อนาคตของอาชีพหมอและเภสัชอย่างไหนจะรุ่งกว่ากัน

สวัสดีครับ นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
กระผมขออนุญาตปรึกษาเรื่องเรียนต่อมหาลัยระหว่าง สอบเข้าคณะแพทย์หรือเภสัช เดิมทีผมสนใจสาขาเภสัชครับ แต่เมื่อไม่กี่วันนี้ผมได้มีโอกาสคุยกับอายุรแพทย์ท่านหนึ่ง ผมลองถามว่าเรียนอะไรดีระหว่างสองคณะนี้ ท่านบอกว่าหมอดีกว่าอยู่แล้ว เพราะเภสัชไม่ได้เรียนเรื่องการวินิจฉัย เรื่องโรค anatomy การส่งตรวจทางlab ทักษะวิจัยทางคลินิก ,...ฯลฯ เท่ากับหมอ เรียนแค่เรื่องยาที่ลึกกว่า ลึกถึงระดับโมเลกุล ซึ่งถ้าไม่ได้จะไปวิจัยคิดค้นยาใหม่ๆ อาจไม่จำเป็นต้องเรียนลึกขนาดนั้นก็ได้ เรื่องยาหมอก็ได้เรียนเหมือนกัน และสุดท้ายเรื่องการปรับขนาดยา หมอก็เป็นคนเรียนอยู่ดี แถมจบมาหมอมีต่อเฉพาะทางมากมายหลายสาขา ในขณะที่เภสัชไม่มี
ผมฟังๆดูก็คิดว่ามันจริงหลายอย่างนะครับ ตัวอย่างเช่นเทียบกับอายุรแพทย์ที่ลักษณะงานคล้ายๆเภสัชกรคือ รับฟัง วินิจฉัย และจ่ายยา  ผมว่าอายุรแพทย์ทำได้ดีกว่าเพราะเภสัชตามร้านขายยาวินิจฉัยไม่ได้เท่าแพทย์ บางโรคต้องถึงมือแพทย์เท่านั้น  แล้วจริงๆหมอเองไปเรียนเพิ่มเติมทางด้านเภสัชกรรมก็ได้ ผมเห็นหมอบางท่านทำงานเป็นที่ปรึกษาฝ่ายเภสัชกรรมก็มี ทำให้ผมคิดว่าคณะเภสัชนี่..(ขออภัยนะครับที่พูดตรงๆตามที่คิด)เป็นเหมือนสาขาลูกเมียน้อยไหม
และหากพูดถึงในแง่บทบาทแห่งวงการสาธารณสุข หมอโดดเด่นที่สุด ทำอะไรได้หลายอย่าง เป็นผู้นำทีม และในแง่รายได้ ยังไงเภสัชก็ไม่มีทางสู้ได้เพราะความหนักหน่วงในการเรียน ความรับผิดชอบ และการอยู่เวรนั้นต่างกันมาก
ใจจริงลึกๆผมก็ยังอยากเรียนเภสัชอยู่นะครับ เพราะไม่ชอบลักษณะชีวืตการทำงานของหมอหลายๆอย่างเช่น ต้องผ่าตัด นอนไม่เป็นเวลา แต่พอคุยกับหมอท่านนี้แล้วเริ่มลังเลเพราะมีหลายอย่างค่อนข้างจริง คุณหมอสันต์ช่วยชี้ทางให้กระผมทีได้ไหมครับว่าผมควรเลือกทางไหนระหว่างที่ใจเราชอบหรืออดทนเลือกอีกทางที่หนักกว่าแต่จบมามีทางเลือกมากกว่า เงินดีกว่า
สุดท้ายขอถามเพิ่มเติมอีกสองอย่างครับ
1.ถ้าเมืองไทยเป็นเหมือนประเทศพัฒนาแล้ว คือบทบาทของหมอกับเภสัชกรแยกกันชัดเจน เวลาไปคลินิกแล้วเอาใบสั่งไปซื้อยาที่ร้านขายยา แบบนี้เภสัชกรไทยเรามีสิทธิที่เรทเงินเดือนจะสูงขึ้นไหมครับ เพราะทุกวันนี้ผมไปคลินิก หมอทำหมดเลยทั้งวินิจฉัยและจ่ายยา (ซึ่งยาในคลินิกแพงกว่าร้านขายยาโดยตรง)
2.หมอสันต์คิดเห็นอย่างไร อยากให้เมืองไทยมีระบบที่แยกบทบาทสองวิชาชีพชัดเจนไหมครับ

...........................................................

ตอบครับ

     วันนี้ตอบจดหมายเด็กๆหน่อยนะ แฟนบล็อกส่วนใหญ่ซึ่งเป็นสว.อย่าเพิ่งรำคาญ หากไม่อยากอ่านเรื่องของเด็กก็ผ่านบทความนี้ไปเลยก็ได้

     1. ถามว่าเรียนเภสัชหรือเรียนหมอ อย่างไหนดีกว่ากัน ตอบว่าอาชีพอะไรก็ตามที่เป็นอาชีพสุจริตและไม่ผิดกฎหมายล้วนดีทั้งนั้น เพราะอาชีพเป็นเพียงสีเสื้อที่คุณจะเลือกมาใส่ในเช้าของแต่ละวัน คุณถามหมอสันต์ว่าเช้านี้ผมควรจะหยิบเสื้อสีฟ้าหรือสีเทามาใส่ดี แล้วคุณจะให้หมอสันต์ตอบว่าอย่างไรดีละ

      สารัตถะที่แท้จริงของชีวิตไม่ใช่อยู่ที่การมีอาชีพอะไร แต่อยู่ที่การรู้จักใช้ชีวิตให้เป็นสุขและให้สร้างสรรค์ได้เต็มศักยภาพของความเป็นคนที่เรามี การจะมีความสุขและการจะสร้างสรรค์ได้เต็มศักยภาพไม่ใช่จะพบหรือเข้าถึงด้วยสิ่งที่อยู่ข้างนอกรวมทั้งการงานอาชีพก็ตาม แต่เข้าถึงด้วยการกลับหลังหันจากข้างนอกเข้าสู่ข้างใน เพราะความรู้ตัวอันเป็นที่ที่จะทำให้ชีวิตสุขสงบเย็นก็ดี ปัญญาญาณอันเป็นบ่อของศักยภาพที่แท้จริงของมนุษย์ก็ดี ล้วนจะพบได้เมื่อกลับเข้าไปสนใจข้างในตัว ไม่ใช่ไปหาที่ข้างนอกตัว

     ในทางตรงกันข้าม ยิ่งคุณเรียนเรื่องราวในโรงเรียนหรือในมหาวิทยาลัยมาก คุณยิ่งโง่ลงในแง่ของการเข้าถึงความรู้ตัวและปัญญาญาณ เพราะที่โรงเรียนและมหาวิทยาลัยเขาสอนคุณให้ฟูมฟักเลี้ยงดูอัตตาของคุณให้ดูจริงจังและใหญ่โตขึ้น สอนให้คุณอยู่กับความคิดเปรียบเทียบแข่งขันซึ่งเป็นเส้นทางที่จะปิดความรู้ตัวและปัญญาญาณทิ้งเสียแบบเบ็ดเสร็จ จับเอาจากคำพูดของคุณก็ได้ วิชาชีพไหนโดดเด่นกว่า วิชาชีพไหนมีรายได้มากกว่า ทั้งหมดนี้ก็เพื่อฟูมฟักความเป็นบุคคลหรืออัตตาของคุณให้ใหญ่ขึ้น มันเป็นทิศทางที่จะทำให้คุณโง่ลงในแง่ของการจะเข้าถึงความรู้ตัวและปัญญาญาณที่ภายใน เพราะคนเราจะเข้าถึงความรู้ตัวหรือปัญญาญาณไม่ได้ ถ้าไม่วางความคิดที่ว่าความเป็นบุคคลหรืออัตตาของเรานี้เป็นของจริงเป็นตุเป็นตะลงไปเสียก่อน

     2. ถามว่าถ้าเมืองไทยมีกฎหมายห้ามไม่ให้หมอขายยา คนไข้ต้องเอาใบสั่งไปรับยาจากร้านขายยาซึ่งมีเภสัชอยู่ประจำเท่านั้น แล้วเภสัชจะมีรายได้มากขึ้นไหม ตอบว่าไม่เกี่ยวกันครับ เพราะจริงๆแล้วความร่ำรวยในอนาคตของหมอและเภสัชไม่ได้ขึ้นอยู่กับกฎหมายอะไร แต่ขึ้นอยู่กับว่าประชาชนทั่วไปจะเรียนรู้ความจริงที่ว่า "คนที่จะดูแลสุขภาพตัวเขาได้ดีที่สุดคือตัวเขาเองเท่านั้น" ได้เร็วหรือช้า ถ้าประชาชนเรียนรู้ได้เร็ว หมอและเภสัชในอนาคตก็แทบจะไม่มีอะไรทำ แต่ถ้าประชาชนเรียนรู้ตรงนี้ได้ช้า อาชีพหมอและเภสัชก็จะรุ่งเรืองไปอีกนาน เพราะสามารถคิดค้นยาใหม่ๆและวิธีผ่าตัดใหม่มาขายได้เรื่อยๆ แม้ว่ายาก็ดี การผ่าตัดก็ดี ล้วนไม่ใช่วิธีที่จะทำให้คนยุค NCD (โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง) มีสุขภาพดีและอายุยืนก็ตาม การจะเรียนรู้ได้เร็วหรือช้านี้อย่าไปคาดการณ์เอาจากอดีตนะ เพราะปัญญาประดิษฐ์หรือ AI นั้นเป็นสิ่งที่ในอดีตไม่เคยมี แต่อนาคตจะมี ซึ่งจะเร่งการเรียนรู้ของผู้คนให้เร็วขึ้นเสียยิ่งกว่าสายฟ้าแลบ

     3. ถามว่าหมอสันต์อยากให้เมืองไทยมีกฎหมายแยกทางหากินของหมอและเภสัชออกจากกันชัดๆไหม ตอบว่า หิ หิ ลูกเอ๋ย..หมอสันต์ชราเกินกว่าจะมีความเห็นใดๆในเรื่องโลกิยะเสียแล้วครับ แต่ว่าเพื่อไม่ให้เสียความรู้สึกที่คุณอุตสาห์ถามมา แทนที่จะตอบผมจะบอกภาพในอนาคตของสองอาชีพนี้เท่าที่ผมมองเห็นล่วงหน้าให้นะ ว่าคนทำสองอาชีพนี้จะ "รุ่ง" หรือ "ร่วง" อยู่ที่ความสามารถในการสอดแทรกการสอนให้ผู้ป่วยรู้วิธีที่จะดูแลตัวเขาเองด้วยตัวเขาเองได้สำเร็จเข้าไปในงานประจำของตน ถ้าหมอหรือเภสัชคนไหนมีความสามารถนี้และใช้ความสามารถนี้กับลูกค้าหรือคนไข้ได้มาก เขาหรือเธอก็จะเป็นที่ชื่นชอบของลูกค้าและมีคนรุมซื้อเพราะเป็นผู้ขายที่ขายสิ่งที่มี "คุณค่าแท้" ให้กับลูกค้า ส่วนหมอและเภสัชที่หลอกขายสินค้าที่มีแต่ "คุณค่าเทียม" บนความไม่รู้ของคนไข้นั้น แม้วันนี้พวกเขาจะดูรุ่งเรืองดี แต่เชื่อผมเถอะ เมื่อใดที่ลูกค้าเรียนรู้ความจริงพวกเขาก็จะร่วง

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

เจ็ดใครหนอ

สอนวิธีแปลผลเคมีของเลือด

กินคีโตไข่ต้มไก่ต้มทุกวันแล้วหลอดเลือดหัวใจตีบ

ความแก่..เหมือนหมาถูกต้อนเข้ามุมให้จนตรอก

ชีวิตเมื่อตายไปแล้ว

เปลี่ยนอาหาร ปั่นจักรยาน น้ำตาลลด ความดันลด แต่ไขมันทำไมไม่ลด

ท่านอายุเก้าสิบแล้วยังไม่รู้ แล้วท่านจะรู้มันไปทำพรื้อละครับ

สิ่งที่ขาดหายไปจากชีวิตคนเราคือความเบิกบาน (Joy)

อายุ 70 ปีถูกคนในบ้านไล่ให้ไปฉีดวัคซีนไข้เลือดออก

มะเร็งต่อมลูกหมากแพร่กระจายไปกระดูกขาแล้ว จะไปต่อไงดี