คุณกำลังเกิดอาการธรรมะโอเว่อร์โด้ส
คุณหมอคะ
รบกวนสอบถามหน่อยนะคะ คือเราไปเจอขณะวินาทีนึงที่ไม่มีอะไรอธิบายได้ แล้วเราก็รู้สึกว่า อะไรก็ตามที่ผุดขึ้นมาเป็นความคิดล้วนไม่จริงทั้งสิ้น เพราะความคิดที่บอกความเป็นตัวเราล้วนมาจากการอบรมสั่งสอน ภาษา ความทรงจำที่สร้าง Identity ให้เราหลงไป และเวลาก็ไม่ได้มีอยู่จริง มีแค่ความคิด และร่างกายที่เราไปหลงด้วยความไม่รู้ว่าเป็นของเราจริงๆ และไอ้ความไม่รู้ที่ทำให้หลงไปเวียนว่ายตายเกิด ชีวิตก็มีแค่ชั่วขณะที่ภาษาไม่สามารถอธิบายได้ แค่ existence อากับกิริยาต่างที่ไม่มีภาษาใดใด แต่
หลายครั้งที่เราคิดละโกรธ แต่เราก็รู้ว่ามันไม่ใช่เรา ..แต่ถ้าก่อนตายละเรากำลังโมโหหล่ะคะ...ละต้องฝึกวางใจให้เป็นอะเบกขามั้ยคะ ในเมื่อมีสิ่งเดียวคือแค่การดำรงอยู่ชั่วขณะต่อขณะ แต่ความคิดทำหน้าที่ของมันไป อารมณ์โกรธก็มีได้ปกติทำหน้าที่ไปตามสังขาร แต่เพราะคิดเราจึงโกรธ (แล้วแบบนี้ขณะคิดที่โกรธแสดงว่าเราหลงไปในความคิดจึงโกรธมั้ยคะ หรือปล่อยให้มันทำหน้าที่ไป ละเกิดตายตอนโมโหพอดี เพราะความคิดทำหน้าที่ตามธรรมชาติของมันไป ไม่มีบวก ลบ มีแค่เช่นนั้นเอง แต่ด้วยเราก็รู้ว่าไม่มีอะไรจริงๆ ..ความเข้าใจคิดว่าพระอรหันต์ ต่างกับฆราวาส แค่ อวิชชา ที่เราไม่รู้จริงๆ คือ สิ่งมีทุกสรรพสิ่งมีอยู่แล้วไม่ต้องไปหาที่ไหน ..แต่ยังสงสัยว่าละจะไม่ไปเกิดได้งัยคะ ถ้ายังงัยความคิดก็ยังทำงาน อารมณ์โกรธ หลง ต่างๆ ก็ยังมี ก็ตายตอนโกรธจะไปอบายภูมิมั้ยคะ ต้องฝึกวางใจให้กลางมั้ยคะ ในเมื่อกลางก็ไม่จริง ความคิดมันก็ฝึกหรือควบคุมไม่ได้ มันทำหน้าที่ของมัน
...................................................
แง่มุมที่ 1. จริง-ไม่จริง ดูกันที่อะไรถาวรกว่ากัน นี่ว่ากันเฉพาะสิ่งที่ปรากฎต่อจิตสำนึกรับรู้ของเรานะ เช่น ความคิด โลก ร่างกาย ความรู้ตัว ในแง่มุมนี้ผมตอบว่าทุกอย่างที่ปรากฎให้จิตสำนึกของเรารับรู้ได้ (object) ล้วนเป็นของจริงหมด ถ้าปรากฎแว้บเดียวแล้วหายไปอย่างความคิดนี้ก็ถือว่าจริงอยู่แค่แป๊บเดียว ถ้าปรากฎอยู่พักหนึ่งแล้วก็หายไปอย่างเช่นร่างกายนี้ก็เรียกว่าจริงอยู่พักใหญ่แต่ในที่สุดก็หายไปอยู่ดี ถ้าปรากฎอยู่โดยไม่หายไปไหนเลยตั้งแต่เราจำความได้จนถึงวันนี้อย่างเช่นความรู้ตัวนี้ก็ถือว่าเป็นของที่จริงอยู่นานที่สุด ในภาษามนุษย์หากสิ่งใดดำรงอยู่อย่างชั่วนิรันดรไม่หายไปไหนเลย ไม่มีเกิด ไม่มีตาย ไม่มีเน่าเปื่อยสลายเปลี่ยนแปลง เราก็เรียกสิ่งนั้นด้วยภาษาสมมุติว่าเป็นความจริงสูงสุดหรือเป็นสัจจธรรม
แง่มุมที่ 2. เนื้อหาสาระของความคิด อันไหนเป็นความจริง เช่นคนสองคนพูดถึงคนที่สาม
นาย ก.พูดว่า "เขาเป็นคนเลว"
นาย ข. พูดว่า "เขาเป็นคนดี"
ความหมายในคำพูดของใครเป็นความจริง ในแง่นี้ผมตอบว่าไม่มีความคิดหรือคำพูดไหนไม่ว่าจะเกี่ยวกับเรื่องอะไรที่เป็นความจริงเลยสักอันเดียว เพราะทุกความคิดทุกคำพูดผูกโยงขึ้นมาจากตรรกะของภาษา ซึ่งภาษานี้ไม่ใช่ของที่มีอยู่จริง แต่เป็นของที่คนเราสมมุติขึ้นมา ของจริงในจักรวาลนี้ไม่ได้ปรากฎเป็นภาษา แต่ปรากฎเป็นคลื่นความสั่นสะเทือนในย่านความถี่ต่างๆกันแล้วมากระทบอายตนะของเราให้สมองตีความออกมาเป็นภาษาเอาเองด้วยวิธีตีความของใครของมัน คลื่นตัวจริงนั้นไม่เหมือนกับที่ภาษาบรรยายไว้ แต่คนที่วางความคิดได้จนมีสมาธิแหลมคมดีระดับหนึ่งแล้วสามารถ "รู้สึก (feel)" คลื่นเหล่านั้นเอาตามที่มันเป็นอยู่จริงๆได้
2. ถามว่าขณะที่คิดโกรธแสดงว่าเราหลงไปในความคิดจึงโกรธใช่มั้ยคะ ตอบว่า..ใช่ครับ แต่ผมขอพูดใหม่ให้เข้าใจง่ายขึ้นดีกว่าว่าการที่คุณโกรธหมายความว่าคุณไปเข้าด้วย (identify) กับความเป็นบุคคลสมมุติของคุณแบบ "อิน" มากเกินไป คือทุกคนก็รู้ๆกันอยู่ว่าความเป็นบุคคลของเรานี้เป็นสิ่งสมมุติ เป็นตัวละคอนบนเวทีที่เราสวมบทบาทนั้นเล่นๆอยู่ การเล่นละคอนเช่นสมมุติว่าคุณเล่นเป็นเจ้าหญิงมันก็ต้องอินแบบใส่อารมณ์พอสมควรเพื่อให้อาชีพดาราละคอนมันมีสีสันสนุกสนานทั้งผู้เล่นและผู้ชม แต่ถ้าเผลออินมากเกินไปจนคุณนึกว่าคุณเป็นเจ้าหญิงตัวจริง พอเจ้าหญิงบนเวทีถูกนางร้ายกระทำเอา คุณก็เป็นทุกข์เกินเหตุ ทั้งๆที่ตัวคุณไม่ได้เป็นเจ้าหญิงตัวจริงสักหน่อย คุณเป็นแค่ดาราผู้สวมบทบาทเจ้าหญิงเท่านั้น
รบกวนสอบถามหน่อยนะคะ คือเราไปเจอขณะวินาทีนึงที่ไม่มีอะไรอธิบายได้ แล้วเราก็รู้สึกว่า อะไรก็ตามที่ผุดขึ้นมาเป็นความคิดล้วนไม่จริงทั้งสิ้น เพราะความคิดที่บอกความเป็นตัวเราล้วนมาจากการอบรมสั่งสอน ภาษา ความทรงจำที่สร้าง Identity ให้เราหลงไป และเวลาก็ไม่ได้มีอยู่จริง มีแค่ความคิด และร่างกายที่เราไปหลงด้วยความไม่รู้ว่าเป็นของเราจริงๆ และไอ้ความไม่รู้ที่ทำให้หลงไปเวียนว่ายตายเกิด ชีวิตก็มีแค่ชั่วขณะที่ภาษาไม่สามารถอธิบายได้ แค่ existence อากับกิริยาต่างที่ไม่มีภาษาใดใด แต่
หลายครั้งที่เราคิดละโกรธ แต่เราก็รู้ว่ามันไม่ใช่เรา ..แต่ถ้าก่อนตายละเรากำลังโมโหหล่ะคะ...ละต้องฝึกวางใจให้เป็นอะเบกขามั้ยคะ ในเมื่อมีสิ่งเดียวคือแค่การดำรงอยู่ชั่วขณะต่อขณะ แต่ความคิดทำหน้าที่ของมันไป อารมณ์โกรธก็มีได้ปกติทำหน้าที่ไปตามสังขาร แต่เพราะคิดเราจึงโกรธ (แล้วแบบนี้ขณะคิดที่โกรธแสดงว่าเราหลงไปในความคิดจึงโกรธมั้ยคะ หรือปล่อยให้มันทำหน้าที่ไป ละเกิดตายตอนโมโหพอดี เพราะความคิดทำหน้าที่ตามธรรมชาติของมันไป ไม่มีบวก ลบ มีแค่เช่นนั้นเอง แต่ด้วยเราก็รู้ว่าไม่มีอะไรจริงๆ ..ความเข้าใจคิดว่าพระอรหันต์ ต่างกับฆราวาส แค่ อวิชชา ที่เราไม่รู้จริงๆ คือ สิ่งมีทุกสรรพสิ่งมีอยู่แล้วไม่ต้องไปหาที่ไหน ..แต่ยังสงสัยว่าละจะไม่ไปเกิดได้งัยคะ ถ้ายังงัยความคิดก็ยังทำงาน อารมณ์โกรธ หลง ต่างๆ ก็ยังมี ก็ตายตอนโกรธจะไปอบายภูมิมั้ยคะ ต้องฝึกวางใจให้กลางมั้ยคะ ในเมื่อกลางก็ไม่จริง ความคิดมันก็ฝึกหรือควบคุมไม่ได้ มันทำหน้าที่ของมัน
...................................................
ตอบครับ
1. ถามว่าในชีวิตนี้อะไรจริงอะไรไม่จริง ขึ้นชื่อว่าความคิดล้วนเป็นของไม่จริงทั้งหมด..ใช่ไหม ตอบว่าจริง-เท็จ เป็นคอนเซ็พท์นะ ศัพท์ตัวเดียวกันนี้ใช้บ่งชี้ถึงสองคอนเซ็พท์หรือสองแง่มุม ผมจะตอบไปทีละแง่มุม
แง่มุมที่ 1. จริง-ไม่จริง ดูกันที่อะไรถาวรกว่ากัน นี่ว่ากันเฉพาะสิ่งที่ปรากฎต่อจิตสำนึกรับรู้ของเรานะ เช่น ความคิด โลก ร่างกาย ความรู้ตัว ในแง่มุมนี้ผมตอบว่าทุกอย่างที่ปรากฎให้จิตสำนึกของเรารับรู้ได้ (object) ล้วนเป็นของจริงหมด ถ้าปรากฎแว้บเดียวแล้วหายไปอย่างความคิดนี้ก็ถือว่าจริงอยู่แค่แป๊บเดียว ถ้าปรากฎอยู่พักหนึ่งแล้วก็หายไปอย่างเช่นร่างกายนี้ก็เรียกว่าจริงอยู่พักใหญ่แต่ในที่สุดก็หายไปอยู่ดี ถ้าปรากฎอยู่โดยไม่หายไปไหนเลยตั้งแต่เราจำความได้จนถึงวันนี้อย่างเช่นความรู้ตัวนี้ก็ถือว่าเป็นของที่จริงอยู่นานที่สุด ในภาษามนุษย์หากสิ่งใดดำรงอยู่อย่างชั่วนิรันดรไม่หายไปไหนเลย ไม่มีเกิด ไม่มีตาย ไม่มีเน่าเปื่อยสลายเปลี่ยนแปลง เราก็เรียกสิ่งนั้นด้วยภาษาสมมุติว่าเป็นความจริงสูงสุดหรือเป็นสัจจธรรม
แง่มุมที่ 2. เนื้อหาสาระของความคิด อันไหนเป็นความจริง เช่นคนสองคนพูดถึงคนที่สาม
นาย ก.พูดว่า "เขาเป็นคนเลว"
นาย ข. พูดว่า "เขาเป็นคนดี"
ความหมายในคำพูดของใครเป็นความจริง ในแง่นี้ผมตอบว่าไม่มีความคิดหรือคำพูดไหนไม่ว่าจะเกี่ยวกับเรื่องอะไรที่เป็นความจริงเลยสักอันเดียว เพราะทุกความคิดทุกคำพูดผูกโยงขึ้นมาจากตรรกะของภาษา ซึ่งภาษานี้ไม่ใช่ของที่มีอยู่จริง แต่เป็นของที่คนเราสมมุติขึ้นมา ของจริงในจักรวาลนี้ไม่ได้ปรากฎเป็นภาษา แต่ปรากฎเป็นคลื่นความสั่นสะเทือนในย่านความถี่ต่างๆกันแล้วมากระทบอายตนะของเราให้สมองตีความออกมาเป็นภาษาเอาเองด้วยวิธีตีความของใครของมัน คลื่นตัวจริงนั้นไม่เหมือนกับที่ภาษาบรรยายไว้ แต่คนที่วางความคิดได้จนมีสมาธิแหลมคมดีระดับหนึ่งแล้วสามารถ "รู้สึก (feel)" คลื่นเหล่านั้นเอาตามที่มันเป็นอยู่จริงๆได้
2. ถามว่าขณะที่คิดโกรธแสดงว่าเราหลงไปในความคิดจึงโกรธใช่มั้ยคะ ตอบว่า..ใช่ครับ แต่ผมขอพูดใหม่ให้เข้าใจง่ายขึ้นดีกว่าว่าการที่คุณโกรธหมายความว่าคุณไปเข้าด้วย (identify) กับความเป็นบุคคลสมมุติของคุณแบบ "อิน" มากเกินไป คือทุกคนก็รู้ๆกันอยู่ว่าความเป็นบุคคลของเรานี้เป็นสิ่งสมมุติ เป็นตัวละคอนบนเวทีที่เราสวมบทบาทนั้นเล่นๆอยู่ การเล่นละคอนเช่นสมมุติว่าคุณเล่นเป็นเจ้าหญิงมันก็ต้องอินแบบใส่อารมณ์พอสมควรเพื่อให้อาชีพดาราละคอนมันมีสีสันสนุกสนานทั้งผู้เล่นและผู้ชม แต่ถ้าเผลออินมากเกินไปจนคุณนึกว่าคุณเป็นเจ้าหญิงตัวจริง พอเจ้าหญิงบนเวทีถูกนางร้ายกระทำเอา คุณก็เป็นทุกข์เกินเหตุ ทั้งๆที่ตัวคุณไม่ได้เป็นเจ้าหญิงตัวจริงสักหน่อย คุณเป็นแค่ดาราผู้สวมบทบาทเจ้าหญิงเท่านั้น
3. ถามว่าเมื่อรู้ว่าความคิดทำหน้าที่ตามธรรมชาติของมันไป ไม่มีบวก ไม่มีลบ มีแค่เช่นนั้นเอง เราปล่อยให้มันทำหน้าที่ของมันไปแบบมันโกรธก็ให้มันโกรธไปสุดๆของมันดีไหม ตอบว่า ป๊าด..ด นี่คุณเป็นโรคธรรมะล้นสมองเสียแล้วรู้ตัวไหมเนี่ย ผมหมายถึงว่าคุณศึกษาธรรมะผ่านภาษาพูดภาษาเขียน พยายามตีความคำแปลของศัพท์แต่ละคำที่แต่ละสำนักคิดขึ้นมาอธิบายชี้แจงประเด็นของเขา แต่คุณยิ่งอ่านไปยิ่งตีความคำศัพท์ไปคุณก็ยิ่งห่างจากเป้าหมายของคุณที่จะวางความคิดให้ได้ออกไปไกลยิ่งขึ้นทุกที จุดจบของคุณแทนที่จะหลุดพ้นก็คือคุณจะถูกหนังสือทับตายอย่างเขียดเสียก่อนแบบว่า...แอ๊บ..บ
เวลาคุณศึกษาเอาจากภาษาหนังสือหรือคำพูดซึ่งเป็นคอนเซ็พท์ คุณต้องตีความคอนเซ็พท์ควบคู่กับการทดลองปฏิบัติสู่ความหลุดพ้นแล้วสรุปเอาตรงที่ทั้งสองอย่างนั้นสอดคล้องต้องกัน ไม่ใช่ตีความด้วยวิธีแปลศัพท์เอาตามหลักวิชาภาษาศาสตร์ซึ่งจะพาคุณไปติดกับดัก อย่างเช่นคอนเซ็พท์ที่ว่า "..ทำหน้าที่ตามธรรมชาติของมันไป ไม่มีบวก ไม่มีลบ มีแค่เช่นนั้นเอง" หมายความว่าเมื่อสิ่งเร้าในรูปของคลื่นของความสั่นสะเทือนเช่นภาพหรือเสียงมากระทบคุณ มันก็เป็นแค่คลื่นความสั่นสะเทือน เป็นแค่ภาพ เป็นแค่เสียง แค่นั้นเอง ยังไม่ได้มีความหมายในเชิงภาษาใดๆทั้งสิ้น แต่เป็นความคิดปรุงแต่งของคุณต่างหากที่ใส่ความหมายให้มัน เมื่อคุณสนองตอบต่อสิ่งเร้าไม่ว่าจะเป็นภาพหรือเสียงนั้นด้วยการคิด นั่นหมายความว่าคุณได้ใส่ค่าหรือใส่ความหมายในเชิงภาษาให้สิ่งเร้านั้นไปเรียบร้อยแล้วคุณถึงสนองตอบออกไปได้ การโกรธก็คือการใส่ความหมายให้สิ่งเร้าที่คุณรับเข้ามาว่ามีความหมายเป็น "ลบ" ก่อนแล้วคุณจึงจะโกรธ หากคุณจะสังเกตรับรู้แค่ว่ามันเป็นเช่นนั้นเอง คุณจะต้องสังเกตเสียตั้งแต่ในขั้นตอนที่คุณรับรู้สิ่งเร้าเข้ามาในรูปของภาพหรือเสียงก่อนที่คุณจะสนองตอบด้วยการคิด สังเกตรับรู้ด้วยมุมมองหรือคอนเซ็พท์ว่ามันเป็นเช่นนั้นเอง ไม่มีการใส่ความหมายให้มัน ก็คือไม่มีโกรธไม่มีลิงโลดยินดีกับสิ่งเร้านั้น ไม่ใช่คุณโกรธปึงปังขึ้นมาแล้วคุณมุ่งหน้าปฏิบัติธรรมตามตัวหนังสือด้วยการปล่อยให้ความโกรธนั้นเหวี่ยงหรือระเบิดตัวของมันไปให้สุดๆ ให้ถึงไหนถึงกันเพื่อให้เป็นไปตามธรรมะข้อที่ว่ามันเป็นเช่นนั้นเอง หิ หิ นี่คุณกำลังจะเป็นบ้าเพราะหนังสือธรรมะเสียแล้ว
ในเรื่องการรับมือกับความโกรธนี้คุณอย่าไปพยายามตีความเอาจากหนังสือเลย ให้คุณลงมือทำเองแบบง่ายๆ เมื่อคุณโกรธ ให้คุณสังเกตให้เห็นความคิดซึ่งในที่นี้ก็คือความโกรธของคุณ นี่คือคุณ (attention) นะ อยู่ที่นี่ นั่นคือความโกรธนะ ไม่ใช่คุณ คุณเป็นผู้สังเกต (the observer) ความโกรธเป็นสิ่งที่ถูกสังเกต (the observed) สังเกตเฉยๆ ทิ้งระยะนิดหนึ่งระหว่างผู้สังเกตกับสิ่งที่ถูกสังเกต การสังเกตก็ต้องมีลูกเล่นนิดหน่อยนะ แบบว่าแอบเหลียวไปดูนิดหนึ่งว่า
"กำลังคิดอะไรอยู่ อ้อ กำลังโกรธอยู่แฮะ"
แล้วก็รีบหันกลับมา อีกแป๊บหนึ่งก็แอบเหลียวไปดูอีกนิดหนึ่งว่า
"ความโกรธเจ้าเอย ยังอยู่หรือเปล่า อ้อ ยังอยู่แฮะ" รีบห้นกลับมาอีก อีกแป๊บหนึ่งแอบหันไปดูอีก
"ยังอยู่แมะ อ้อ ไปแล้วหรือ"
ต้องทำแบบนี้นะ อย่าไปสังเกตแบบว่า
"..โอ้โฮเฮะ กำลังโกรธใหญ่เลยวุ้ย เข้าไปสังเกตใกล้ชิดจริงจังดูหน่อยซิ โกรธเรื่องอะไรกันหรือเป็นวรรคเป็นเวรเลย โอ้ เรื่องเป็นอย่างนั้นเลยหรือ.."
ถ้าแบบหลังนี้คุณไม่ได้สังเกตความคิดแล้ว แต่คุณกำลังเผลอเข้าไปผสมโรงคิดต่อยอดความคิดเดิมคือความโกรธนั้น
4. ถามว่า ถ้าปล่อยให้ความคิดทำหน้าที่ของมันไม่ว่าจะเป็นโลภโกรธหลงแล้วหากจิตสุดท้ายกำลังมีกิเลศตายแล้วจะต้องไปเกิดในอบายภูมิหรือเปล่า ตอบว่า คุณอย่าไปสนใจไกลไปถึงจิตสุดท้ายเลย มันไม่ใช่เรื่องที่จะทำให้คุณหลุดพ้นจากความคิดงี่เง่าที่กำลังเป็นปัญหาของคุณ ณ เดี๋ยวนี้ได้ คุณอย่าไปเที่ยวสนใจเรื่องใบไม้นอกกำมือ คุณรู้ไหมว่าคุณจะมีประสบการณ์จริงกับความตายของคุณเมื่อไหร่ ผมจะบอกให้ก็ได้คุณว่าคุณจะมีประสบการณ์จริงกับความตายของคุณที่เดี๋ยวนี้นะ เพราะเมื่อความตายมันมาถึง มันมาถึงเมื่อเดี๋ยวนี้ ดังนั้น แค่คุณถอยความสนใจของคุณมาอยู่กับความรู้ตัวที่เดี๋ยวนี้ทีละช็อตๆจนความรู้ตัวกลายเป็นบ้านอันถาวรของคุณคุณก็หมดปัญหาเรื่องจิตสุดท้ายจะเผลอเวิ่นเว้อไปไหนต่อไหนก่อนตายได้แล้วในทันทีเดี๋ยวนี้ แล้วคุณจะไปวอรี่ถึงความตายในอนาคตอันเป็นเวลาในใจคุณซึ่งมันไม่ได้มีอยู่จริงทำไม
อนึ่ง ผมเคยเขียนตอบคนอื่นไปเมื่อไม่นานมานี้ วันนี้ขอย้ำอีกทีว่าเรื่องอะไรก็ตามที่คุณไม่ได้มีประสบการณ์ตรงผ่านอายตนะของคุณเอง ให้คุณจัดมันไว้เป็นเรื่องที่คุณ "ไม่รู้" อย่าพยายาม "เชื่อ" หรือ "ไม่เชื่อ" ในเรื่องที่คุณไม่รู้ เพราะการหลับหูหลับตา "เชื่อ" หรือ "ไม่เชื่อ" นอกจากจะพาตัวเองไปดักดานอยู่ในซอยตันของถนนสู่ความหลุดพ้นแล้ว ยังเป็นต้นเหตุของปัญหาใหญ่ๆในสังคมมนุษย์มาจนทุกวันนี้ การมีสงครามเข่นฆ่ากันคราวละเป็นเบือรวมทั้งการที่คนที่มีศรัทธาในพระเจ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของตนถืออาวุธหรือระเบิดเข้าไปฆ่าเด็กหรือคนไม่รู้อิโหน่อิเหน่ได้คราวละมากๆได้ ก็ล้วนมีเหตุมาจากการปักใจเชื่อหรือไม่เชื่อในสิ่งที่ตัวเองไม่รู้นี่เอง ดังนั้นอะไรที่คุณไม่รู้ ให้มันเป็นสิ่งที่ยังไม่รู้ไว้ยังงั้นนะดีแล้ว อย่าไปเชื่อหรือไม่เชื่อทั้งๆที่ยังไม่รู้
5. ข้อนี้คุณไม่ได้ถามแต่ผมแถมให้เพราะเห็นคุณพูดขึ้นมา คือเรื่องอบายภูมิ (เช่นนรกเป็นต้น) คือผมจะบอกคุณว่านรกก็ดี สวรรค์ก็ดี มันเป็นคอนเซ็พท์ที่มีสองคอนเซ็พท์ย่อยอยู่ในนั้นนะ คือ
คอนเซ็พท์ที่ 1. เป็นสถานะของความคิดในใจ (เช่นนรกก็คือใจที่เร่าร้อนกระวนกระวาย ดิรัจฉานก็เป็นใจที่มืดมัวโง่เง่า เปรตก็เป็นใจที่หิวกระหายไร้สุข อสูรก็เป็นใจที่หวาดหวั่นไร้ความรื่นเริง) ในแง่นี้มันจริงแหงๆอยู่แล้ว ไม่ต้องรอไปถึงจิตสุดท้ายก่อนตายหรอก เมื่อไหร่ที่คุณมีความอยากเมื่อนั้นคุณก็ไปนรก มันเป็นของแน่ที่มีตรรกะชัดเจนและใครๆก็รู้ได้ด้วยประสบการณ์ของตัวเอง คุณจะเรียกมันว่านรกสวรรค์หรือเรียกอย่างอื่นแต่มันก็เป็นสถานะของความคิดในใจที่มีอยู่อย่างจริงแท้แน่นอน
คอนเซ็พท์ที่ 2. เป็นสถานที่ที่รอคนตายอยู่ สถานที่นี้อาจจะอยู่ใต้ดินบ้าง อยู่ในอากาศบ้าง อยู่ในหลืบที่ไร้ตะเข็บของเอกภพบ้าง แต่เป็นเมืองหรือสถานที่ที่เมื่อคนตายแล้วเท่านั้นจึงจะได้ไป ถ้าเป็นนรกก็เป็นเมืองที่ไม่น่ารื่นรมย์ ถ้าเป็นสวรรค์ก็มีความน่ารื่นรมย์สาระพัดสาระเพเช่นมีผู้หญิงสาวๆสวยๆผู้ชายหนุ่มๆหล่อๆ มีอาหารอร่อยๆ มีบ้านสวยๆ สร้างด้วยแก้วบ้าง ทองคำบ้าง เงินบ้าง เป็นต้น
ถามว่านรกและสวรรค์ในแบบหลังนี้มีอยู่จริงหรือเปล่า ตอบว่าผมไม่รู้ เพราะผมไม่เคยไป แต่ผมเดาเอาว่าในยุคที่ความคิดของผู้คนกำลังจะถูกจูนให้มาเหมือนกันหมดทั้งโลกโดยผ่านสิ่งที่เรียกว่า ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และโดยเครื่องมืออย่างเช่นอากู๋ (Google) และอินเตอร์เน็ท ผมเดาเอาว่าอีกไม่เกินหนึ่งหรือสองชั่วอายุคนข้างหน้า สวรรค์กับนรกในแบบหลังนี้คงจะต้องเจ๊งและเลิกกิจการไป
ถามว่าเมื่อนรกสวรรค์เลิกกิจการไปแล้วผู้คนจะเอาอะไรมาช่วยให้ตัวเองมีชีวิตอยู่ในวันนี้ได้โดยไม่เป็นทุกข์ ตอบว่าผมเดาเอาว่าผู้คนคงจะมีเส้นทางเดินกันสองสาย คือ
(1) สายเคมี คือพวกที่หันไปพึ่งสารเคมีเพื่อช่วยให้วางความคิดได้ เช่น ยาต้านซึมเศร้า ยานอนหลับ ยาแก้ปวด แอลกอฮอล์ กัญชา และฝิ่น ซึ่งต่อไปคงจะทะยอยกันออกมาในรูปของยาที่ถูกกฎหมายโดยอัตโนมัติเพราะมันจะกลายเป็นของที่แทบทุกคนต้องกินต้องใช้
(2) สายจิตวิญญาณ คือพวกที่มุ่งหน้าแสวงหาเทคนิคที่จะฝึกวางความคิดและเสาะหาศักยภาพเต็มๆของตัวเองโดยไม่ต้องอิงนรกสวรรค์ (spirituality but not religious) ผ่านวิธีเช่น การฝึกสติ สมาธิ โยคะ ไทชิ และการเข้าคอร์สสัมนาปฏิบัติเพื่อพัฒนาตัวเองต่างๆ เป็นต้น
ในอนาคตสองสายนี้เส้นทางไหนจะเป็นเส้นทางหลักของผู้คนผมเองก็ยังไม่ทราบและไม่อาจเดาได้ รู้แน่ๆแต่ว่าทุกวันนี้ประมาณ 90% ของคนไข้ของหมอสันต์เองได้เลือกเดินทางในสายที่ (1) ไปเรียบร้อยแล้ว และกำลังรอการมาของกัญชาอย่างตั้งอกตั้งใจ
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
คอนเซ็พท์ที่ 1. เป็นสถานะของความคิดในใจ (เช่นนรกก็คือใจที่เร่าร้อนกระวนกระวาย ดิรัจฉานก็เป็นใจที่มืดมัวโง่เง่า เปรตก็เป็นใจที่หิวกระหายไร้สุข อสูรก็เป็นใจที่หวาดหวั่นไร้ความรื่นเริง) ในแง่นี้มันจริงแหงๆอยู่แล้ว ไม่ต้องรอไปถึงจิตสุดท้ายก่อนตายหรอก เมื่อไหร่ที่คุณมีความอยากเมื่อนั้นคุณก็ไปนรก มันเป็นของแน่ที่มีตรรกะชัดเจนและใครๆก็รู้ได้ด้วยประสบการณ์ของตัวเอง คุณจะเรียกมันว่านรกสวรรค์หรือเรียกอย่างอื่นแต่มันก็เป็นสถานะของความคิดในใจที่มีอยู่อย่างจริงแท้แน่นอน
คอนเซ็พท์ที่ 2. เป็นสถานที่ที่รอคนตายอยู่ สถานที่นี้อาจจะอยู่ใต้ดินบ้าง อยู่ในอากาศบ้าง อยู่ในหลืบที่ไร้ตะเข็บของเอกภพบ้าง แต่เป็นเมืองหรือสถานที่ที่เมื่อคนตายแล้วเท่านั้นจึงจะได้ไป ถ้าเป็นนรกก็เป็นเมืองที่ไม่น่ารื่นรมย์ ถ้าเป็นสวรรค์ก็มีความน่ารื่นรมย์สาระพัดสาระเพเช่นมีผู้หญิงสาวๆสวยๆผู้ชายหนุ่มๆหล่อๆ มีอาหารอร่อยๆ มีบ้านสวยๆ สร้างด้วยแก้วบ้าง ทองคำบ้าง เงินบ้าง เป็นต้น
ถามว่านรกและสวรรค์ในแบบหลังนี้มีอยู่จริงหรือเปล่า ตอบว่าผมไม่รู้ เพราะผมไม่เคยไป แต่ผมเดาเอาว่าในยุคที่ความคิดของผู้คนกำลังจะถูกจูนให้มาเหมือนกันหมดทั้งโลกโดยผ่านสิ่งที่เรียกว่า ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และโดยเครื่องมืออย่างเช่นอากู๋ (Google) และอินเตอร์เน็ท ผมเดาเอาว่าอีกไม่เกินหนึ่งหรือสองชั่วอายุคนข้างหน้า สวรรค์กับนรกในแบบหลังนี้คงจะต้องเจ๊งและเลิกกิจการไป
ถามว่าเมื่อนรกสวรรค์เลิกกิจการไปแล้วผู้คนจะเอาอะไรมาช่วยให้ตัวเองมีชีวิตอยู่ในวันนี้ได้โดยไม่เป็นทุกข์ ตอบว่าผมเดาเอาว่าผู้คนคงจะมีเส้นทางเดินกันสองสาย คือ
(1) สายเคมี คือพวกที่หันไปพึ่งสารเคมีเพื่อช่วยให้วางความคิดได้ เช่น ยาต้านซึมเศร้า ยานอนหลับ ยาแก้ปวด แอลกอฮอล์ กัญชา และฝิ่น ซึ่งต่อไปคงจะทะยอยกันออกมาในรูปของยาที่ถูกกฎหมายโดยอัตโนมัติเพราะมันจะกลายเป็นของที่แทบทุกคนต้องกินต้องใช้
(2) สายจิตวิญญาณ คือพวกที่มุ่งหน้าแสวงหาเทคนิคที่จะฝึกวางความคิดและเสาะหาศักยภาพเต็มๆของตัวเองโดยไม่ต้องอิงนรกสวรรค์ (spirituality but not religious) ผ่านวิธีเช่น การฝึกสติ สมาธิ โยคะ ไทชิ และการเข้าคอร์สสัมนาปฏิบัติเพื่อพัฒนาตัวเองต่างๆ เป็นต้น
ในอนาคตสองสายนี้เส้นทางไหนจะเป็นเส้นทางหลักของผู้คนผมเองก็ยังไม่ทราบและไม่อาจเดาได้ รู้แน่ๆแต่ว่าทุกวันนี้ประมาณ 90% ของคนไข้ของหมอสันต์เองได้เลือกเดินทางในสายที่ (1) ไปเรียบร้อยแล้ว และกำลังรอการมาของกัญชาอย่างตั้งอกตั้งใจ
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์