีวิต
และผมจะบอกวิธีให้คุณว่าคุณจะใช้ชีวิตที่ไร้ความหมายนี้อย่างไร คุณจึงจะเบิกบานและไม่ทุกข์ วิธีของผมก็ง่ายมาก คือคุณแค่ถอยความสนใจของคุณออกมาจากความคิด ถอยออกมาเป็นแค่ผู้สังเกตเห็นความคิดผ่านเข้ามาแล้วก็ผ่านออกไป ไม่ต้องไปผสมโรงคิด ตัดสิน หรือพิพากษา แค่สังเกตดูเฉยๆเหมือนท้องฟ้ามองเห็นก้อนเมฆลอยมาแล้วก็ลอยผ่านไป คุณสังเกตอยู่อย่างนี้บ่อยๆครั้งเข้า ครั้งละนานๆเข้า ในที่สุดความคิดมันก็จะฝ่อหายไปหมด เหลือแต่ความรู้ตัว ตรงนั้นแหละ ตรงที่ความรู้ตัวยามปลอดความคิด คุณจะได้ใช้ชีวิตที่เบิกบานและไม่ทุกข์ วิธีของผมง่ายขนาดนั้นเลย เพราะความรู้ตัวมันเป็นธรรมชาติที่แท้จริงของคุณอยู่แล้ว เพียงแต่คุณไม่รู้ คุณจึงไปเข้าด้วยหรือไป identify กับความคิด นึกว่าความคิดคือคุณ เมื่อใดที่คุณถอยออกมาจากความคิดเสียได้ เมื่อใดที่คุณเห็นว่าความคิดไม่ใช่คุณ เมื่อนั้นคุณก็ได้ใช้ชีวิตอย่างเบิกบานไม่เป็นทุกข์ เพราะความซึมเศร้าก็ดี ความทุกข์ทั้งหลายก็ดี ล้วนแต่เกิดจากการที่คุณไปเข้าด้วยกับความคิดของคุณทั้งสิ้น
หนุ่ม
ถ้างั้นเราก็ไม่ต้องเตรียมตัวเพื่อให้มีชาติหน้าที่ดีขึ้น
นพ.สันต์
ฮ้า.. ขำ คนรุ่นคุณยังพูดถึงชาติหน้าอยู่หรือ ผมคิดว่า "ชาติหน้า" หรือ "สวรรค์" น่าจะต้องเจ๊งหรือเลิกกิจการในอนาคตอันไม่ไกลเกินหนึ่งหรือสองชั่วอายุคนนี้เสียอีก ผมอาจจะคิดผิดก็ได้
ชาติหน้าเป็นเวลาในใจของคุณนะ เป็น psychological time คุณเป็นเด็กวิทย์ ขอผมนอกเรื่องพูดเรื่องเวลากับคุณก่อนดีกว่า คือเวลานี่มันมีสองอย่างนะ
เวลาที่เราเขียนเป็นปฏิทินหรือสร้างนาฬิกาเพื่อนับมันนั้น ผมเรียกมันง่ายๆว่า clock time ก็แล้วกัน เรื่องของเรื่องคือเมื่อจักรวาลนี้มีมวลสารหมายถึงของแข็งหรือพลังงานอัดแน่นขนาดใหญ่เช่นโลกและดวงอาทิตย์เกิดขึ้น มันก็เกิดแรงกระทำระหว่างมวลสารเหล่านี้ที่เราเรียกว่าแรงโน้มถ่วงหรือ gravity แรงโน้มถ่วงทำให้เกิดการผลักและดูดกันขึ้น ทำให้มวลสารเหล่านี้เคลื่อนไหววนไปรอบๆกันอย่างซ้ำซาก เช่นโลกหมุนรอบตัวเอง ดวงจันทร์หมุนรอบโลก โลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ เป็นต้น คนเราก็สังเกตปรากฎการณ์นี้แล้วตั้งคอนเซ็พท์เวลาขึ้นมาแล้วสร้างปฏิทินและนาฬิกา นี่คือ clock time ซึ่งเป็นคอนเซ็พท์ที่มีประโยชน์ ทำให้เราใช้นัดหมายอะไรกันได้ บันทึกเหตุการณ์ให้อ่านเข้าใจง่ายได้
กับเวลาอีกอย่างหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นในใจเรา ซึ่งผมเรียกมันว่า psychological time ยกตัวอย่างเช่นพี่สาวของคุณจะแต่งงานแล้วมาทำดีกับคุณแต่ใจคุณไพล่นึกย้อนไปถึงวัยเด็กที่เธอคอยแต่จะบีทคุณและเพ็ดทูลคุณพ่อคุณแม่ว่าคุณทำไม่ดีอะไรบ้างจนเธอเป็นลูกที่เฟเวอริทมากกว่าคุณ คิดถึงตรงนี้แล้วคุณก็ขุ่นมัวทั้งๆที่เป็นวันมงคลของพี่สาว แล้วคุณก็รู้สึกผิด การที่คุณนึกย้อนไปในมิติที่คุณเรียกมันว่าอดีตนี้ นี่แหละที่ผมเรียกว่า psychological time ซึ่งมันไม่มีอยู่จริง ขณะที่คุณนึกถึงวัยเด็กนั้น ภาพวัยเด็กมันเกิดขึ้นเป็นความคิดในใจคุณที่ปัจจุบันนะ อดีตในใจคุณนั้นจริงๆแล้วมันไม่มี มันมีแต่ปัจจุบัน อนาคตก็เช่นเดียวกัน เมื่อคุณทำคะแนนทดสอบด้วยตัวเองแล้วได้คะแนนไม่ดี คุณจึงกลัวการสอบจริงซึ่งจะถึงกำหนดเดือนหน้า คุณกลัวจะล้มเหลว จะเสียหน้า ถึงกับประกาศว่าจะเลิกเรียนหนังสือแล้วโดยให้เหตุผลว่ามันไร้สาระ ประเด็นของผมก็คือความกลัวจะสอบตกนั้นเป็นเรื่องราวที่คุณจินตนาการขึ้นในมิติเวลาสมมุติที่คุณเรียกมันว่าอนาคต แต่ว่าคุณสร้างมันขึ้นที่เดี๋ยวนี้นะ อนาคตในใจเราจริงๆแล้วไม่มี นี่แหละคือ psychological time ซึ่งเป็นมิติที่ความคิดงี่เง่าทั้งหลายอาศัยเป็นที่อยู่ในใจของคุณ ไม่ว่าจะเป็นความเสียใจ ความรู้สึกผิด ความกลัว ความคาดหวัง ทั้งหมดนี้เป็นความคิดงี่เง่าทั้งนั้นเพราะมันอยู่ในหัวคุณได้เพราะคุณเชื่อว่ามี psychological time มันจึงฉวยโอกาสที่คุณ "เชื่อ" ว่าเวลาในใจนี้มีอยู่พาคุณหนีออกไปจากการใช้ชีวิตที่นี่เดี๋ยวนี้ไปอยู่ในเวลาในจินตนาการนั้น มันทำให้คุณพลาดโอกาสที่จะใช้ชีวิตที่ที่นี่เดี๋ยวนี้
ถ้าคุณตัด psychological time นี้ทิ้งไป ไม่ให้มีเวลาในใจนี้เสีย หดเวลาในใจลงมาเหลือแค่เดี๋ยวนี้ อดีตไม่มี อนาคตไม่มี มีแต่เดี๋ยวนี้ วินาทีต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นก็ยังไม่รู้ ไม่ต้องไปจินตนาการด้วย เพราะนี่เป็นความท้าทายของชีวิต เป็นความมหัศจรรย์ของชีวิต คุณเปิดตัวเองออกพร้อมรับรู้มันอย่างตื่นตัวและพร้อมที่จะรับมือมันไปทีละช็อตๆอย่างตื่นเต้นสนุกสนาน มีอะไรเกิดขึ้นรับได้หมด นี่แหละคือการใช้ชีวิตแบบเบิกบานและไม่ทุกข์
หนุ่ม
หมายความว่าชาติหน้าไม่มี
หมอสันต์
เอ๊ะ..ผมว่าผมเพิ่งตอบคำถามของคุณไปแล้วแหม็บๆนะ และโดยเฉพาะในคำถามนี้มีอีกคำตอบหนึ่งคือผมเองก็ยังไม่เคยตาย แล้วผมจะไปรู้ได้อย่างไร
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์