เป็นลูกจ้างเขาดีที่ซู้ด..ด
เรียกปรึกษาดร.สันต์
ผมเป็น fc คุณหมอสันต์ ไม่มีปัญหาสุขภาพ แต่อยากปรึกษาปัญหาชีวิต ผมเรียนจบ logistic ทำงานอยู่กับบริษัท ... มาสี่ปีแล้ว กำลังเรียน mba ใกล้จบ เบื่อการเป็นลูกจ้างเต็มทีแล้วด้วย เผอิญคุณแม่เพิ่งเสียชีวิต (คุณพ่อเสียชีวิตไปนานแล้ว) ผมได้รับมรดกที่ดินมาเล็กน้อยพอที่ใช้ตั้งต้นทำอะไรเล็กๆของตัวเองได้ เนื่องจากเป็นคนที่ชื่นชอบชา จึงคิดที่จะผลิตชาเพื่อสุขภาพขาย ก็ปรึกษาหารืออยู่หลายทาง แต่เนื่องจากรู้จักดร.สันต์จากการอ่านบล็อกมานานจนเหมือนญาติผู้ใหญ่ จึงอดขอคำปรึกษาเรื่องนี้ไม่ได้ หวังว่าคงไม่เป็นการรบกวนมากเกินไป
............................................
ตอบครับ
1. ถามว่าจะเริ่มทำธุรกิจของตัวเองโดยการทำชาสุขภาพขายดีไหม ตอบว่าจะมาถามเรื่องการทำมาหากินกับหมอสันต์เนี่ยคุณถามผิดที่นะ แต่เมื่อคุณหลวมตัวถามมาแล้วผมก็จะตอบให้ เพราะผมเป็นคนชอบแส่อะไรที่มันไม่ใช่เรื่องของตัวเอง มันเป็นนิสัยดั้งเดิมที่แก้ไม่หาย
ตอบว่า ที่คุณคิดจะทำนั่นทำนี่ขายนั้นนะ คุณจะเอาไปขายให้ลิง..เอ๊ยไม่ใช่ คุณจะเอาไปขายให้ใครที่ไหน ผมหมายความว่าคุณจะขายอะไรมันไม่สำคัญหรอก สำคัญที่มีคนซื้อหรือเปล่า หากคุณคิดอยากทำธุรกิจ คุณไปหาผู้ซื้อให้ได้ก่อนสิ คุณไปสำรวจหามาให้ได้ตัวเลขแน่ชัดก่อนว่าใครเขาอยากได้อะไรจำนวนมากแค่ไหนแล้วความต้องการนั้นจะคงอยู่นานแค่ไหนแล้วคุณค่อยคิดอ่านทำสิ่งนั้นขายให้เขา หรือแม้แค่หาคนซื้อได้แล้วคุณไปซื้อของมาพะชื่อคุณขายให้เขาก็ยังได้ แต่ประเด็นคือคุณต้องหาคนซื้อให้ได้ก่อน นี่เป็นสิ่งที่ต้องทำ (must do) ก่อนการคิดอ่านทำธุรกิจใดๆ ไม่ใช่คุณชอบชาและมีเรื่องราวโรแมนติกเกี่ยวกับชาเหลือเกินก็จะทำชาขาย คุณทำได้ ถ้าคุณถือว่าคุณมีเงินซะอย่างอยากทำอะไรก็ทำได้ แต่ผมเตือนคุณว่าให้คุณหากุดังไว้เก็บชาของคุณที่จะเหลือบานเบอะขายไม่ออกด้วยก็แล้วกันนะ และผมเตือนคุณอีกอย่างว่าการตั้งนิติบุคคลเพื่อทำนั่นทำนี่มันง่าย แต่พอเวลาคุณเจ๊งแล้วจะเลิกนิติบุคคลเนี่ยมันไม่ง่ายนะ เอาแค่การเลิกจ้างลูกน้องสองสามคนเมื่อคุณเลิกกิจการนี่คุณก็ต้องจ่ายเงินชดเชยอ่วมอรทัยแล้ว ยังไม่นับว่าการสอบบัญชีเพื่อเลิกบริษัทนั้นคุณจะได้พบว่าสรรพากรที่แต่เดิมคุณก็ไม่ค่อยรักเขาอยู่แล้วได้กลับกลายเป็นใครก็ไม่รู้ที่มาคอย "กรรโชก" เอาทุกอย่างไปจากคุณอย่างไม่ปราณีปราศัย
2. ถามว่าเป็นลูกจ้างเขากับการออกไปเป็นเถ้าทำแก่กิจการของตัวเองอย่างไหนดีกว่ากัน ตอบว่า
"...เป็นลูกจ้างเขาดีที่ซู้ด..ด"
ที่ตอบอย่างนี้ไม่ใช่ว่าตัวหมอสันต์เองไม่เคยเป็นเถ้าแก่นะ เคยเป็นมาเหมือนกัน สำเร็จบ้างล้มเหลวบ้าง แต่หัวใจของเรื่องมันไม่ใช่อยู่ที่การเป็นลูกจ้างหรือการเป็นเถ้าแก่ หัวใจของเรื่องมันอยู่ที่เราไขว่คว้าหาอะไรในชีวิต ท้ายที่สุดแล้วมันก็จะมาลงที่คำคำเดียว คือ "ความสุข" เราทุกคนไขว่คว้าหาความสุขในชีวิต เราอยากมีชีวิตที่มีความสุข แล้วก็ตั้งสมมุติฐานว่าทำอย่างนี้น่าจะมีความสุข ทำอย่างนั้นน่าจะมีความสุข ทางเลือกจะเป็นนั่นดีหรือจะเป็นนี่ดีจึงตามมา นั่นประการหนึ่ง พิมพ์นิยมของการไขว่คว้าหาความสุขคือการมีเงิน มีเกียรติ มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับ นั่นอีกประการหนึ่ง แต่ผมกำลังจะบอกคุณว่าทั้งสองประการนั้นเป็นการไปผิดทาง คุณจะไม่พบความสุขดอกถ้าคุณหลงตามเขาไปในทั้งสองทางนั้น
ประการแรก ความสุขไม่ได้เกิดจากการจะได้ไปเป็นนั่นเป็นนี่หรือได้ไปทำนั่นทำนี่ แต่ความสุขเกิดจากการได้ใช้ชีวิตที่ที่นี่เดี๋ยวนี้อย่างยอมรับทุกอย่างที่มีอยู่และที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ดังนั้นหากคุณอยากมีความสุขคุณไม่ต้องดิ้นรนไปทำอะไรที่ไหนพิศดารเลย ที่นี่เดี๋ยวนี้นี่แหละที่คุณจะพบกับความสุข ความสุขแบ่งง่ายๆเป็นสุขกายกับสุขใจ สุขกายก็คือคุณมีสุขภาพกายดี ซึ่งจะได้มาจากการที่คุณรู้จักจัดเวลาดูแลตัวเอง ออกกำลังกาย กินอาหารที่ดีๆปรุงอย่างง่ายๆ ปลูกผักปลูกหญ้ากินเองก็ยิ่งดีถ้าทำได้
ส่วนจะสุขใจนั้นก็ต้องเข้าใจก่อนว่าความทุกข์ใจมันมาจากไหน ความทุกข์ใจมันมาจากความคิด การจะหายทุกข์ใจคุณต้องสามารถวางความคิดหรือออกมาจากความคิดให้เป็นก่อน คุณต้องเจนจัดและรู้วิธีถอยออกจากความคิดมาเป็นผู้สังเกตดูความเป็นไปในชีวิต สังเกตดูร่างกายคุณ สังเกตดูความคิดคุณ เข้าใจว่าร่างกายนี้ไม่ใช่คุณ เข้าใจว่าความคิดนี้ไม่ใช่คุณ คุณเป็นผู้สังเกตสิ่งเหล่านี้ วิธีนี้เท่านั้นที่จะทำให้คุณอยู่เหนืออิทธิพลความคิดอันเป็นต้นเหตุของความทุกข์ใจได้
ประการที่สอง การวิ่งกรูตามคนอื่นเขาไปด้วยความเชื่อที่ว่าการมีเงิน มีเกียรติ มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับจะทำให้มีความสุขนั้นเป็นความเชื่อที่ไร้สาระ ไม่เป็นความจริงทั้งจากหลักฐานการวิจัยทางสังคมวิทยาครั้งแล้วครั้งเล่า และไม่เป็นความจริงทั้งจากหลักฐานเรื่องเล่าจากปากของคนที่มีสิ่งเหล่านั้นครบถ้วนแล้ว ทางนั้น หมายถึงทางที่วิ่งตามเขาไปแสวงหาเงิน เกียรติ และการยอมรับนั้น เป็นทางที่ผิดมีแต่จะพาคุณเข้ารกเข้าพง เพราะแท้ที่จริงสิ่งที่คุณวิ่งตามไปนั้นคือความคิดของคุณเอง มันจะพาคุณไปพบความสุขได้อย่างไร เพราะตัวมันเป็นต้นเหตุของความทุกข์ของคุณอย่างเหน่งๆอยู่แล้ว แล้วคุณจะยังหลงเชื่อมันอยู่อีกหรือ
ดังนั้นหมอสันต์แนะนำในฐานะคนแก่ที่เจนโลกมาแล้วว่าอย่าไปเสียเวลาในชีวิตวิ่งกรูตามเขาไปเหมือนฝูงวัวที่พากันวิ่งกรูตามกันไปอย่างไม่รู้จะไปที่ไหนเลย คุณต้องการความสุขในชีวิตไม่ใช่หรือ ทำไมไม่หยุด แล้วลงมือใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเสียที่ที่นี่เดี๋ยวนี้ละ เปลี่ยนสิ่งที่ควรรีบเปลี่ยน คือการฝึกรู้จักวางความคิดให้เป็นก่อน ส่วนอะไรที่ยังไม่จำเป็นต้องรีบเปลี่ยนก็ยังไม่ต้องรีบ เป็นลูกจ้างเขา หรือจะพูดให้หนักกว่านั้น..เป็นขี้ข้าเขา มันก็ไม่เห็นจะเสียหายอะไร เพราะในเสียมันก็มีได้ ในได้มันก็มีเสีย อย่างผมก็เคยเป็นทั้งขี้ข้าและเคยเป็นทั้งเจ้านาย บางช่วงที่เป็นเจ้านายเจอลูกน้องที่ทำตัวยิ่งกว่าเจ้านายแต่ชาติปางก่อนของผมเสียอีก จนผมต้องถามลูกน้องด้วยความไม่แน่ใจว่า (ขอโทษ..ขอโค้ดคำพูดในชีวิตจริง)
"มึงกับกูนี่ ใครเป็นขี้ข้า ใครเป็นเจ้านายวะ"
ฮ่า ฮ่า ฮ่า ตะแล้น ตะแล้น ตะแล้น
ความหมายของผมคือการเป็นลูกจ้างเขาไม่ใช่อุปสรรคของการมีความสุขในชีวิต ในหลายมุมการเป็นลูกจ้างเขามีโอกาสบรรลุความสุขในชีวิตมากกว่าการเป็นเถ้าแก่ ตอนนี้คุณอยู่ที่นี่แล้ว หมายถึงว่าเป็นลูกจ้างเขาอยู่แล้ว ให้ใช้ประโยชน์จากตรงนี้ก่อน
กล่าวโดยสรุป หมอสันต์วินิจฉัยว่าที่คุณพล่านอยู่ไม่สุขอยู่นี้ไม่เกี่ยวอะไรกับการเป็นลูกจ้างเขา แต่เกี่ยวกับการที่คุณหลงไปอยู่ในความคิด เป็นความคิดงี่เง่าเสียด้วย ผมหมายถึงว่าความคิดที่อยากเป็นเถ้าแก่อยากร่ำอยากรวยนั่นแหละเป็นความคิดงี่เง่า คนอื่นเขาอาจจะสอนคุณอีกอย่าง แต่หมอสันต์สอนคุณอย่างนี้ด้วยความปรารถนาดี ถ้าคุณหลงขี่ความคิดงี่เง่านี้ไปคุณจำคำสาปของผมไว้นะ คุณจะหมดโอกาสที่จะพบกับความสุขในชีวิต และคุณจะพบความจริงอันนี้เมื่อคุณร่ำรวยแล้ว มีเกียรติแล้ว หรือเป็นที่ยอมรับแล้ว ซึ่งถึงตอนนั้นคุณก็แก่เกินแกงและพลาดโอกาสที่จะได้ใช้ชีวิตที่เกิดมาให้มีความสุขไปเสียแล้ว
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์
ผมเป็น fc คุณหมอสันต์ ไม่มีปัญหาสุขภาพ แต่อยากปรึกษาปัญหาชีวิต ผมเรียนจบ logistic ทำงานอยู่กับบริษัท ... มาสี่ปีแล้ว กำลังเรียน mba ใกล้จบ เบื่อการเป็นลูกจ้างเต็มทีแล้วด้วย เผอิญคุณแม่เพิ่งเสียชีวิต (คุณพ่อเสียชีวิตไปนานแล้ว) ผมได้รับมรดกที่ดินมาเล็กน้อยพอที่ใช้ตั้งต้นทำอะไรเล็กๆของตัวเองได้ เนื่องจากเป็นคนที่ชื่นชอบชา จึงคิดที่จะผลิตชาเพื่อสุขภาพขาย ก็ปรึกษาหารืออยู่หลายทาง แต่เนื่องจากรู้จักดร.สันต์จากการอ่านบล็อกมานานจนเหมือนญาติผู้ใหญ่ จึงอดขอคำปรึกษาเรื่องนี้ไม่ได้ หวังว่าคงไม่เป็นการรบกวนมากเกินไป
............................................
ตอบครับ
1. ถามว่าจะเริ่มทำธุรกิจของตัวเองโดยการทำชาสุขภาพขายดีไหม ตอบว่าจะมาถามเรื่องการทำมาหากินกับหมอสันต์เนี่ยคุณถามผิดที่นะ แต่เมื่อคุณหลวมตัวถามมาแล้วผมก็จะตอบให้ เพราะผมเป็นคนชอบแส่อะไรที่มันไม่ใช่เรื่องของตัวเอง มันเป็นนิสัยดั้งเดิมที่แก้ไม่หาย
ตอบว่า ที่คุณคิดจะทำนั่นทำนี่ขายนั้นนะ คุณจะเอาไปขายให้ลิง..เอ๊ยไม่ใช่ คุณจะเอาไปขายให้ใครที่ไหน ผมหมายความว่าคุณจะขายอะไรมันไม่สำคัญหรอก สำคัญที่มีคนซื้อหรือเปล่า หากคุณคิดอยากทำธุรกิจ คุณไปหาผู้ซื้อให้ได้ก่อนสิ คุณไปสำรวจหามาให้ได้ตัวเลขแน่ชัดก่อนว่าใครเขาอยากได้อะไรจำนวนมากแค่ไหนแล้วความต้องการนั้นจะคงอยู่นานแค่ไหนแล้วคุณค่อยคิดอ่านทำสิ่งนั้นขายให้เขา หรือแม้แค่หาคนซื้อได้แล้วคุณไปซื้อของมาพะชื่อคุณขายให้เขาก็ยังได้ แต่ประเด็นคือคุณต้องหาคนซื้อให้ได้ก่อน นี่เป็นสิ่งที่ต้องทำ (must do) ก่อนการคิดอ่านทำธุรกิจใดๆ ไม่ใช่คุณชอบชาและมีเรื่องราวโรแมนติกเกี่ยวกับชาเหลือเกินก็จะทำชาขาย คุณทำได้ ถ้าคุณถือว่าคุณมีเงินซะอย่างอยากทำอะไรก็ทำได้ แต่ผมเตือนคุณว่าให้คุณหากุดังไว้เก็บชาของคุณที่จะเหลือบานเบอะขายไม่ออกด้วยก็แล้วกันนะ และผมเตือนคุณอีกอย่างว่าการตั้งนิติบุคคลเพื่อทำนั่นทำนี่มันง่าย แต่พอเวลาคุณเจ๊งแล้วจะเลิกนิติบุคคลเนี่ยมันไม่ง่ายนะ เอาแค่การเลิกจ้างลูกน้องสองสามคนเมื่อคุณเลิกกิจการนี่คุณก็ต้องจ่ายเงินชดเชยอ่วมอรทัยแล้ว ยังไม่นับว่าการสอบบัญชีเพื่อเลิกบริษัทนั้นคุณจะได้พบว่าสรรพากรที่แต่เดิมคุณก็ไม่ค่อยรักเขาอยู่แล้วได้กลับกลายเป็นใครก็ไม่รู้ที่มาคอย "กรรโชก" เอาทุกอย่างไปจากคุณอย่างไม่ปราณีปราศัย
2. ถามว่าเป็นลูกจ้างเขากับการออกไปเป็นเถ้าทำแก่กิจการของตัวเองอย่างไหนดีกว่ากัน ตอบว่า
"...เป็นลูกจ้างเขาดีที่ซู้ด..ด"
ที่ตอบอย่างนี้ไม่ใช่ว่าตัวหมอสันต์เองไม่เคยเป็นเถ้าแก่นะ เคยเป็นมาเหมือนกัน สำเร็จบ้างล้มเหลวบ้าง แต่หัวใจของเรื่องมันไม่ใช่อยู่ที่การเป็นลูกจ้างหรือการเป็นเถ้าแก่ หัวใจของเรื่องมันอยู่ที่เราไขว่คว้าหาอะไรในชีวิต ท้ายที่สุดแล้วมันก็จะมาลงที่คำคำเดียว คือ "ความสุข" เราทุกคนไขว่คว้าหาความสุขในชีวิต เราอยากมีชีวิตที่มีความสุข แล้วก็ตั้งสมมุติฐานว่าทำอย่างนี้น่าจะมีความสุข ทำอย่างนั้นน่าจะมีความสุข ทางเลือกจะเป็นนั่นดีหรือจะเป็นนี่ดีจึงตามมา นั่นประการหนึ่ง พิมพ์นิยมของการไขว่คว้าหาความสุขคือการมีเงิน มีเกียรติ มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับ นั่นอีกประการหนึ่ง แต่ผมกำลังจะบอกคุณว่าทั้งสองประการนั้นเป็นการไปผิดทาง คุณจะไม่พบความสุขดอกถ้าคุณหลงตามเขาไปในทั้งสองทางนั้น
ประการแรก ความสุขไม่ได้เกิดจากการจะได้ไปเป็นนั่นเป็นนี่หรือได้ไปทำนั่นทำนี่ แต่ความสุขเกิดจากการได้ใช้ชีวิตที่ที่นี่เดี๋ยวนี้อย่างยอมรับทุกอย่างที่มีอยู่และที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ดังนั้นหากคุณอยากมีความสุขคุณไม่ต้องดิ้นรนไปทำอะไรที่ไหนพิศดารเลย ที่นี่เดี๋ยวนี้นี่แหละที่คุณจะพบกับความสุข ความสุขแบ่งง่ายๆเป็นสุขกายกับสุขใจ สุขกายก็คือคุณมีสุขภาพกายดี ซึ่งจะได้มาจากการที่คุณรู้จักจัดเวลาดูแลตัวเอง ออกกำลังกาย กินอาหารที่ดีๆปรุงอย่างง่ายๆ ปลูกผักปลูกหญ้ากินเองก็ยิ่งดีถ้าทำได้
ส่วนจะสุขใจนั้นก็ต้องเข้าใจก่อนว่าความทุกข์ใจมันมาจากไหน ความทุกข์ใจมันมาจากความคิด การจะหายทุกข์ใจคุณต้องสามารถวางความคิดหรือออกมาจากความคิดให้เป็นก่อน คุณต้องเจนจัดและรู้วิธีถอยออกจากความคิดมาเป็นผู้สังเกตดูความเป็นไปในชีวิต สังเกตดูร่างกายคุณ สังเกตดูความคิดคุณ เข้าใจว่าร่างกายนี้ไม่ใช่คุณ เข้าใจว่าความคิดนี้ไม่ใช่คุณ คุณเป็นผู้สังเกตสิ่งเหล่านี้ วิธีนี้เท่านั้นที่จะทำให้คุณอยู่เหนืออิทธิพลความคิดอันเป็นต้นเหตุของความทุกข์ใจได้
ประการที่สอง การวิ่งกรูตามคนอื่นเขาไปด้วยความเชื่อที่ว่าการมีเงิน มีเกียรติ มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับจะทำให้มีความสุขนั้นเป็นความเชื่อที่ไร้สาระ ไม่เป็นความจริงทั้งจากหลักฐานการวิจัยทางสังคมวิทยาครั้งแล้วครั้งเล่า และไม่เป็นความจริงทั้งจากหลักฐานเรื่องเล่าจากปากของคนที่มีสิ่งเหล่านั้นครบถ้วนแล้ว ทางนั้น หมายถึงทางที่วิ่งตามเขาไปแสวงหาเงิน เกียรติ และการยอมรับนั้น เป็นทางที่ผิดมีแต่จะพาคุณเข้ารกเข้าพง เพราะแท้ที่จริงสิ่งที่คุณวิ่งตามไปนั้นคือความคิดของคุณเอง มันจะพาคุณไปพบความสุขได้อย่างไร เพราะตัวมันเป็นต้นเหตุของความทุกข์ของคุณอย่างเหน่งๆอยู่แล้ว แล้วคุณจะยังหลงเชื่อมันอยู่อีกหรือ
ดังนั้นหมอสันต์แนะนำในฐานะคนแก่ที่เจนโลกมาแล้วว่าอย่าไปเสียเวลาในชีวิตวิ่งกรูตามเขาไปเหมือนฝูงวัวที่พากันวิ่งกรูตามกันไปอย่างไม่รู้จะไปที่ไหนเลย คุณต้องการความสุขในชีวิตไม่ใช่หรือ ทำไมไม่หยุด แล้วลงมือใช้ชีวิตอย่างมีความสุขเสียที่ที่นี่เดี๋ยวนี้ละ เปลี่ยนสิ่งที่ควรรีบเปลี่ยน คือการฝึกรู้จักวางความคิดให้เป็นก่อน ส่วนอะไรที่ยังไม่จำเป็นต้องรีบเปลี่ยนก็ยังไม่ต้องรีบ เป็นลูกจ้างเขา หรือจะพูดให้หนักกว่านั้น..เป็นขี้ข้าเขา มันก็ไม่เห็นจะเสียหายอะไร เพราะในเสียมันก็มีได้ ในได้มันก็มีเสีย อย่างผมก็เคยเป็นทั้งขี้ข้าและเคยเป็นทั้งเจ้านาย บางช่วงที่เป็นเจ้านายเจอลูกน้องที่ทำตัวยิ่งกว่าเจ้านายแต่ชาติปางก่อนของผมเสียอีก จนผมต้องถามลูกน้องด้วยความไม่แน่ใจว่า (ขอโทษ..ขอโค้ดคำพูดในชีวิตจริง)
"มึงกับกูนี่ ใครเป็นขี้ข้า ใครเป็นเจ้านายวะ"
ฮ่า ฮ่า ฮ่า ตะแล้น ตะแล้น ตะแล้น
ความหมายของผมคือการเป็นลูกจ้างเขาไม่ใช่อุปสรรคของการมีความสุขในชีวิต ในหลายมุมการเป็นลูกจ้างเขามีโอกาสบรรลุความสุขในชีวิตมากกว่าการเป็นเถ้าแก่ ตอนนี้คุณอยู่ที่นี่แล้ว หมายถึงว่าเป็นลูกจ้างเขาอยู่แล้ว ให้ใช้ประโยชน์จากตรงนี้ก่อน
กล่าวโดยสรุป หมอสันต์วินิจฉัยว่าที่คุณพล่านอยู่ไม่สุขอยู่นี้ไม่เกี่ยวอะไรกับการเป็นลูกจ้างเขา แต่เกี่ยวกับการที่คุณหลงไปอยู่ในความคิด เป็นความคิดงี่เง่าเสียด้วย ผมหมายถึงว่าความคิดที่อยากเป็นเถ้าแก่อยากร่ำอยากรวยนั่นแหละเป็นความคิดงี่เง่า คนอื่นเขาอาจจะสอนคุณอีกอย่าง แต่หมอสันต์สอนคุณอย่างนี้ด้วยความปรารถนาดี ถ้าคุณหลงขี่ความคิดงี่เง่านี้ไปคุณจำคำสาปของผมไว้นะ คุณจะหมดโอกาสที่จะพบกับความสุขในชีวิต และคุณจะพบความจริงอันนี้เมื่อคุณร่ำรวยแล้ว มีเกียรติแล้ว หรือเป็นที่ยอมรับแล้ว ซึ่งถึงตอนนั้นคุณก็แก่เกินแกงและพลาดโอกาสที่จะได้ใช้ชีวิตที่เกิดมาให้มีความสุขไปเสียแล้ว
นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์