ความในใจที่อยากจะบอกเมื่อได้มาเข้าแคมป์ RDBY ของคุณหมอสันต์ ใจยอดศิลป์

     มีสมาชิกแค้มป์ RDBY ท่านหนึ่ง ได้กรุณาเขียนเล่าเรื่องของตัวเองมาให้เพื่อแชร์ความรู้กับเพื่อนในกลุ่ม เขียนขึ้นมาจากหัวใจของตัวเอง สำนวนน่ารักน่าอ่านมาก ผมจึงขออนุญาตนำลงในบล็อกนี้ ซึ่งท่านก็อนุญาตด้วยดี ต้องขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงเลยนะครับ
สันต์

...........................................................

     ผมขอแนะนําตัว ผมชื่อ นายกิติยศ วีรเธียรภิญโญ อายุ 62 ปี ปัจจุบันเกษียณแล้ว ผมได้บํานาญจากการทํางานและการใช้ชีวิตอย่างผิดๆ มา 3 โรค คือโรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง (NCD) ต้องกินยาวันละกว่า 10 เม็ด ค่าหมอค่ายาเฉลี่ยเดือนละหนึ่งหมื่นบาท ผมขอออกตัวก่อน ผมเป็นคนที่ไม่ชอบเล่นกีฬา ไม่ชอบออกกําลังกาย เป็นคนตามใจปากชอบกินอาหารอร่อย เจ้าไหนว่าอร่อยเป็นอันว่าเสร็จผม คําฝรั่งว่า “YOU ARE WHAT YOU EAT” คําพูดนี ้จริงแท้ที่สุด ผมเพิ่งเข้าใจ ความเชื่อเดิมของผม คือ ผมต้องกินยาไปตลอดชีวิต เพราะเชื่อว่าโรคที่เป็นอยู่ไม่มีวันหาย ความเชื่อนี้เกิดจากความเชื่อว่ามาจากพันธุกรรม และจากความเห็นของคุณหมอหลายๆ ท่าน จึงคิดว่าในเมื่อมันรักษาไม่หายก็ต้องทําใจอยู่กับมันให้ได้ และ Enjoy กับชีวิตที่เคยชินไปวันๆ

     แต่ใครจะคิดว่ามีความเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่กําลังจะเกิดขึ้นหลังจากผมได้มาพบ Wellness We Care ของ อ.หมอสันต์ ใจยอดศิลป์ ท่านได้เฉลยให้รู้ว่าร่างกายของเรานี้มีกลไกอัตโนมัติที่ปกป้องตนเองที่ซับซ้อนมาก ถ้าเรารู้วิถีปฏิบัติที่ถูกต้องร่างกายจะซ่อมแซมตัวเองให้เป็นปกติได้ โดยไม่ต้องใช้ยาใดๆ เลย ความเข้าใจในเรื่องนี ้ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สําคัญ ผมจึงขอนุญาตเขียนเป็นข้อๆ นะครับ

     1. จุดเปลี่ยนเกิดขึ้นเมื่อประมาณเดือนกันยายน 2561 ตอนนั้นผมมีนํ้าหนักประมาณ 107 กก. ค่าเบาหวานประมาณ 150 ความดันโลหิต อยู่ที่ประมาณ 155/100 ต้องกินยาวันละกว่า 10 เม็ด ลูกชายคนเล็กซึ่งเป็นทันตแพทย์ ได้แนะนําให้ผมมาเข้าคอร์ส “Rejuvenation Retreat” ของ Wellness We care บอกว่าเป็นคอร์สนวดแผนไทย เค้าออกค่าใช้จ่ายให้หมด (มารู้ทีหลังว่าเค้าหลอกให้มาเพราะเป็นห่วงสุขภาพพ่อ-แม่) ผมกับภรรยาตกลงมาเข้าคอร์ส Rejuvenation Retreat ความรู้สึกที่มาถึงเอ๊ะมันดูเงียบๆ วังเวงพิกล มาทราบทีหลังว่าคอร์สนี้เค้าจํากัดอยู่ที่ 4-6 คน เนื่องจากห้องนวดมีจํากัด ในโปรแกรม มีนวดนํ้ามันแบบอายุรเวทอินเดียสลับนวดไทยทั้งวันเช้า-บ่าย แหม! เพลินเลยครับ แต่ที่เซอร์ไพรซ์ สุดๆ คือเค้าทําอาหารแบบไม่มีเนื้อสัตว์ให้กินที่อร่อยมากตลอดหลักสูตรเลยครับ ผมงี้ฟินสุดๆ แน่นอนครับเรื่องความอร่อยนี่ ผมนี่แหละแม่ช้อยตัวจริง หลักสูตร 4 วัน 3 คืนเท่านั้นครับ แต่สิ่งที่เซอร์ไพร์ซครั้งที่สองนี่สิครับ โอ้พระเจ้า! นํ้าหนักตัวผมหายไป 2 กก. เหลือ 105 กก. ค่าเบาหวานเหลือ 100 ความดันโลหิต เหลือ 120/80 ผมรีบกลับมาส่งการบ้านให้ลูกชายทันทีเค้าก็ลองเอาสูตรอาหารที่ผมแอบไปจีบเชฟในครัวของแคมป์ไปทํากิน นํ้ำหนักลดลงกันทั้งครอบครัว ค่าไขมันในเลือดลดลงเป็นปกติทุกคน OMG !! (เดิมสูงจนต้องกินยากันทุกคน) ผมมานั่งคิด เอ...นี่แค่เปลี่ยนอาหารเปลี่ยนเพียง 4 วันเท่านั้น ยังเกิดผลมากมายขนาดนี้จุดเปลี่ยนมันอยู่ตรงนี้แหละครับ

     2. แรงบันดาลใจ มันเกิดขึ้นตอนผมนั่งคิดต่อว่า “โถ ลูกเอ๋ย ลูกอยากเห็นพ่อแม่มีสุขภาพดี และอยู่กับพวกเค้าไปนานๆ” (อันนี้สารภาพว่าแอบคิดเอง เค้าไม่ได้พูดกับเราตรงๆ) ไอ้ผมมันคนหัวดื้อ เค้าเลยต้องใช้อุบายแบบนี้ กอร์ปกับจุดเปลี่ยนที่กล่าวไว้ข้างต้น ผมและภรรยาจึงได้มาสมัครเข้าคอร์ส “พลิกผันโรคด้วยตัวเอง Reverse Disease By Yourself – RDBY” โดยลูกชายคนเล็กอีกแหละครับ เป็นผู้สนับสนุนค่าใช้จ่ายทั้งหมดให้อีก คราวนี้ได้มีโอกาสพบคุณหมอสันต์ ใจยอดศิลป์ ท่านได้ซักประวัติการรักษาของผมอย่างละเอียด เอาผลเลือดที่ส่งมาให้ท่านก่อนล่วงหน้ามาวิเคราะห์ให้ฟังแล้วบอกว่าโรคที่ผมเป็นอยู่มีโอกาสหายขาดโดยไม่ต้องกินยา ผมฟังแล้วหัวใจมันพองโตทันทีครับ ท่านบอกว่าเพียงให้เปลี่ยนวิถีชีวิตใหม่ด้วยการกินอาหารไม่มีเนื้อสัตว์หรือมีแต่ให้น้อย (โดยเฉพาะให้งดเว้นสัตว์ที่เลี้ยงลูกด้วยนม) และให้ออกกําลังกายทุกวันแบบต่อเนื่องจนเหนื่อยพอควร (เรียกว่า aerobic zone) เพียงแค่นี้เองคุณก็จะบรรลุเป้าหมายไม่ต้องกินยาตลอดชีวิต นอกจากนี้ตลอดหลักสูตรคุณหมอได้แนะนําวิธีการดําเนินชีวิตที่ถูกต้อง มีการนํางานวิจัยเกี่ยวกับอาหารที่กินแล้วให้คุณให้โทษ อย่างครบถ้วน ชี้ให้เห็นว่าร่างกายคนเรามีระบบปกป้องตัวเอง หากเราปฏิบัติตัวไม่ถูกต้องเค้าจะส่งสัญญาณให้รู้ว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้น คุณหมอได้แนะนําวิธีปฏิบัติตัวอย่างง่ายๆ โดยจะมีดัชนีตัววัดเพียง 7 ตัวเท่านั้นเป็น
Guidelines (จะไม่ขอกล่าวในที่นี้) ซึ่งปฏิบัติได้ง่ายดายและเจ๋งจริงๆ

     3. ผลที่ได้จากคอร์ส RDBY

     3.1 ผลเลือดล่าสุด อยู่ในเกณฑ์ปกติเกือบจะทุกตัว จนคุณหมอที่ผมรักษาอยู่ประจําแปลกใจอย่างมาก ซักถาม อืม..ต้องใช้คําว่าคาดคั้นมากกว่า ว่าผมไปกินยาหรือรับการรักษาจากที่อื่นหรือเปล่า กินยาครบตามสั่งมั้ย ซึ่งผมได้เรียนว่าผมไปเข้าคอร์ส RDBY ของคุณหมอสันต์ฯ มา นอกจากไม่ได้กินยาอย่างอื่นเพิ่มแล้ว ผมยังขอสารภาพตามตรงว่าผมงดยาเบาหวานของคุณหมอด้วย (คุณหมอเริ่มมีสีหน้าเปลี่ยนแปลง) ตอนนี้รู้สึกว่าคอแห้งขึ้นมาทันที แต่ก็ฝืนพูดออกมาด้วยเสียงที่แหบแห้งว่าผมจําเป็นต้องงดยาเนื่องจากผมเปลี่ยนวิถีการกินอาหารมากินอาหารคลีนซึ่งมีนํ้าตาลและแป้งน้อยอยู่แล้ว หากกินยาตามเดิม เกรงว่าค่านํ้าตาลในเลือดจะตํ่าเกินไป” (ขณะพูดพยายามสังเกตสีหน้าคุณหมอว่าโกรธอยู่รึเปล่า แต่ด้วยเหตุว่าผลเลือดออกมาดีเหตุผลที่กล่าวอ้างข้างต้นจึงพอฟังขึ้น อันนี้ดูจากสีหน้าคุณหมอนะครับ) คุณหมอท่านเลยอนุญาตให้ลดยาต่อแล้วนัดเจาะเลือดอีก 3 เดือน โอ้พระเจ้า !! ผมรีบกล่าวลาแล้วหันหลังเอามือแตะอกเป่าลมออกจากปาก คิดอยู่ในใจ “รอดตัวแล้วเรา” แอบเห็นพยาบาลยืนอมยิ้มอยู่ข้างๆ ขณะรอคุณหมอเขียนใบสั่งยาด้วย

     3.2 ปัจจุบันผมได้รับอนุญาตจากคุณหมอให้ลดยาลงเหลือครึ่งหนึ่ง จากวันละ 10 เม็ด เหลือเพียง5 เม็ด แถมยาลดความดันคุณหมอสันต์ให้กินวันเว้นวันอีก คิดอยู่ในใจ “อ้า มาถูกทางแล้วเรา” ค่ายาไม่ต้องพูดถึง จากเดือนละหมื่นบาท เหลือเพียงประมาณสี่พันบาท อนาคตค่ายาไม่ได้กินเงินผมอย่างแน่นอน

     3.3ตอนนี้ต้องบอกว่าผมสามารถเปลี่ยนวิถีการกินอาหารมาเน้นกินพืชเป็นหลัก ได้อย่างสิ้นเชิง สามารถคิดค้นเมนูอาหารที่เหมาะสําหรับตัวเองได้มากกว่า 10 เมนู สลับสับเปลี่ยนกันไป ทําให้ไม่เบื่อ การดําเนินชีวิตไม่ยุ่งยาก เข้าที่เข้าทาง แถมสบายเนื้อสบายตัว เพราะนํ้าหนักหายไปเกือบ 20 กก. อานิสงค์ยังส่งต่อไปถึงภรรยา และครอบครัวผม ทุกคนต่างมีสุขภาพดีขึ้น นํ้าหนักตัวลดลงอยู่ในเกณฑ์ปกติทุกคน

     3.4 ส่วนการออกกําลังกายผมเริ่มจากเดินต้องถือไม้เท้าช่วยพยุงตัวจนสุนัขแถวบ้านเห่ากันระงม ปัจจุบันไม่ต้องถือแล้ว สุนัขกลายเป็นเพื่อนซี้กันไปแล้ว สามารถเดินได้วันละกว่า 5 กม. ใช้เวลา 1 ชม. ชิลลล มากๆๆๆ ผมรู้สึกว่านี่แหละกีฬาที่ผมชอบ แอบเห็นเพื่อนบ้านออกมาเดินกันตามหลายคนด้วย

     3.5 คุณหมอสันต์ฯ บอกว่าโรคที่เป็นอยู่อย่าไปซีเรียส ให้โฟกัสที่นํ้าหนักตัวเป็นหลัก โอ้โฮ อะไรจะง่ายขนาดนี้ ขอบอกครับ ใครว่า RDBY ยาก นี่เลยครับไม่มีอะไรง่ายไปกว่านี้อีกแล้ว การปฏิบัติตัวก็ทําตาม 7 ดัชนีที่คุณหมอสันต์ให้ไว้ไง (มีอะไรบ้างตอนนี้ลืมไปแล้ว เดี๋ยวให้ทีมงานคุณหมอบอกแล้วกัน)

     3.6 ระหว่างอยู่ในแคมป์ มีกิจกรรม ฝึกรํามวยไทเก็ก, มีโยคะ, มีเสริมสร้างกล้ามเนื้อ, ฝึกการทรงตัว กิจกรรมเหล่านี้ล้วนแต่มีผลทําให้มีสมาธิ และมีสติรู้ตัวทั่วพร้อมอยู่กับปัจจุบัน ซึ่งมีผลต่อจิตใจ ทําให้ระบบประสาทอัตโนมัติทํางานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

     3.7 ขอยืนยันครับว่ามาถูกทางอย่างที่สุด ผลที่เกิดขึ้นกับตัวเองและครอบครัวเป็นเครื่องยืนยัน จนมีคนแอบทําตามหลายคนครับ บางคนก็เริ่มถามสูตรอาหาร เริ่มออกมาเดินตาม เป็นต้นครับ

     4 สรุปครับ

     4.1 นํ้าหนักตัวปัจจุบันเหลือ 89.8 กก. ค่านํ้าตาลเหลือ 126 ค่าความดันโลหิตเฉลี่ยเหลือ 112/70 ชีพจร 66 bpm เป้าหมายต่อไปนํ้าหนักให้เหลือ 85 กก. ค่านํ้าตาล 110 ค่าความดันโลหิตโอเคแล้ว งดยาทุกชนิดอย่างสิ้นเชิง ถอยอายุตัวเองลงไปอีก 20 ปี

     4.2 ผมซาบซึ้งใจมาก โดยเฉพาะลูกๆ แม้เค้าจะไม่ได้บอกรักด้วยคําพูด แต่เค้าแสดงออกด้วยความห่วงใย อันนี้แหละครับเป็นแรงบันดาลใจสําคัญอย่างมากสําหรับผม

     4.3 ต้องขอขอบคุณหมอสันต์ ใจยอดศิลป์ และทีมงานทุกคน ไม่ว่าจะเป็นคุณหมอสมวงศ์ , ดอกเตอร์เลิฟ, คุณออย, คุณโอ๋, คุณเอ๋ย, เชฟไวพจน์ อีกหลายท่านที่ไม่ได้เอ่ยชื่อ ท่านเหล่านี้ช่วยให้ข้อแนะนําอํานวยความสะดวกในทุกๆด้าน และที่ลืมไม่ได้คือเพื่อนๆ ในรุ่น RDBY 10 ทุกคน ตลอดระยะเวลาทีอยู่ในแคมป์ด้วยกันผมสัมผัสได้ถึงมิตรภาพ ความเอื้ออาทรต่อกันได้อย่างชัดเจน ผมจะไม่มีวันลืมเลยจริงๆ ขอบคุณมากๆ ครับ

กิติยศ วีรเธียรภิญโญ
5 พฤษภาคม 2562

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เจ็ดใครหนอ

สอนวิธีแปลผลเคมีของเลือด

กินคีโตไข่ต้มไก่ต้มทุกวันแล้วหลอดเลือดหัวใจตีบ

ความแก่..เหมือนหมาถูกต้อนเข้ามุมให้จนตรอก

ชีวิตเมื่อตายไปแล้ว

เปลี่ยนอาหาร ปั่นจักรยาน น้ำตาลลด ความดันลด แต่ไขมันทำไมไม่ลด

ท่านอายุเก้าสิบแล้วยังไม่รู้ แล้วท่านจะรู้มันไปทำพรื้อละครับ

สิ่งที่ขาดหายไปจากชีวิตคนเราคือความเบิกบาน (Joy)

อายุ 70 ปีถูกคนในบ้านไล่ให้ไปฉีดวัคซีนไข้เลือดออก

มะเร็งต่อมลูกหมากแพร่กระจายไปกระดูกขาแล้ว จะไปต่อไงดี